คือผมเคยมีแฟนมาก็หลายคนครับ เวลาเลิกกันก็มีหลายแบบครับ เช่น ต่างคนต่างหายบ้าง เลิกกันด้วยเหตุอะไรก็ตามแต่ก็จากกันโดยดีบ้าง บางครั้งเลิกกันแบบไม่ดีเลย คงคล้ายๆ108 เหตุผลการเลิกของทุกคน ซึ่งน่าจะมีแค่ 3 แบบ คือ ต่างคนต่างไปแบบแฟร์ๆไม่มีใครเสียน้ำตา, เลิกกันแย่ๆหน่อย, และสุดท้ายคงเลิกกันแบบงงๆ จำเป็น หรืออื่นๆอะไรก็ตาม555
แต่!! ส่วนใหญ่ผมที่เลิกไปแม้จะเลิกแบบไม่ดี เมื่อวันเวลาผ่านไปมีโอกาสได้เจอได้คุย ได้พบกันก็ยังคุยกันได้ทักทายกันได้ตามประสาคนเคยคุ้นเคย เพราะตอนนี้คือปัจจุบันแล้ว แม้ว่าบางคนมีแฟนใหม่แล้ว บางคนแต่งงานแล้ว บางคนมีลูกแล้ว ผมก็ยังสามารถคุยกันได้ บางคนกลับสนิทกันด้วยซ้ำ คุยไปยิ้มไปหัวเราะไปขำเวลาเล่าถึงอดีต
แต่เวลาเจอเวลาคุยไม่เคยคิดจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมนะ แม้เขาจะยังไม่มีแฟนใหม่ก็ตาม เพียงแต่อยากให้คุยกันได้ในฐานะเพื่อร่วมโลกคนหนึ่งที่เคยผ่านช่วงเวลาหนึ่งมาด้วยกัน ซึ่งทุกคนก็สามารถกลับมาคุยกันได้เมื่อเวลาผ่านไปเป็นปี อาจจะกลับมาเจอกันด้วยความบังเอิญอะไรก็ตาม
แต่!! มีอยู่คนหนึ่งที่ผมรู้สึกค้างคาใจมาโดยตลอดเรื่องก็มีอยู่ว่า
เราเจอกันกลางปี 2558 ผมเข้าร่วมโปรแกรมนานาชาติ ซึ่งผมไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้มาก และโชคดีที่เป็นช่วงเวลาที่ มิ้ง(นามสมมติ) มาเป็นนักศึกษาฝึกงานที่โรงเรียนนี้ มิ้งเลยได้ช่วยแปล ช่วยเป็นล่าม ช่วยทำรายงาน หลายๆอย่างตลอดเวลาที่เรียน จนกลายมาเป็นความสนิท จนได้เป็นแฟนกัน ในช่วงแรกอาจจะเป็นเพราะเหตุบางเอิญ เพราะเมา แต่นานไปเราก็รู้สึกได้ถึงความรักที่แท้จริงที่เรามีต่อกัน เราจึงเริ่มที่จะสานความสัมพันธ์นั้นต่อไป
แต่ด้วยนิสัยส่วนตัวเราสองคนไม่ตรงกันเลยทำให้ทะเลาะกันบ่อย แต่ผมก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติที่คนเรารักกันก็ต้องเรียนรู้กันปรับความเข้าใจกันและมองอนาคตไปด้วยกัน อาจจะไม่ตรงกันบ้าง ผมเป็นคนสุภาพ พูดจาเรียบร้อย ส่วนมิ้งเป็นคนแรงๆ ดูเหมือนทุกอย่างจะตรงข้ามกัน แต่เราก็พยายามปรับกัน
แต่เหตุผลที่ผมบอกเลิกมิ้งคือเรื่องความหึงหวงจนผมทำงานกับคนอื่นลำบาก และไม่ใช้ครั้งแรกที่เป็นแบบนี้ซึ่งเกิดขึ้นสองรอบแล้วและเป็นการทะเลาะกันที่หนักมาก คือครั้งสุดท้ายเป็นช่วงที่ผมจบโปรแกรมแล้วและผมต้องกลับกทม.ส่วนมิ้งยังอยู่ที่เดิมคือเชียงใหม่ มิ้งเห็นผมกับผู้หญิงอีกคนคอมเมนต์กันในIG ทำให้มิ้งอลาวาดใส่ผม และโกรธแถมลามไปถึงผู้หญิงคนนั้นซึ่งเป็นคนที่ผมต้องทำงานร่วมกัน ทำให้เราทะเลาะกันหนักจนคุยกันไม่จบ ในที่สุดผมทนไม่ไหวบอกเลิก แต่ฝากไว้ว่าเราหากเป็นอย่างมิ้งคิดจริงก็คงต้องรอเวลาเป็นตัวพิสูจน์ว่าจริงไหม แต่ตอนนี้ต้องเลิกกันจริงๆเพราะรอบที่สามแล้วทั้งๆที่ในใจผมก็รักมิ้งและเราวางแผนอนาคตอะไรด้วยกันไหว้หลายอย่าง แต่ก็ต้องปล่อยวาง เราเลิกกันตอนมกราคม 2559 และปัจจุบันผมกับผู้หญิงคนที่มิ้งหึงห่วงทุกคนก็ไม่ได้เป็นอย่างที่มิ้งคิดเลย
