ชีวิตครูสอนโยคะ ติดเกาะกลางทะเลอันดามัน

เริ่มเรื่องกันเลยนะ สามปีก่อน เราเขียนรีวิวสตูดิโอโยคะที่เคยไปเล่นมาในช่วงสิบปี จนได้ข่าวว่า มีหลายคนพยายามตามหาว่าเราเป็นใครมาจากไหน เนื่องจากมีการพาดพิงผู้คนบางคนไปบ้าง แต่เรื่องมันผ่านไปแล้ว ถึงตอนนี้ก็คงลืมๆกันไปแล้วล่ะ
จากการรีวิวครั้งนั้น ได้นำมาซึ่งเรื่องราวที่จะเล่าสู่กันฟังในครั้งนี้
หลังจากกระทู้รีวิวครั้งนั้นถูกเผยแพร่ แชร์กันไป จนกระทั่ง มีรุ่นน้องคณะของเราได้มาเห็นเข้า นางคงเดาได้ว่าเป็นเรา ก็เลยแอดเฟรนด์มา หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมาหลายปี สาระสำคัญของการทักทายคือ “พี่สนใจไปสอนโยคะที่รีสอร์ทบนเกาะราชาไหม”
เราถามกลับไปว่า เมื่อไหร่ มีรายละเอียดไหม คำตอบคือ เดือนหน้าเลย หมายถึงมีเวลาเตรียมตัวแค่อาทิตย์กว่าๆ ประเภทงานด่วนหาคนไม่ได้ประมาณนั้น รายละเอียดต่อไปคือ สอนวันละ 2 ชั่วโมง เช้าหนึ่ง เย็นหนึ่ง คิดง่ายๆค่าสอนชั่วโมงละ 500 วันละ 1000 เรทเทียบกับในกทม.ก็ประมาณนี้ แต่ต้องไปอยู่ 1 เดือน มีที่พักฟรี อาหารฟรี ค่าเดินทางตั๋วเครื่องบินหนึ่งเที่ยวบวกค่าแท็กซี่จากสนามบิน บวกโอซีที่ใช้เป็นค่าอาหารในรีสอร์ทอีกหมื่นบาท ในกรณีที่ไม่อยากกินอาหารที่จัดไว้สำหรับพนักงาน

รุ่นน้องสงรูปห้องพักมาให้ดู สภาพห้องไม่ต่างจากห้องในโรงแรม ขนาดห้องน่าจะประมาณ 40 ตร.ม. ใหญ่กว่าคอนโดหลายๆที่แหละ แค่อยู่นอกเขตรีสอร์ท ต้องเดินไปประมาณ 2-3 นาที อุปกรณ์อำนวยความสะดวกพร้อม เตียงคิงไซส์ แอร์ ทีวี ตู้เย็น รูมเซอร์วิซ ทำความสะอาด พร้อมเปลี่ยนผ้าปูที่นอน ผ้าเช็ดตัวอาทิตย์ละครั้ง มีบริการซักรีดฟรี 45 ชิ้นต่อเดือน
หลังจากคุยกันไม่นาน เราไม่คิดอะไรมาก ตอบตกลงไปแบบไม่ต้องคิดอะไร เพราะอยู่บ้านก็ไม่ค่อยได้ทำอะไรอยู่แล้ว งานสอนที่กรุงเทพฯก็แค่อาทิตย์ละวันสองวัน จริงๆอย่าเรียกว่าทำงานเลย แค่กิจกรรมแก้เบื่อน่ะ
เมื่อตอบตกลงแล้ว ก็จัดการซื้อตั๋ว เคลียร์คิวกับสตูที่เราสอนอยู่ว่า จะไม่อยู่เดือนนึงนะ ทางสตูก็รับทราบ และถามว่าจะกลับเมื่อไหร่ ซึ่งก็ต้องขอขอบคุณเจ้าของสตูดิโอนี้เป็นอย่างมาก ที่ยังใจดีจ้างเราสอนต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้

