กสทช.สั่งช่อง 3 ยกเลิกอนาล็อกออกคู่ขนานดิจิทัล มีผล 17 ก.ค. 61


ช่อง 3 ต้องโจทย์ใหญ่ทางธุรกิจอีกครั้ง เมื่อกสทช. สั่งให้แยกผังรายการและการออกอากาศรายการในช่อง 3 แอนะล็อคและช่อง 3 HD ออกจากกัน  ซึ่งเท่ากับเป็นการสิ้นสุดการออกอากาศคู่ขนาน (simulcast) ระหว่างระบบแอนะล็อค (ช่อง 3)  และดิจิทัล (ช่อง 33) ตั้งแต่วันที่ 17 ก.ค.เป็นต้นไป

โดยกสทช ให้เหตุผลว่า ช่องทีวีที่เป็นระบบแอนะล็อกเดิมได้สิ้นสุดการออกแล้ว เช่น ช่อง 7 ได้ยุติออกอากาศระบบแอนะล็อคไปแล้วเมื่อ 16 มิ.ย. ส่วนช่อง 9 จะยุติการออกอากาศระบบแอนะล็อค ในวันที่ 16 ก.ค. นี้ บอร์ดกสทช จึงมีมติให้นับวันที่ 16 ก.ค.เป็นวันสิ้นสุดการออกอากาศระบบแอนะล็อค

เมื่อระบบ  แอนะล็อคไม่มีแล้ว กสทช.ได้มีหนังสือลงวันที่ 4 ก.ค.ไปถึงบีอีซี มัลติมีเดีย ที่เป็นบริษัทบริหารช่องทีวีดิจิทัลของกลุ่มช่อง 3 ว่า นับจากนี้ ช่อง 3 จะต้องแยกผังรายการและการออกอากาศรายการในช่อง 3 แอนะล็อคและช่อง 3 HD ออกจากกัน พร้อมกับ ให้แยกเครื่องหมายแสดงสัญลักษณ์แยกช่องรายการ พร้อมกับเรียกให้บีอีซีเข้ามาชี้แจงต่อคณะอนุกรรมการด้านกิจการโทรทัศน์เรื่องแผนการดังกล่าว ในวันจันทร์ที่ 9 ก.ค. นี้

ทางด้าน บริษัท บีอีซี หรือช่อง 3  จึงได้ทำหนังสือตอบกลับไปยัง กสทช. ยืนยันจะออกอากาศโดยใช้ผังรายการดียวกันทั้งสองช่องแบบเดิม โดยอ้างถึงข้อตกลงที่บริษัทบางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์  หรือช่อง 3 แอนะล็อคทำกับกสทช.ที่ศาลปกครอง ในวันที่ 8 ต.ค.2557  ที่มีมติให้บีอีซีออกอากาศด้วยผังรายการเดียวกันกับช่อง 3 แอนะล็อค ซึ่งมีรายงานข่าวด้วยว่า ช่อง 3 อาจจะต้องพึ่งพาศาลปกครองในการหาข้อยุติกรณีพิพาทในครั้งนี้อีกครั้ง

ที่มาของปัญหา

การออกอากาศ “คู่ขนาน” ของช่อง 3 เกิดมาจากเหตุบังเอิญ ไม่เข้าข่ายกฎของกสทช.มาตั้งแต่ต้น  เนื่องจากกสทช.ได้กำหนด ฎเกณฑ์ ไว้ตั้งแต่ช่วงที่มีการประมูลทีวีดิจิทัลในปลายปี 2556 ว่าช่องแอนะล็อคสามารถออกอากาศคู่ขนานกับช่องดิจิทัลได้ แต่ต้องเป็นนิติบุคคลเดียวกันเท่านั้น ซึ่งช่องที่เข้าข่ายนี้คือ ช่อง 7 ที่ดำเนินธุรกิจทีวี ในนามบริษัทกรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุเพียงบริษัทเดียว ทั้งช่องแอนะล็อคเดิม และช่องดิจิทัล รวมทั้ง ช่อง 9 ที่ดำเนินธุรกิจทีวี ทั้งแอนะล็อคและดิจิทัล ในนามบริษัทอสมท.

