ตกลงทุกวันนี้ วิทยาศาสตร์ ของเรา มั่วใช่หรือเปล่า เพราะไม่สามารถอธิบายปรากฎการณ์หลาย ๆ อย่าง ทางดาราศาสตร์ได้

อย่างเช่นเรื่องของ ภาวะเอกฐานในหลุมดำ สสารมืด พลังงานมืด การที่อิเล็กตรอนเปลี่ยนเป็นคลื่นหรืออนุภาค ตอนที่เราสังเกต ฯลฯ
คือผมคิดว่า วิทยาศาสตร์ที่เรารู้ที่เรามี มันอาจจะเป็นสภาวะที่เฉพาะตัวของโลกเราก็ได้
ส่วนโลกอื่นหรือจักรวาล อาจจะไม่ใช่แบบนี้ เราก็เลยไม่เข้าใจ สภาวะหลาย ๆ อย่าง ในจักรวาล

พอไม่เข้าใจ ก็พยายามเอาวิทยาสศาสตร์ที่เรารู้ไปจับ ไปอธิบาย มันก็เลยกลายเป็นมั่ว ๆ
คล้ายกับสมัยก่อน เรื่อง อีเธอร์ ในอวกาศ คือไปสมมุติว่ามี อีเธอร์ แล้วก็พยายามทดลองหรือให้เหตุผล ว่ามันมี ทั้ง ๆ ที่มันไม่มี

ผมว่าทำไปทำมา ความรู้หรือศาสตร์ ทางด้าน ศาสนา เช่น การได้ ญาณ ทำให้รับรู้หรือเข้าใจธรรมชาติของจักรวาลได้ดีกว่าวิทยาศาสตร์อีก
เพียงแต่ว่าเรื่องทางศาสนา มันพิสูจน์ได้ยาก ไม่มีเครื่องมือของวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันพิสูจน์ได้ (แต่ผมว่ามันก็ใกล้เคียงกับเรื่องสสารมืด พลังงานมืด ที่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันก็ยังไม่สามารถจับต้องมันได้) ......

หลาย ๆ เรื่อง ที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวไว้ อย่างเช่น บางเรื่องถ้ายากเกินความเข้าใจก็อย่าไปทำความเข้าใจมัน เดี๋ยวจะบ้าไปซะก่อน ผมว่าท่านอาจจะนั่งสมาธิแล้ว ไปเห็นอะไร ๆ มา ก็เลยกล่าวเอาไว้อย่างนี้ คือเรื่องของสภาวะบางอย่างในจักรวาลหรือธรรมชาติ มันอาจจะเกินความเข้าใจที่เราจะรับรู้ก็เป็นได้

สุดท้ายก็คือ ผมคิดว่า ถ้าอยากเข้าใจเรื่องของจักรวาล หรืออะตอม คงต้องไปฝึกนั่งสมาธิ เข้าญาณ ......คงต้องศึกษาไปทางนี้ อาจจะรู้อะไรได้มากกว่า  เพราะมีคนที่เคยนั่งสมาธิเขาบอกผมว่า เรื่องบางอย่าง ไม่ต้องหาคำตอบ ลองไปนั่งสมาธิเข้าญาณดูเดี๋ยวก็รู้คำตอบเอง
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 7
สิ่งสำคัญของกระบวนการทางวิทยาศาสตร์คือ การทดลอง และสามารถพิสูจน์ซ้ำได้
การที่จะได้รับความเชื่อถือในทางวิทยาศาสตร์นั้นไม่ใช่อาศัยเพียงแค่การการเสนอทฤษฏี
แต่จำเป็นต้องมีการพิสูจน์ทฤษฎี หรืออย่างน้อย ก็ต้องมีความสอดคล้องกับแนวทางที่มีอยู่ก่อนหน้า

และที่สำคัญมาก ๆ ของวิทยาศาสตร์ก็คือ ทฤษฎีที่เรียนหรือใช้สืบต่อกันมา สามารถล้มล้าง หรือเสื่อมความเชื่อถือได้
หากผู้โต้แย้ง สามารถเสนอทฤษฎีอื่นที่ถูกต้องกว่า หรือสามารถชี้ให้เห็นถึงข้อผิดพลาดของทฤษฎีเดิมได้


แต่จขกท. กลับเอามาเป็นข้ออ้างในการ discredit วิทยาศาสตร์ โดยที่ตนเองก็ไม่ได้รู้รายละเอียดเลย

อย่างเรื่องอีเธอร์ ที่แต่ก่อนหลายคนเชื่อ นั้นก็เป็นเพราะว่าเครื่องมือในการพิสูจน์และองค์ความรู้ยังไม่มากพอ
จึงทำให้แนวคิดเรื่องอีเธอร์ได้รับความนิยมอยู่บ้าง แต่เมื่อมีการพัฒนาเครื่องมือวัดที่มีความแม่นยำสูงมาก เช่นแสงเลเซอร์
ก็ทำให้สามารถบอกได้ว่า อีเธอร์ อาจไม่มีจริง (ใช่คำว่า อาจ เพราะในอนาคตมันอาจจะมีจริงก็ได้ แต่ตอนนี้เราเชื่อว่ามันไม่มี)
เมื่อเรื่องอีเธอร์ตกไป เราก็มีการพัฒนาความรู้เรื่องการแผ่รังสี เรื่องคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งสามารถอธิบายและน่าเชื่อถือได้มากกว่า
ซึ่งจากตรงนี้จะเห็นว่า มันต่างกันมากมายเมื่อเทียบกับแนวคิดด้านศาสนา เพราะสิ่งสำคัญของศาสนาคือต้องมีความศรัทธา
และศาสนาส่วนใหญ่ก็ห้ามโต้แย้งในคัมภีร์หรือองค์ศาสดา แต่วิทยาศาสตร์ไม่ได้เป็นแบบนั้น