ตัดภาพไป เนื่องจากห่างหายการเดินทางแบบที่จะต้องไปอยู่ที่อื่นนานๆแบบนี้นานมากแล้ว ปกติไปเที่ยว อย่างมากก็อาทิตย์กว่าๆก็กลับแล้ว ครั้งที่ไม่อยู่บ้านนานที่สุดคือ ตอนไปเรียนต่อที่อเมริกา ซึ่งนั่นมันเหมือนกับการย้ายบ้านกลายๆ การจัดกระเป๋าก็แน่นอนว่า เต็มที่เลยว่า ไปยาวเป็นปี  แต่พอจะต้องจัดกระเป๋าแบบที่จะไปอยู่เดือนนึงแบบนี้ มันงงน่ะ ต้องเอาอะไรไปมั่งวะ ปกติไม่ใช่คนที่ชอบแบกอะไรเยอะอยู่แล้ว ก็พยายามจัดให้มันน้อยที่สุด จัดไปจัดมา มีแบคแพคไซส์ 32 ลิตรหนึ่งใบ กระเป๋าดัฟเฟิลอีกหนึ่งใบ รวมน้ำหนักทั้งสองใบน่าจะเกือบๆสิบกิโล
ถามว่าเอาอะไรไปบ้าง เท่าที่จำได้ตอนนั้น นอกจากเสื้อผ้าที่เอาไปน้อยมาก น้ำหนักส่วนใหญ่คือ โน๊ตบุ๊ค กล้องถ่ายรูป ที่เป่าผม และที่หนักมากๆคือบรรดาสารพัดสกินแคร์ ครีมอาบน้ำ แชมพู และโลชั่นทั้งหลายแหล่นั่นแหละ

เราไปถึงภูเก็ตในตอนนั้นคือ ต้นเดือนกันยายน 2016 หน้าฝนเต็มๆ ไม่รอด ลงเรือฝ่าฝน คลื่นลมมาเต็ม กว่าจะไปถึงเกาะ ก็ตามคาด เละเทะไม่เป็นท่า
หลังจากเอาของเข้าที่พัก ฝ่ายจัดการของรีสอร์ท ก็พาทัวร์ท่ามกลางสายฝนพรำตลอดเวลา น้องพนักงานอธิบายว่าต้องทำอะไรบ้าง อะไรอยู่ที่ไหน ยังไง มีอะไรที่ต้องรู้บ้าง เพราะต้องใช้ชีวิตที่นี่ไปอีกเดือนนึง เราก็รับทราบตามไป
ก่อนจะเล่าต่อไป เราขออธิบายลักษณะทางกายภาพของความเป็นอยู่ที่นี่ให้พอเห็นภาพลางๆว่า ที่นี่เรียกว่า เกาะราชาใหญ่ รีสอร์ทที่เรามาสอนโยคะคือ The Racha Resort เป็นรีสอร์ทที่ใหญ่ที่สุด แพงที่สุด และตั้งอยู่บนหาดที่สวยที่สุดบนเกาะนี้  การเดินทางมาเกาะนี้ คือเริ่มต้นจากท่าเรืออ่าวฉลองที่ภูเก็ต ในสภาพอากาศดีๆ นั่งสปีดโบทใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง แต่ถ้าสภาพอากาศแย่ ถึงแย่มาก อาจจะใช้เวลามากกว่า 45 นาทีจนถึงชั่วโมงนึง หรืออาจจะมาไม่ได้เลยในช่วงที่สภาพอากาศเลวร้ายสุดๆ โดยเฉพาะในช่วงเดือนกันยายนและตุลาคมนั้น ถือว่าเป็นช่วงพีคของมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ เรียกได้ว่าฝนแทบจะตกทุกวัน หนักบ้าง เบาบ้าง สลับกันไปแบบนี้ทั้งเดือน