มีช่อง 3 รายเดียว ที่ไม่เข้าหลักเกณฑ์ของกสทช เนื่องจาก ช่อง 3 ได้ใช้ “บริษัทบีอีซีมัลติมีเดีย” เข้าประมูลทีวีดิจิทัล ซึ่งเป็นคนละนิติบุคคลกับช่อง 3 แอนะล็อคที่ดำเนินการ โดยบริษัทบางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์  ซึ่งเป็นช่องที่ได้รับสัมปทานจาก อสมท. ที่จะสิ้นสุดในปี 2563

ช่อง 3 นั้น ประมูลทีวีดิจิทัลได้ถึง 3 ช่อง เมื่อรวมกับช่องอนาล็อกเดิม เท่ากับว่า ช่อง3 มีทีวี อยู่ในมือถึง 4 ช่อง เดิมทีช่อง 3 ตั้งใจจะเปิดให้บริการทั้ง 4 ช่องแยกกันชัดเจน เจาะกลุ่มเป้าหมายแตกต่างกัน แต่เนื่องธุรกิจไม่ได้เป็นตามที่คาดไว้ เม็ดเงินโฆษณาไม่ได้เพิ่ม แต่กลับมีคู่แข่งเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ทำให้ช่อง 3 จึงต้องยึด” ช่อง 3 แอนะล็อค” ในการออกอากาศไว้แบบเดิม เพราะในช่วงแรกยังครองเม็ดเงินส่วนใหญ่ไว้

จนกระทั่งเมื่อ กสทช. ได้ประกาศใช้ กฎ Must Carry ในปี 2557 เพื่อผลักดันให้คนดูช่องทีวีดิจิทัลแพร่หลาย  ตามประกาศนี้ มผีลให้ ทีวีดิจิทัล มีสถานะเป็น “ฟรีทีวี” แทนช่องแอนะล็อคเดิม ดังนั้นผู้ให้บริการเครือข่ายกล่องทีวีดิจิทัล กล่องดาวเทียมและเคเบิลทีวีมีหน้าที่ต้องนำสัญญาณจากช่องทีวีดิจิทัลทั้งหมดไปออกอากาศในทุกเครือข่าย โดยไม่ต้องนำช่องแอนะล็อคออกอกาศอีกต่อไป

ประกาศนี้ เท่ากับว่า มีผลต่อช่อง 3 แอนะล็อค ต้องประสบปัญหา “จอดำ” คนดูรับชมไม่ได้ เพราะเวลานั้น ทีวีแอนะล็อค ยังเป็นรายใหญ่ และยังต้องพึ่งพาแพลทฟอร์มเครือข่ายอื่นๆโดยเฉพาะกล่องดาวเทียมที่นำสัญญาณช่องฟรีทีวีไปออกอากาศ เท่ากับว่าปิดเส้นทางการรับชมทีวีแอนะล็อคของช่อง 3 ไปในทันที

ช่อง 3 จึงไปฟ้องศาลปกครอง มีมติให้ กสทช.ต้องขยายระยะเวลาให้ช่อง 3 ออกไปอีกจนถึง 30 ก.ย. 2557 จากนั้นช่อง3 ได้ยื่นฟ้องศาลปกครองกลางขอคุ้มครองฉุกเฉิน และมีผลจนถึงวันที่ 11 ต.ค. พ.ศ.2557 เวลา 16.30 น.

ต่อมาศาลปกครองให้กสทช และช่อง 3 ไกล่เกลี่ยกันเพื่อไม่ให้ประชาชนเดือดร้อนจากการไม่สามารถรับชมช่อง 3 แอนะล็อคได้ ภายในบอร์ดกระจายเสียงของกสทช.เสียงแตก เสียงส่วนใหญ่ สุภิญญา กลางณรงค์, พลโทพีระพงศ์ มานะกิจ และธวัชชัย จิตระภาษ์นันท์ เห็นว่าควรให้ช่อง 3 แอนะล็อคและช่อง 3 HD ออกอากาศ คู่ขนาน ผังรายการเดียวกัน คู่ขนานกันได้ ในขณะที่เสียงข้างน้อย 2 คนคือพันเอกนที ศุกลรัตน์และพันตำรวจเอกทวีศัก ดิ์งามสง่า คัดค้านว่าไม่สามารถทำได้ เพราะขัดต่อพรบ.กิจการกระจายเสียงของกสทช. ที่ระบุว่าผู้ได้รับใบอนุญาตจะต้องประกอบกิจการด้วยตัวเอง

เมื่อเสียงข้างมาก ให้ทำได้ กสทช จึงได้ทำข้อตกลงร่วมกับช่อง 3 แอนะล็อค เรื่องการให้สิทธิออกอากาศแบบคู่ขนานได้ ช่อง 3 จึงได้ออกอากาศแบบคู่ขนาน ช่อง 3 และ 3HD มาตั้งแต่ วันที่ 10 ต.ค. 2557 เป็นต้นมา

ทำไมช่อง 3 ถึงไม่สามารถยุติแอนะล็อค

แต่จนเมื่อช่องทีวี ทั้งช่อง 7 ช่อง 5 ช่อง 9  ช่อง 11 ได้ทยอยยกเลิกการออกอากาศ แอนะล็อค ทั้งหมดในเดือนนี้  โจทย์จึงไปอยูที่ช่อง 3 เป็นรายเดียว ที่ไม่ได้ขยับออกมาประกาศยกเลิกออกอากาศ แอนะล็อค จนกสทช.ต้องออกคำสั่งให้ช่อง 3  แยกผังรายการ