ช่วงแรกมิ้งพยายามขอคืนดีแต่ผมไม่ไหวแล้วขอเป็นเพื่อนพี่น้องที่ดีต่อกันดีกว่า ทำให้เธอโกรธผมหนัก หลังจากนั้นเราก็มีโอกาสเจอกันบ่อยแต่มิ้งก็ไม่พูดไม่อะไรกับผมทั้งสิ้น ทั้งๆที่ผมพยายามขออย่าโกรธกันเลย กลับมาคุยกันดีๆ แต่เธอก็ไม่ยอม ผมเลยคิดว่าจะให้เวลาล่วงเลยไปก่อน เธอน่าจะหายโกรธและกลับมาคุยกันดีๆแม้สถานะจะไม่เหมือนเดิมก็ตาม ระหว่างที่รอให้เวลาเดินไปผ่านผมก็พยายามติดตามชีวิตเธอตลอด แม้ทางโซเชียลมิ้งจะบล๊อคผมทุกทาง แต่ผมก็คอยติดตามจากเพื่อนๆของมิ้งบ้าง ผ่านไปประมาณเกือบปีผมก็ได้ข่าวว่ามิ้งมีแฟนใหม่ ทำให้ในใจผมรู้สึกดีขึ้นมาเพราะอาจจะทำให้มิ้งเลิกโกรธแล้วมาคุยกันดีๆได้ แต่สุดท้ายผมพยายามเท่าไหร่ ก็ไม่ดีกัน เพราะบางครั้งเรายังเจอกันตามงานบางงาน มิ้งไม่คุยไม่มองหน้าผมแม้ผมพยายามเข้าไปทักด้วย ครั้งสุดท้ายที่เจอมิ้งคือ คืนวันที่ 14 ธ.ค. 60 เราเลิกกันเมื่อ ม.ค. 59 ปัจจุบันก็ ผ่านไปเกือบสามปีแล้ว ผมรู้สึกนานมาก นานกว่าสามปีด้วยซ้ำ ผมยังคิดแต่เรื่องขอมิ้งคืนดีตลอด (ไม่ใช่คือดีแบบกลับมาเป็นแฟนนะ) หวังว่าวันหนึ่งมิ้งจะให้อภัยผม กลับมาคุยกับผมได้ในฐานะเพื่อน พี่น้อง
ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดีนอกจากรอให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ผมก็ยังไม่เห็นท่าทีว่ามิ้งจะกลับมาดีกับผมได้
มีใครเลิกกันแล้ว ไม่แม้แต่จะคุยจะเจอจะอะไรทั้งนั้นแม้เวลาผ่านไปหลายปีแล้วก็ตาม
แต่!! ส่วนใหญ่ผมที่เลิกไปแม้จะเลิกแบบไม่ดี เมื่อวันเวลาผ่านไปมีโอกาสได้เจอได้คุย ได้พบกันก็ยังคุยกันได้ทักทายกันได้ตามประสาคนเคยคุ้นเคย เพราะตอนนี้คือปัจจุบันแล้ว แม้ว่าบางคนมีแฟนใหม่แล้ว บางคนแต่งงานแล้ว บางคนมีลูกแล้ว ผมก็ยังสามารถคุยกันได้ บางคนกลับสนิทกันด้วยซ้ำ คุยไปยิ้มไปหัวเราะไปขำเวลาเล่าถึงอดีต
แต่เวลาเจอเวลาคุยไม่เคยคิดจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมนะ แม้เขาจะยังไม่มีแฟนใหม่ก็ตาม เพียงแต่อยากให้คุยกันได้ในฐานะเพื่อร่วมโลกคนหนึ่งที่เคยผ่านช่วงเวลาหนึ่งมาด้วยกัน ซึ่งทุกคนก็สามารถกลับมาคุยกันได้เมื่อเวลาผ่านไปเป็นปี อาจจะกลับมาเจอกันด้วยความบังเอิญอะไรก็ตาม
แต่!! มีอยู่คนหนึ่งที่ผมรู้สึกค้างคาใจมาโดยตลอดเรื่องก็มีอยู่ว่า
เราเจอกันกลางปี 2558 ผมเข้าร่วมโปรแกรมนานาชาติ ซึ่งผมไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้มาก และโชคดีที่เป็นช่วงเวลาที่ มิ้ง(นามสมมติ) มาเป็นนักศึกษาฝึกงานที่โรงเรียนนี้ มิ้งเลยได้ช่วยแปล ช่วยเป็นล่าม ช่วยทำรายงาน หลายๆอย่างตลอดเวลาที่เรียน จนกลายมาเป็นความสนิท จนได้เป็นแฟนกัน ในช่วงแรกอาจจะเป็นเพราะเหตุบางเอิญ เพราะเมา แต่นานไปเราก็รู้สึกได้ถึงความรักที่แท้จริงที่เรามีต่อกัน เราจึงเริ่มที่จะสานความสัมพันธ์นั้นต่อไป