สิ่งอำนวยความสะดวกบนเกาะ คือ ไม่มีเซเว่น ไม่มีเอทีเอ็ม มีร้านขายของชำหนึ่งร้านซึ่งไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่า ราคาบวกไปเกือบเท่าตัว เพราะฉะนั้น ก่อนขึ้นเกาะ ต้องคิดให้ดีว่าจะเอาอะไรไปบ้าง ห้ามลืมเด็ดขาด อย่าคิดว่าอยากได้อะไรก็จะนั่งเรือขึ้นฝั่งมาซื้อ มันไม่ง่ายแบบนั้น การนั่งเรือสปีดโบทโต้คลื่นลม ฝ่าฝนไปกลับในวันเดียว มันเหนื่อยและชวนให้ปวดหัวจนอาจจะเป็นไข้ได้ง่ายๆ เพราะงั้น มีอะไรจำเป็นต้องใช้ ต้องขนไปให้หมด
กิจวัตรประจำวันของการเป็นครูสอนโยคะที่นี่คือ มีคลาสตอนเช้า แปดโมงครึ่ง ซึ่งโดยปกติ จะมีนักเรียนประจำหนึ่งคน ซึ่งเป็นภรรยาจีเอ็มของรีสอร์ท พนักงานจะเรียกเธอว่า มาดาม เป็นคนมาเลเซีย มาดามเป็นผู้หญิงอายุ 50 กว่าๆ เป็นมาเลย์เชื้อสายจีน รูปร่างดีตามสภาพปกติของคนออกกำลังกายทุกวัน
ในกรณีที่ไม่มีแขกมาเรียน เราก็จะสอนมาดามแค่คนเดียว ซึ่งเป็นเรื่องง่ายมาก เพราะแกเล่นโยคะทุกวันอยู่แล้ว ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก แค่ถามว่าอยากทำอะไร อยากฝึกท่าไหนเป็นพิเศษ อะไรยังไง ก็ว่ากันไป
ความน่าตื่นเต้นคือ การต้องมาสอนแขกซึ่งไม่เคยฝึกโยคะมาก่อน ที่ต้องมาเล่นพร้อมกับแขกที่ฝึกโยคะมาแล้วหลายปี ยิ่งในตอนนั้น ประสบการณ์สอนของเราก็ยังเรียกว่าเบๆสุดๆ คือ กูจะสอนยังไงวะเนี่ย คนนึงก็โปร คนนึงก็ง่อย มีทั้งจีน ทั้งยุโรป ทั้งแขก โอยยย มึนไปหมด
แต่พอผ่านไป 2-3 ครั้ง ชีวิตก็ดีขึ้น เริ่มปรับตัวเข้ากับสภาพคลาสแบบนี้ได้ไม่ยากนัก
ช่วงวีคแรกของการไปใช้ชีวิตบนเกาะ ก็เหมือนการไปเที่ยวปกติ ตื่นตา ตื่นใจ เดินสำรวจเกาะจนทั่ว ซึ่ง จริงๆคือ เดินแป็ปเดียวก็หมดแล้ว
หลังจากวีคแรกผ่านไป ความน่าเบื่อหน่ายคืบคลานเข้ามาเหมือนเมฆดำก้อนใหญ่ที่ปกคลุมท้องทะเลและผืนฟ้าตลอดเดือนในช่วงมรสุม  ในที่สุดเราก็ต้องยอมเหนื่อยนั่งเรือขึ้นฝั่งไปเดินห้างในภูเก็ต เข้าสตาร์บัค กินเอ็มเคคนเดียว ชื้อขนมตุนไว้บนเกาะ เพราะเบื่ออาหารโรงแรมที่แม้จะโอเคแต่มันไม่ใช่แนวเราน่ะ โชคดีที่ปีนั้น เราอยู่ที่เกาะยาวจนถึงช่วงเทศกาลกินเจที่ภูเก็ตพอดี การขึ้นฝั่งในครั้งนั้น จึงเป็นอะไรที่พลาดไม่ได้ สำหรับคนที่ไม่เคยไปเที่ยวเทศกาลกินเจที่ภูเก็ตแบบเราเลย ถึงจะต้องเหนื่อย นั่งเรือไปกลับในวันเดียว ก็ถือว่าคุ้มอยู่น่ะ

