คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 8
คณะศึกษาวิจัยในหลายประเทศ พบผู้จำอดีตชาติได้จากทั่วโลกแล้ว มากกว่า ๕,๐๐๐ ราย คำสอนของพระพุทธเจ้ากำลังได้รับการพิสูจน์แล้ว โดยวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ศาสนาพุทธกำลังได้รับการรับรอง โดยวิทยาศาสตร์ เหมือนดังคำกล่าวของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) ที่ว่า
"If there is any religion that could cope with modern scientific needs it would be Buddhism."
หมายถึง "ถ้าจะมีศาสนาใด ที่รับมือกับความต้องการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ปัจจุบันได้ ศาสนานั้นก็น่าจะเป็นศาสนาพุทธ"
ศ.นพ.เอียน สตีเวนสัน (Ian Stevenson, M.D.) นักวิทยาศาสตร์ที่ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ “การจำอดีตชาติได้” และ “การกลับชาติมาเกิด” มานานกว่า ๔๗ ปี
เมื่อท่านได้เสียชีวิตลงแล้ว นสพ.วอชิงตันโพสต์ ของสหรัฐอเมริกา ได้สดุดีว่า “ท่านเป็นบุคคลที่ทำการค้นคว้าหาหลักฐาน เกี่ยวกับการจำอดีตชาติได้อย่างมีหลักการ ยากที่จะปฏิเสธได้”
นสพ.เทเลกราฟ ของอังกฤษ กล่าวว่า “ท่านเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในการศึกษาเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ในยุค ๒๐๐๐”
การศึกษาวิจัยของ ศ.นพ.เอียน ได้ดำเนินการมากว่า ๔๗ ปี ตั้งแต่ก่อนปี ๒๕๐๓ ซึ่งท่านได้พบผู้ที่จำอดีตชาติได้ หรือผู้ที่สืบชาติมาเกิดใหม่ จากชาติและศาสนาต่างๆ ทั่วโลก ทั้งใน ยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย แอฟริกา และทวีปเอเชีย (รวมทั้งประเทศไทย) มากกว่า ๓,๐๐๐ ด้วยการสนับสนุนทุนในการศึกษาวิจัยเด็ก ที่จำอดีตชาติได้ จำนวนมหาศาล ถึง ๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก เชสเตอร์ คาร์ลสัน (Chester Carlson) ผู้คิดประดิษฐ์เครื่องถ่ายเอกสารให้พวกเราได้ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปสืบหากรณีศึกษา สัมภาษณ์ และเก็บข้อมูลหลักฐานในประเทศต่างๆ ทั่วโลก เพื่อใช้ในการศึกษาวิจัย
ผลงานการศึกษาวิจัยของศ.นพ.เอียน ได้ตีพิมพ์ออกมาเป็นรายงานทางวิชาการ ในนิตยสารชั้นนำทางวิทยาศาสตร์ หนังสือ และตำรับตำราออกมาเป็นระยะๆ ตั้งแต่ปี ๒๕๐๗ ถึงปัจจุบัน มากกว่า ๒๐๐ เล่ม จนเป็นที่ยอมรับจากบรรดานักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก
แต่ผลงานการศึกษาวิจัยของท่าน เป็นการนำเสนอเรื่องราวความจริงที่ขัดกันกับคำสอน และความเชื่อทางศาสนา ฮีบรู (ยิว) คริสต์ และอิสลาม
แต่ถึงแม้ว่า ดร.เอียน สตีเวนสัน จะถูกตราหน้าจากศาสนิกชนที่นับถือ ศาสนาฮีบรู (ยิว) ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม ว่า ความคิดของเขาเป็นความคิดนอกรีต (Heresy) หรือเป็นพวกนอกรีต (Heresies) ก็ตาม แต่ความจริงที่ท่านได้พิสูจน์ และยืนยันในวันนี้ จะได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ในวงการวิทยาศาสตร์ และจากผู้คนทั่วโลก
การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ “การจำอดีตชาติได้” และ “การกลับชาติมาเกิด” ของ ศ.นพ.เอียน ท่านก็ไม่ได้โน้มเอียงไปกับความเชื่อทางศาสนา ท่านยังคงเป็นนักศึกษาค้นคว้าวิจัยที่เป็นกลาง เชื่อในความเป็นจริง และเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของโลกตลอดไป
สุดท้าย เมื่อท่านเสียชีวิต ท่านก็คงจะได้พบความจริง และได้ประจักษ์ชัดเกี่ยวกับ ชีวิตหลังความตาย ด้วยตัวของท่านเองแล้ว ไม่ต้องท่องเที่ยวสืบหาศึกษาวิจัยกรณีศึกษาใดๆ อีกต่อไป
การศึกษาวิจัยของ ศ.นพ.เอียน สามารถบอกกับโลกว่า "ความจริงเกี่ยวกับวงจรชีวิตของคนเรา ตั้งแต่เกิดจนตาย และตั้งแต่ตายจนกระทั่งเกิดใหม่นั้น อาจจะไม่เป็นไปตามความเชื่อของศาสนาต่างๆ เหล่านี้"
ด้วยเหตุที่ว่า "การศึกษาวิจัยชี้ไปที่ ความมีอยู่ของชีวิตหลังความตาย คนเราสามารถกลับชาติมาเกิดใหม่ได้ คนเราสามารถจำอดีตชาติได้ และเวรกรรมมีจริง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ ตัวท่านเองก็เกิดในครอบครัวที่นับถือศาสนาคริสต์ ท่านไม่เคยมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดมาก่อน แต่เมื่อท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ ท่านก็ไม่ได้เอาความเชื่อทางศาสนามากีดกั้นความจริงที่พิสูจน์ได้ ตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพราะท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ ถึงแม้ว่า ท่านจะทราบถึงธรรมชาติที่แท้จริง เกี่ยวกับวงจรชีวิตของคนเราว่า ชีวิตหลังความตายมีอยู่จริง คนเราสามารถกลับชาติมาเกิดใหม่ได้จริง คนเราสามารถจำอดีตชาติได้จริง และเวรกรรมมีจริง"
ระลึกชาติรักษาโรค
จากการศึกษาวิจัยผู้ที่จำอดีตชาติได้ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ทั่วโลกของคณะศึกษาวิจัยคณะนี้ พวกเขาได้พบผู้ที่จำอดีตชาติได้มากกว่า ๓,๐๐๐ ราย และพบเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากหลายประเทศ หลายศาสนา และหลายความเชื่อทั่วโลก
ซึ่งพวกเขาได้นำผลที่ได้จากการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในทางการแพทย์บ้างแล้ว เช่น ใช้ในการวิเคราะห์ และรักษาอาการทางจิตของเด็ก หรือของคนไข้ที่เป็นโรคกลัว (Phobias) เช่น กลัวน้ำ กลัวการนั่งเรือ กลัวที่จะอยู่ในที่แคบๆ เป็นต้น
ซึ่งผลจากการศึกษาวิจัยพบว่า บางกรณีเกิดจากความทรงจำที่เลวร้ายในอดีตชาติ ที่ยังฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก เช่น ในอดีตชาติเคยตกน้ำตาย หรือตายเพราะเรือล่ม เมื่อเกิดมาในชาตินี้ จึงกลัวน้ำกลัวการนั่งเรือ เป็นต้น
ในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ ศ.นพ.เอียน สตีเวนสัน ท่านได้ใช้ความจริงที่ได้จากการศึกษาวิจัย เกี่ยวกับผู้ที่จำอดีตชาติได้ของท่าน ไปใช้ในการพยายามเปลี่ยนทัศนคติของนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในการตรวจหาสมุฏฐานของโรค รอยตำหนิ แผลเป็น อาการความผิดปกติ และความผิดปกติพิการ ตั้งแต่กำเนิด ว่ามีบางกรณีไม่สามารถใช้สมุฏฐานเกี่ยวกับ การใช้ยาของมารดา โรคของมารดา ความผิดปกติระหว่างการตั้งครรภ์ หรือการสืบทอดทางพันธุกรรมมาอธิบายได้เพียงพอ รวมทั้งการวิเคราะห์เกี่ยวกับพฤติกรรมและพัฒนาการของเด็ก ว่าบางกรณีอาจไม่ได้เป็นผลมาจากสภาวะแวดล้อมจากครอบครัวพ่อแม่ การเรียนรู้รับรู้ หรือการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลต่างๆ นับตั้งแต่แรกเกิด
สำหรับในประเทศไทย เราก็มีผู้ที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้มากพอสมควร แต่ยังไม่มีใครทำการศึกษาวิจัยอย่างจริงจังในเชิงวิชาการ อาจเป็นเพราะไม่มีผู้สนับสนุนทุนให้ทำการศึกษาวิจัย เนื่องจากยังมองไม่เห็นประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมก็เป็นได้
ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเราชอบเป็นผู้ตามมากกว่าที่จะเป็นผู้นำอยู่แล้ว เมื่อก่อนพวกฝรั่งเขาไม่เชื่อเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เลย ไม่มีแม้แต่คำศัพท์ที่จะใช้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ ให้เข้าใจได้อย่างชัดเจน
แต่ในปัจจุบันนี้ ฝรั่งเขาสนใจเรื่องนี้มาก เขามีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องราวของจิตที่นอกเหนือจากจิตปกติกันมานาน เช่น โทรจิต (Telepathy), สัมผัสที่หก (Six Sense), การรับรู้พิเศษ (Extra Sensory Perception), การใช้พลังจิตเคลื่อนย้ายสิ่งของ (Psycho Kinetic), การกลับชาติมาเกิด(Reincanation) เป็นต้น ซึ่งอยู่ในสาขาวิชาปรจิตวิทยา (Parapsychology)
ในบ้านเรากลับตรงกันข้าม เมื่อก่อนนี้ เรามีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก เพราะพวกเราส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธ และเราเชื่อถือในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
แต่ในปัจจุบันนี้ เรากลับมองเรื่องเหล่านี้ว่า เป็นเรื่องงมงาย ทุกครั้งที่มีการนำเสนอถึงเรื่องเหล่านี้ ตามสื่อต่างๆ โดยเฉพาะสื่อโทรทัศน์ ก็จะได้เห็นคำว่า
...เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการชม
"ถ้าจะมีศาสนาใดที่รับมือกับความต้องการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ปัจจุบันได้ ศาสนานั้นก็น่าจะเป็นศาสนาพุทธ"
ขอบคุณข้อมูลจาก:
http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/27783

"If there is any religion that could cope with modern scientific needs it would be Buddhism."
หมายถึง "ถ้าจะมีศาสนาใด ที่รับมือกับความต้องการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ปัจจุบันได้ ศาสนานั้นก็น่าจะเป็นศาสนาพุทธ"
ศ.นพ.เอียน สตีเวนสัน (Ian Stevenson, M.D.) นักวิทยาศาสตร์ที่ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ “การจำอดีตชาติได้” และ “การกลับชาติมาเกิด” มานานกว่า ๔๗ ปี
เมื่อท่านได้เสียชีวิตลงแล้ว นสพ.วอชิงตันโพสต์ ของสหรัฐอเมริกา ได้สดุดีว่า “ท่านเป็นบุคคลที่ทำการค้นคว้าหาหลักฐาน เกี่ยวกับการจำอดีตชาติได้อย่างมีหลักการ ยากที่จะปฏิเสธได้”
นสพ.เทเลกราฟ ของอังกฤษ กล่าวว่า “ท่านเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในการศึกษาเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ในยุค ๒๐๐๐”
การศึกษาวิจัยของ ศ.นพ.เอียน ได้ดำเนินการมากว่า ๔๗ ปี ตั้งแต่ก่อนปี ๒๕๐๓ ซึ่งท่านได้พบผู้ที่จำอดีตชาติได้ หรือผู้ที่สืบชาติมาเกิดใหม่ จากชาติและศาสนาต่างๆ ทั่วโลก ทั้งใน ยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย แอฟริกา และทวีปเอเชีย (รวมทั้งประเทศไทย) มากกว่า ๓,๐๐๐ ด้วยการสนับสนุนทุนในการศึกษาวิจัยเด็ก ที่จำอดีตชาติได้ จำนวนมหาศาล ถึง ๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก เชสเตอร์ คาร์ลสัน (Chester Carlson) ผู้คิดประดิษฐ์เครื่องถ่ายเอกสารให้พวกเราได้ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปสืบหากรณีศึกษา สัมภาษณ์ และเก็บข้อมูลหลักฐานในประเทศต่างๆ ทั่วโลก เพื่อใช้ในการศึกษาวิจัย
ผลงานการศึกษาวิจัยของศ.นพ.เอียน ได้ตีพิมพ์ออกมาเป็นรายงานทางวิชาการ ในนิตยสารชั้นนำทางวิทยาศาสตร์ หนังสือ และตำรับตำราออกมาเป็นระยะๆ ตั้งแต่ปี ๒๕๐๗ ถึงปัจจุบัน มากกว่า ๒๐๐ เล่ม จนเป็นที่ยอมรับจากบรรดานักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก
แต่ผลงานการศึกษาวิจัยของท่าน เป็นการนำเสนอเรื่องราวความจริงที่ขัดกันกับคำสอน และความเชื่อทางศาสนา ฮีบรู (ยิว) คริสต์ และอิสลาม
แต่ถึงแม้ว่า ดร.เอียน สตีเวนสัน จะถูกตราหน้าจากศาสนิกชนที่นับถือ ศาสนาฮีบรู (ยิว) ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม ว่า ความคิดของเขาเป็นความคิดนอกรีต (Heresy) หรือเป็นพวกนอกรีต (Heresies) ก็ตาม แต่ความจริงที่ท่านได้พิสูจน์ และยืนยันในวันนี้ จะได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ในวงการวิทยาศาสตร์ และจากผู้คนทั่วโลก
การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ “การจำอดีตชาติได้” และ “การกลับชาติมาเกิด” ของ ศ.นพ.เอียน ท่านก็ไม่ได้โน้มเอียงไปกับความเชื่อทางศาสนา ท่านยังคงเป็นนักศึกษาค้นคว้าวิจัยที่เป็นกลาง เชื่อในความเป็นจริง และเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของโลกตลอดไป
สุดท้าย เมื่อท่านเสียชีวิต ท่านก็คงจะได้พบความจริง และได้ประจักษ์ชัดเกี่ยวกับ ชีวิตหลังความตาย ด้วยตัวของท่านเองแล้ว ไม่ต้องท่องเที่ยวสืบหาศึกษาวิจัยกรณีศึกษาใดๆ อีกต่อไป
การศึกษาวิจัยของ ศ.นพ.เอียน สามารถบอกกับโลกว่า "ความจริงเกี่ยวกับวงจรชีวิตของคนเรา ตั้งแต่เกิดจนตาย และตั้งแต่ตายจนกระทั่งเกิดใหม่นั้น อาจจะไม่เป็นไปตามความเชื่อของศาสนาต่างๆ เหล่านี้"
ด้วยเหตุที่ว่า "การศึกษาวิจัยชี้ไปที่ ความมีอยู่ของชีวิตหลังความตาย คนเราสามารถกลับชาติมาเกิดใหม่ได้ คนเราสามารถจำอดีตชาติได้ และเวรกรรมมีจริง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ ตัวท่านเองก็เกิดในครอบครัวที่นับถือศาสนาคริสต์ ท่านไม่เคยมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดมาก่อน แต่เมื่อท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ ท่านก็ไม่ได้เอาความเชื่อทางศาสนามากีดกั้นความจริงที่พิสูจน์ได้ ตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพราะท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ ถึงแม้ว่า ท่านจะทราบถึงธรรมชาติที่แท้จริง เกี่ยวกับวงจรชีวิตของคนเราว่า ชีวิตหลังความตายมีอยู่จริง คนเราสามารถกลับชาติมาเกิดใหม่ได้จริง คนเราสามารถจำอดีตชาติได้จริง และเวรกรรมมีจริง"
ระลึกชาติรักษาโรค
จากการศึกษาวิจัยผู้ที่จำอดีตชาติได้ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ทั่วโลกของคณะศึกษาวิจัยคณะนี้ พวกเขาได้พบผู้ที่จำอดีตชาติได้มากกว่า ๓,๐๐๐ ราย และพบเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากหลายประเทศ หลายศาสนา และหลายความเชื่อทั่วโลก
ซึ่งพวกเขาได้นำผลที่ได้จากการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในทางการแพทย์บ้างแล้ว เช่น ใช้ในการวิเคราะห์ และรักษาอาการทางจิตของเด็ก หรือของคนไข้ที่เป็นโรคกลัว (Phobias) เช่น กลัวน้ำ กลัวการนั่งเรือ กลัวที่จะอยู่ในที่แคบๆ เป็นต้น
ซึ่งผลจากการศึกษาวิจัยพบว่า บางกรณีเกิดจากความทรงจำที่เลวร้ายในอดีตชาติ ที่ยังฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก เช่น ในอดีตชาติเคยตกน้ำตาย หรือตายเพราะเรือล่ม เมื่อเกิดมาในชาตินี้ จึงกลัวน้ำกลัวการนั่งเรือ เป็นต้น
ในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ ศ.นพ.เอียน สตีเวนสัน ท่านได้ใช้ความจริงที่ได้จากการศึกษาวิจัย เกี่ยวกับผู้ที่จำอดีตชาติได้ของท่าน ไปใช้ในการพยายามเปลี่ยนทัศนคติของนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในการตรวจหาสมุฏฐานของโรค รอยตำหนิ แผลเป็น อาการความผิดปกติ และความผิดปกติพิการ ตั้งแต่กำเนิด ว่ามีบางกรณีไม่สามารถใช้สมุฏฐานเกี่ยวกับ การใช้ยาของมารดา โรคของมารดา ความผิดปกติระหว่างการตั้งครรภ์ หรือการสืบทอดทางพันธุกรรมมาอธิบายได้เพียงพอ รวมทั้งการวิเคราะห์เกี่ยวกับพฤติกรรมและพัฒนาการของเด็ก ว่าบางกรณีอาจไม่ได้เป็นผลมาจากสภาวะแวดล้อมจากครอบครัวพ่อแม่ การเรียนรู้รับรู้ หรือการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลต่างๆ นับตั้งแต่แรกเกิด
สำหรับในประเทศไทย เราก็มีผู้ที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้มากพอสมควร แต่ยังไม่มีใครทำการศึกษาวิจัยอย่างจริงจังในเชิงวิชาการ อาจเป็นเพราะไม่มีผู้สนับสนุนทุนให้ทำการศึกษาวิจัย เนื่องจากยังมองไม่เห็นประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมก็เป็นได้
ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเราชอบเป็นผู้ตามมากกว่าที่จะเป็นผู้นำอยู่แล้ว เมื่อก่อนพวกฝรั่งเขาไม่เชื่อเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เลย ไม่มีแม้แต่คำศัพท์ที่จะใช้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ ให้เข้าใจได้อย่างชัดเจน
แต่ในปัจจุบันนี้ ฝรั่งเขาสนใจเรื่องนี้มาก เขามีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องราวของจิตที่นอกเหนือจากจิตปกติกันมานาน เช่น โทรจิต (Telepathy), สัมผัสที่หก (Six Sense), การรับรู้พิเศษ (Extra Sensory Perception), การใช้พลังจิตเคลื่อนย้ายสิ่งของ (Psycho Kinetic), การกลับชาติมาเกิด(Reincanation) เป็นต้น ซึ่งอยู่ในสาขาวิชาปรจิตวิทยา (Parapsychology)
ในบ้านเรากลับตรงกันข้าม เมื่อก่อนนี้ เรามีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก เพราะพวกเราส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธ และเราเชื่อถือในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
แต่ในปัจจุบันนี้ เรากลับมองเรื่องเหล่านี้ว่า เป็นเรื่องงมงาย ทุกครั้งที่มีการนำเสนอถึงเรื่องเหล่านี้ ตามสื่อต่างๆ โดยเฉพาะสื่อโทรทัศน์ ก็จะได้เห็นคำว่า
...เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการชม
"ถ้าจะมีศาสนาใดที่รับมือกับความต้องการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ปัจจุบันได้ ศาสนานั้นก็น่าจะเป็นศาสนาพุทธ"
ขอบคุณข้อมูลจาก:
http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/27783
แสดงความคิดเห็น
เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดมั้ยครับ?
มีแต่ไปอยู่นรกหรือสวรรรค์นิรันดร์อย่างใดอย่างหนึ่ง
แต่พระพุทธศาสนาสอนว่าตราบใดที่ยังไม่สิ้นกิเลส คนเราจะต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบสิ้น
ตอนนี้ ไม่เพียงแต่ประชาชนจากหลายซีกของโลกสามารถจดจำอดีตชาติได้
ยังมีการวิจัยแล้วพบว่ามีพลังงานเคลื่อนไหวจากร่างคนตายออกไป
ทำให้นักวิทยาศาสตร์ที่ทำวิจัยเรื่องนี้งงและพยายามวิจัยอยู่ตอนนี้
มีฝรั่งบางคนไปทำวิจัยร่วม ๔๐ ปี พบหลักฐานว่ามีคน ๔,๕๐๐ คนที่สามารถระลึกชาติได้
นี่คือความแม่นยำของคำสอนของพระพุทธเจ้า
ขอบคุณข้อมูลจากรายการตีสิบ
ขอบคุณข้อมูลจากคุณปฐมพงษ์
https://www.youtube.com/watch?v=O69MMtIFf2I