แต่ด้วยนิสัยส่วนตัวเราสองคนไม่ตรงกันเลยทำให้ทะเลาะกันบ่อย แต่ผมก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติที่คนเรารักกันก็ต้องเรียนรู้กันปรับความเข้าใจกันและมองอนาคตไปด้วยกัน อาจจะไม่ตรงกันบ้าง ผมเป็นคนสุภาพ พูดจาเรียบร้อย ส่วนมิ้งเป็นคนแรงๆ ดูเหมือนทุกอย่างจะตรงข้ามกัน แต่เราก็พยายามปรับกัน
แต่เหตุผลที่ผมบอกเลิกมิ้งคือเรื่องความหึงหวงจนผมทำงานกับคนอื่นลำบาก และไม่ใช้ครั้งแรกที่เป็นแบบนี้ซึ่งเกิดขึ้นสองรอบแล้วและเป็นการทะเลาะกันที่หนักมาก คือครั้งสุดท้ายเป็นช่วงที่ผมจบโปรแกรมแล้วและผมต้องกลับกทม.ส่วนมิ้งยังอยู่ที่เดิมคือเชียงใหม่ มิ้งเห็นผมกับผู้หญิงอีกคนคอมเมนต์กันในIG ทำให้มิ้งอลาวาดใส่ผม และโกรธแถมลามไปถึงผู้หญิงคนนั้นซึ่งเป็นคนที่ผมต้องทำงานร่วมกัน ทำให้เราทะเลาะกันหนักจนคุยกันไม่จบ ในที่สุดผมทนไม่ไหวบอกเลิก แต่ฝากไว้ว่าเราหากเป็นอย่างมิ้งคิดจริงก็คงต้องรอเวลาเป็นตัวพิสูจน์ว่าจริงไหม แต่ตอนนี้ต้องเลิกกันจริงๆเพราะรอบที่สามแล้วทั้งๆที่ในใจผมก็รักมิ้งและเราวางแผนอนาคตอะไรด้วยกันไหว้หลายอย่าง แต่ก็ต้องปล่อยวาง เราเลิกกันตอนมกราคม 2559 และปัจจุบันผมกับผู้หญิงคนที่มิ้งหึงห่วงทุกคนก็ไม่ได้เป็นอย่างที่มิ้งคิดเลย
ช่วงแรกมิ้งพยายามขอคืนดีแต่ผมไม่ไหวแล้วขอเป็นเพื่อนพี่น้องที่ดีต่อกันดีกว่า ทำให้เธอโกรธผมหนัก หลังจากนั้นเราก็มีโอกาสเจอกันบ่อยแต่มิ้งก็ไม่พูดไม่อะไรกับผมทั้งสิ้น ทั้งๆที่ผมพยายามขออย่าโกรธกันเลย กลับมาคุยกันดีๆ แต่เธอก็ไม่ยอม ผมเลยคิดว่าจะให้เวลาล่วงเลยไปก่อน เธอน่าจะหายโกรธและกลับมาคุยกันดีๆแม้สถานะจะไม่เหมือนเดิมก็ตาม ระหว่างที่รอให้เวลาเดินไปผ่านผมก็พยายามติดตามชีวิตเธอตลอด แม้ทางโซเชียลมิ้งจะบล๊อคผมทุกทาง แต่ผมก็คอยติดตามจากเพื่อนๆของมิ้งบ้าง ผ่านไปประมาณเกือบปีผมก็ได้ข่าวว่ามิ้งมีแฟนใหม่ ทำให้ในใจผมรู้สึกดีขึ้นมาเพราะอาจจะทำให้มิ้งเลิกโกรธแล้วมาคุยกันดีๆได้ แต่สุดท้ายผมพยายามเท่าไหร่ ก็ไม่ดีกัน เพราะบางครั้งเรายังเจอกันตามงานบางงาน มิ้งไม่คุยไม่มองหน้าผมแม้ผมพยายามเข้าไปทักด้วย ครั้งสุดท้ายที่เจอมิ้งคือ คืนวันที่ 14 ธ.ค. 60 เราเลิกกันเมื่อ ม.ค. 59 ปัจจุบันก็ ผ่านไปเกือบสามปีแล้ว ผมรู้สึกนานมาก นานกว่าสามปีด้วยซ้ำ ผมยังคิดแต่เรื่องขอมิ้งคืนดีตลอด (ไม่ใช่คือดีแบบกลับมาเป็นแฟนนะ) หวังว่าวันหนึ่งมิ้งจะให้อภัยผม กลับมาคุยกับผมได้ในฐานะเพื่อน พี่น้อง
ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดีนอกจากรอให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ผมก็ยังไม่เห็นท่าทีว่ามิ้งจะกลับมาดีกับผมได้