สรุปปีนั้น ครั้งแรกที่ตกลงไปว่าจะอยู่ 1 เดือน แต่ต้องอยู่ยาวไปจนเกือบสิ้นตุลา รวมๆแล้วปาเข้าไปเดือนครึ่ง เพราะหาคนมาสอนต่อไม่ได้ ชีวิตแต่ละวันผ่านไปอย่างซ้ำซาก เช้ามาสอน เจอกับมาดาม จบคลาสก็ไปกินข้าว คุยกันโน่นนี่นั่น แยกย้าย ตอนเย็นออกมาที่สตูดิโออีกรอบ ถ้ามีคนมา ก็สอนไป ถ้าไม่มีใครมา ก็ฝึกเองบ้าง หรือไม่ก็ออกไปทำอย่างอื่น เล่นน้ำทะเล เดินเล่น ถ่ายรูป เรื่อยเปื่อยไป
สิ่งที่น่าเบื่ออีกอย่างนึงบนเกาะคือ ทีวีไม่สามารถดูได้ครบทุกช่อง เพราะดาวเทียมที่นี่รับสัญญาณไม่เหมือนบนฝั่ง มันจะดูทีวีไทยได้ไม่กี่ช่อง ส่วนสัญญาณไวไฟของรีสอร์ทก็ไม่นิ่ง เรียกว่าช้ามากสำหรับคนที่เคยชินกับการใช้เนทแบบไฮสปีดมาก่อน ส่วนสัญญาณ 3จี 4จี ก็แปรปรวนไม่ต่างจากสภาพอากาศ สรุปคือ เนทอยู่ในสภาพแค่พอใช้สื่อสารได้ แต่จะดูสตรีมมิ่งเร็วๆ ขอให้ลืมๆไปซะ
การได้ไปใช้ชีวิตติดเกาะ ทำงานในรีสอร์ทหรูกลางทะเล อาจจะดูเหมือนเป็นชีวิตในฝันของใครหลายคน แม้แต่เพื่อนๆพี่ๆน้องๆเรา พอรู้ว่าเราได้ไปทำงานที่นั่น ก็พูดเหมือนๆกันว่า ชีวิตช่างน่าอิจฉา

เวลาที่คนส่วนใหญ่ได้ไปอยู่ในที่สวยๆ บรรยากาศดีๆ ก็จะลงโซเชียลอวดๆกันไปเป็นปกติ แต่ในตอนนั้น เราอัพสเตตัสทุกวัน ทั้งๆที่ปกติ เป็นคนไม่ได้ติดเฟซ ติดไอจี ขนาดจะต้องมีอะไรลงทุกวันแบบนั้น
สรุปในช่วงนั้น สเตตัสเฟซบุ๊คเราจะเต็มไปด้วยรูปสวยๆบนเกาะ พร้อมกับแคปชั่นบ่นเบื่อชีวิตบนเกาะแทบทุกวัน
หลังจากผ่านครั้งแรกในปีนั้น มันก็มีครั้งที่สองในปีต่อมา รุ่นน้องติดต่อมาอีกว่า ไปอีกมั้ย ครั้งนี้เริ่มคิดนานนิดนึง เราคิดถึงความน่าเบื่อหน่าย ซ้ำซากของชีวิต ไปไหนก็ลำบาก อาหารการกินก็ไม่ถูกปาก แล้วที่ต้องคิดเยอะกว่าครั้งก่อนเพราะ ตอนนั้น เรามีงานสองมากกว่าเดิม ต้องสอนสองที่ แต่ปัญหาที่น่าเบื่อไม่แพ้กันในกรุงเทพฯคือ รถโคตรติด สตูดิโออีกที่ที่ต้องไปสอนอยู่แถวๆนางลิ้นจี่ ต้องผ่านสาทร ซึ่งรถติดนรกมาก ไม่ว่าจะหลบไปเลือกเส้นทางไหน ก็ติดไปหมด
หลังจากคิดกลับไปกลับมา เราก็เลือกไปเกาะอีกครั้ง แล้วขอยกเลิกการสอนสตูดิโอแถวๆนางลิ้นจี่ไป ส่วนอีกที่หนึ่ง ซึ่งค่อนข้างใกล้บ้านเรามากกว่า ก็บอกไปว่า ไม่อยู่เดือนนึงนะ เหมือนเดิม
ครั้งที่สอง เรารู้แล้วว่า จะต้องเจอกับสภาพชีวิตแบบไหน จะต้องเอาอะไรไปบ้าง คราวนี้ง่ายหน่อย จัดกระเป๋าเป้ใบเดียว ไม่มีกล้อง ไม่มีโน๊ตบุ๊ค แต่สกินแคร์ทั้งหลาย ยังคงหนักอึ้งเหมือนเดิม