การที่ช่อง 3  ต้องการออกอากาศคู่ขนานต่อไป  ไม่สามารถยุติ แอนาล็อกได้นั้น  เนื่องจากเป็นการทำสัญญากับอสมท. รัฐวิสาหกิจและอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ จึงไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาสัมปทานได้แม้ว่าก่อนหน้านี้กสทช.ได้ขอให้อสมท.และช่อง3 ไปเจรจากันเพื่อนปิดระบบแอนะล็อคของช่อง 3 แต่ก็ไม่สามารถทำได้แม้ว่าทั้งสองฝ่ายอยากจะปิดระบบแอนะล็อคก็ตาม
ช่อง 3 ยังต้องจ่ายค่าสัมปทานให้กับ อสมท ต่อเนื่อง.ไปอีก 3 ปี คือ ปี 2561 จ่าย 232 ล้านบาท ปี 2562 จ่าย  244 ล้านบาท และ 2563 (สัมปทานหมด 25 มี.ค. 2563) จาย 62 ล้านบาท รวมเบ็ดเสร็จ ช่อง 3 แอนะล็อคจ่ายค่าสัมปทานให้กับอสมท.ตั้งแต่ปี  2540 – 2563 เป็นเงินรวมทั้งหมด 3,040.46 ล้านบาท

เขมทัตต์ พลเดช ผู้อำนวยการอสมทชี้แจงว่าสัญญาสัมปทานช่อง 7 เป็นสัญญาที่แตกต่างจากสัมปทานช่อง 3 กับ  อสมท.ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักนายกรัฐมนตรีและมีคณะกรรมการกำกับสัมปทานตามกฎหมายจึงไม่สามารถแก้ไขสัญญาสัมปานได้จำเป็นต้องให้เป็นไปในรูปแบบเดิมจนกว่าสัญญาสัมปทานจะหมดลง

อสมท.ที่กำลังจะปิดระบบแอนะล็อคนั้นจะช่วยเซฟค่าใช้จ่ายในการดำเนินการลงจากค่าไฟฟ้าค่าบำรุงรักษาอุปกรณ์ซึ่งคาดว่าจะลดได้ประมาณปีละ 40-50 ล้านบาท

ทางด้าน ช่อง 7 ซึ่งได้สัมปทานช่องแอนะล็อค มาจากกองทัพบก โดยได้ทำการตกลงยุติการออกอากาศในระบบแอนะล็อคทั้งช่อง 5 และ 7 พร้อมๆกันเพื่อก้าวสู่ทีวีดิจิทัลเต็มรูปแบบและได้ยุติระบบแอนะล็อคไปเมื่อ 16 มิถุนายน 2561 ที่ผ่านมาแต่ภายใต้ข้อตกลงนั้นยังไม่มีการยกเลิกสัญญาณสัมปทานโดยที่ช่อง 7ยังคงยินยอมจ่ายค่าสัมปทานรายปี ประมาณปีละ 150 ล้านบาท ให้กับกองทัพบกไปจนกว่าหมดอายุสัมปทาน

หาก ยังต้องออกกาศช่องแอนะล็อคต่อไป และต้องแยกผังรายการ ตามที่ กสทช.แจ้งมา เท่ากับว่า ช่อง 3 มีภาระต้นทุน “คอนเท้นท์”เพิ่มขึ้นอีก 1 ช่อง ถือเป็นเรื่องหนักสำหรับช่อง 3 ในห้วงเวลานี้ ที่ผ่านมาลำพังแค่ออกอากาศ 3 ช่อง ก็ต้องแบกรับต้นทุนคอนเท้นท์ ในขณะที่รายได้โฆษณากลับไม่ได้เพิ่มตาม แถมยังต้องขายแพคเกจ ลดราคา เพื่อสู้เพื่อคู่แข่ง จึงมีกระแสข่าวว่า ช่อง 3 เอง ก็น่าจะเป็นหนึ่งในช่องทีวีที่น่าจะอยากคืนใบอนุญาต

คำสั่งของ กสทช จึงได้ปมปัญหาใหญ่ให้กับ “ช่อง 3”  ที่ต้องพึ่งพา “ศาลปกครอง” ในการหาข้อยุติกรณีพิพาทในครั้งนี้อีกครั้ง  ให้ยึดตามคำสั่งตามศาลปกครอง ส่วนผลจะลงเอยอย่างไร ต้องรอดูกันต่อ


ที่มา : https://positioningmag.com/1177691
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่