หากคุณไม่เชื่อแนวคิดนี้ ทฤษฎีนี้ คุณสามารถโต้แย้งได้ และถ้าคุณสามารถโต้แย้งได้อย่างเป็นเหตุผล สามารถพิสูจน์ทดลองซ้ำได้
คุณก็สามารถโน้มน้าวให้คนอื่นมาคล้อยตามคุณได้ไม่ยาก ซึ่งสิ่งนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยในทางศาสนา


ทีนี้มาที่เรื่องที่คุณเอามาเป็นข้ออ้าง เพื่อ Discredit วิทยาศาสตร์
จะเห็นได้ว่าเรื่องอย่าง Singularity หรือ Black Hole สสารมืด พลังงานมืด
เหล่านี้ล้วนเป็นองค์ความรู้ใหม่ที่เพิ่งพัฒนามาได้ไม่กี่สิบปี ซึ่งการที่จะหาคำตอบของสิ่งเหล่านี้
ยังจำเป็นที่จะต้องพัฒนาองค์ความรู้ด้านอื่น ๆ ตามไปด้วย ยกตัวแย่างง่าย ๆ เช่นเรื่อง คลื่นความโน้มถ่วง
ในอดีต ตอนที่ไอน์สไตน์เสนอเรื่องนี้ขึ้นมา ตัวเขาเองก็ยังไม่เชื่อว่าเราจะสามารถตรวจวัดมันได้
แต่เมื่อเทคโนโลยีด้านต่าง ๆ พัฒนามากขึ้น เรามีเทคโนโลยีวิศวกรรม ที่สามารถสร้างอุโมค์สูญากาศยาวหลายกิโลเมตรได้
เราสามารถสร้างเครื่องยิงเลเซอร์พลังงานสูงเพื่อใช้ตรวจวัดได้ เราสามารถสร้าง Super Computer ที่ช่วยในการคำณวนได้รวดเร๋ว
เหล่านี้จึงทำให้เราสามารถที่จะพิสูจน์ได้ว่าคลื่นความโน้มถ่วงมีจริงเป็นต้น

ดังนั้นการที่เรายังไม่สามารถหาคำตอบเรื่องที่จขกท.ยกตัวอย่างมาได้ในตอนนี้
แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องที่เรายังหาคำตอบไม่ได้จะไม่มีจริง ซึ่งเราจำเป็นที่จะต้องพัฒนาองค์ความรู้อีกต่อไป

คนสมัยแต่ก่อนก็ไม่เชื่อเรื่องตาทิพย์หูทิพย์ แต่เป็นเพราะวิทยาศาสตร์ เราจึงสามารถดูถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกจากต่างประเทศได้
เราสามารถพูดคุยกับคนอื่นที่ไกลออกไปคนละซึกโลกได้ด้วยวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ด้วย ญาณ
และไม่ใช่ด้วยการนั่งสมาธิถอดจิตไปคุยหรือไปดู

ปล. เผื่อจขกท.จะยังไม่ทราบ ศาสนาพุทธ การเข้าฌาน จนได้ ญาณต่าง ๆ นั้น เป็นไปเพื่อแสวงหาทางหลุดพ้น
ไม่ใช่เป็นไปเพื่อหาคำตอบของจักรวาล เพราะงั้นต่อให้มีเกจิ ครูบา หลวงพ่อ องค์ไหนที่มีความสามารถถึงขั้นรู้แจ้งระดับนั้น
ยังไงท่านก็ไม่มาให้คำตอบในเรื่องเหล่านี้เป็นแน่ เพราะท่านจะมองว่าเป็นอจิณไตย ไม่ใช่ความรู้เพื่อการหลุดพ้น

ดังนั้นวิธีการเข้าฌาน การได้ ญาณ จึงไม่สามารถให้คำตอบในปรากฏการณ์หลายอย่างเหล่านี้ได้เลย
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
ผมขอสรุปการ "ตั้งธง" ของ จขกท.ให้ทุกท่านอ่านก่อน  ท่านจะได้ไม่เสียเวลาตอบกระทู้ไร้สาระนี้ครับ
นี่คือ ความเชื่อ  วิจารณญาณ  และ  ธงผืนเบ่อเริ่ม  ที่ จขกท.ตั้งไว้

- ตกลงทุกวันนี้ วิทยาศาสตร์ ของเรา มั่วใช่หรือเปล่า เพราะไม่สามารถอธิบาย
  ปรากฎการณ์หลาย ๆ อย่าง ทางดาราศาสตร์ได้

- ผมว่าทำไปทำมา ความรู้หรือศาสตร์ ทางด้าน ศาสนา เช่น การได้ ญาณ
  ทำให้รับรู้หรือเข้าใจธรรมชาติของจักรวาลได้ดีกว่าวิทยาศาสตร์อีก

- ผมคิดว่า ถ้าอยากเข้าใจเรื่องของจักรวาล หรืออะตอม คงต้องไปฝึกนั่งสมาธิ เข้าญาณ ......
  คงต้องศึกษาไปทางนี้ อาจจะรู้อะไรได้มากกว่า  เพราะมีคนที่เคยนั่งสมาธิเขาบอกผมว่า
  เรื่องบางอย่าง ไม่ต้องหาคำตอบ ลองไปนั่งสมาธิเข้าญาณดูเดี๋ยวก็รู้คำตอบเอง

ผมขอบายที่จะโต้แย้งใด ๆ  เพราะการอธิบายให้คนที่มีความเชื่อนำความรู้ .... มันยากยิ่งครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่