ครั้งที่แล้วมาหน้ามรสุม กันยายน ตุลาคม แต่ครั้งที่สองนี่ ซัมเมอร์สุดๆ เมษายน พฤษภาคม อยู่ยาวเดือนกว่าๆ ทะเลสวยสุด แน่นอนว่า สิ่งที่คู่กับทะเลสวยๆคือ อากาศร้อนบรรลัยวายป่วงสุดๆ เราแทบไม่ออกจากห้องเลย ทุกครั้งที่เดินออกมา ต้องกลางร่มตลอด ทั้งๆที่ปกติ ไม่ได้เป็นคนกลัวแดดอะไรเลย แต่มันไม่ไหวจริงๆน่ะ ขนาดคนท้องที่ ชาวบ้านบนเกาะยังกางร่มเดิน เราเป็นใครมาจากไหนเหรอ ก็ทำตามเค้าเถอะ
สภาพความเป็นอยู่ทั่วไป ก็เหมือนเดิมนั่นแหละ เช้าสอน หลังคลาส กินข้าวกับมาดาม คุยกัน แยกย้าย ตอนเย็นออกมาสอนอีกรอบ ถ้าไม่มีคนก็หาอะไรอย่างอื่นทำไป ฝึกโยคะบ้าง เข้าฟิตเนสบ้าง ไปว่ายน้ำบ้าง หรือไม่ก็ไปเดินเล่น หาอะไรกินซะให้มันหมดๆวันไป
ถึงตอนนี้ อาจจะมีคนสงสัยว่า สรุปแล้วมันมีอะไรดีบ้างไหมนะ ข้อดีชัดๆเลยที่เรารู้สึกได้คือ ร่างกายจะดีขึ้นอย่างชัดเจน เพราะสภาพแวดล้อม ธรรมชาติ อากาศบริสุทธิ์ ส่งผลอย่างมาก ถ้าจัดการเรื่องอารมณ์เบื่อๆได้ ชีวิตที่นี่ก็ไม่เลวร้าย ซึ่งครั้งนี้ เราว่า เราโอเคกว่าครั้งก่อนมาก ไม่ได้มีสเตตัสบ่นเบื่อให้เห็นมากมายแบบครั้งก่อนแล้ว

เมื่อครั้งที่หนึ่ง และสอง ผ่านไป ก็มีครั้งต่อมา ล่าสุดปีนี้ เรากลับไปที่เกาะอีก ครั้งแรกเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นเดือนที่พีคที่สุดบนเกาะ เพราะมันเป็นช่วงเทศกาล ทั้งตรุษจีน ทั้งวาเลนไทน์ ผู้คนมหาศาล แน่นอนคนจีนคือกลุ่มใหญ่สุดบนเกาะ ไม่ต้องอธิบายให้มากความว่า มันจะอลหม่านขนาดไหน หาดแน่นแทบมองไม่เห็นพื้นทราย บุฟเฟ่ต์ตอนเช้า แน่นจนแทบจะหาโต๊ะนั่งไม่ได้ เป็นเดือนที่ลืมความเบื่อไปเลย แต่ได้ความวุ่นวายมาแทน แต่ก็โอเค พอรับมือได้
เดือนล่าสุด มิถุนายนที่ผ่านมา เราได้กลับไปติดเกาะอีกครั้ง และเพิ่งกลับมาเมื่อต้นเดือนกรกฏาคมนี้ ก่อนเหตุการณ์เรือร่มที่ภูเก็ตที่กำลังเป็นข่าวไปทั่วโลกอยู่ตอนนี้
จากประสบการณ์สามปีที่ผ่านมา เรารู้สึกว่า ปีนี้ สภาพอากาศเลวร้ายที่สุดที่เคยเจอมาเลย ช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา บางวัน รีสอร์ทต้องงดออกเรือ และยอมคืนเงินให้ลูกค้าที่จองห้องไว้ เพราะดูสภาพอากาศแล้วไปไม่ถึงเกาะแน่ๆ มีอยู่วันนึง มีเรือออกมาไม่ถึง10 นาที สุดท้ายต้องวนกลับเข้าฝั่ง แขกที่เช็คเอ้าท์จะกลับฝั่ง ก็กลับไม่ได้ ก็ต้องยอมให้อยู่ฟรีกันอีกคืนนึง
(เดี๋ยวมาต่อนะ)
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่