กำแพงภาษีของสหรัฐต่อสินค้าของจีนมากกว่า 800 รายการ คิดเป็นมูลค่ารวมมากกว่า 1 ล้านล้านบาท มีผลบังคับใช้แล้ว เปิดฉากสงครามการค้า "อย่างเป็นทางการ" ระหว่างสองประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 6 ก.ค. ว่ามาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐต่อสินค้าจากจีน 818 รายการ ซึ่งต้องเสียภาษีในอัตรา 25% คิดเป็นมูลค่ารวม 34,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 1.12 ล้านล้านบาท ) มีผลบังคับใช้แล้วอย่างเป็นทางการ เมื่อเวลา 00.01 น. ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐ ซึ่งตรงกับช่วงเที่ยงวันตามเวลาท้องถิ่นในกรุงปักกิ่ง สินค้าที่ได้รับผลกระทบมีทั้งเครื่องจักรขนาดใหญ่และชิ้นส่วนเครื่องจักร อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ และหลอดไฟแอลอีดี โดยผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่อยู่ในโครงการพัฒนา
"เมด อิน ไชนา 2025" ของจีน
นอกจากนี้ ประธานาธิบดี
โดนัลด์ ทรัมป์ มีคำสั่งเมื่อกลางเดือนที่แล้ว ให้สำนักงานคณะผู้แทนการค้าของสหรัฐ ( ยูเอสทีอาร์ ) เสนอรายชื่อสินค้าจากจีนที่เข้าข่ายการต้องเสียภาษีในอัตรา 10% เป็นวงเงินรวม 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 6.6 ล้านล้านบาท ) โดยเตือนด้วยว่ารัฐบาลวอชิงตันจะใช้มาตรการเช่นนี้ในการกดดันรัฐบาลปักกิ่งต่อไป จนกว่าอีกฝ่ายจะยุตินโยบายการค้าที่ไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วกำแพงภาษีของสหรัฐต่อจีนอาจมีมูลค่าสูงถึง 450,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 14.8 ล้านล้านบาท ) เกือบเท่ามูลค่าสินค้าที่สหรัฐนำเข้าจากจีนต่อปีในปัจจุบัน
ขณะที่ในภาพรวมรัฐบาลปักกิ่งยังคงรักษาท่าที แม้นาย
กั๊ว เฟิ่ง โฆษกกระทรวงพาณิชย์ กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดี ว่าสหรัฐ
"เลือกเป็นฝ่ายจุดชนวน" ส่วนบทบรรณาธิการของ
"ไชนา เดลี" ซึ่งเป็นหนึ้งในหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษกระบอกเสียงของพรรคอมมิวนิสต์จีน เปรียบเทียบรัฐบาลทรัมป์เป็น
"แก๊งอันธพาล" ที่มีอุปนิสัย
"ชอบรีดไถ" นานาประเทศ โดยเฉพาะจีน ด้านสำนักข่าวซินหัวรายงานโดยอ้างบทวิเคราะห์ของธนาคารประชาชนจีน ( พีบีโอซี ) ว่ากำแพงภาษีของสหรัฐจะส่งผลให้เศรษฐกิจของจีนชะลอตัวราว 0.2% แต่เชื่อว่าผลกระทบที่เกิดขึ้น
"จะอยู่ในวงจำกัด"
อนึ่ง นาย
วิลเบอร์ รอสส์ รมว.กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐ เยือนกรุงปักกิ่งเมื่อต้นเดือนที่แล้ว เพื่อพบหารือกับนาย
หลิว เฮ่อ รองนายกรัฐมนตรีและที่ปรึกษาด้านนโยบายเศรษฐกิจของประธานาธิบดี
สี จิ้นผิง ซึ่งนาย
หลิวกล่าวในตอนหนึ่งว่า การปฏิรูปและการเปิดตลาดถือเป็นแผนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจแห่งชาติที่จีนจะไม่เปลี่ยนแปลง ในเวลาเดียวกัน การบรรลุไปสู่เป้าหมายของทั้งสหรัฐและจีนควรเป็นไปตามแนวทางของ
"การพบกันครึ่งทาง" เพื่อหลีกเลี่ยงสงครามการค้า อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลวอชิงตันเป็นฝ่ายใช้มาตรการคว่ำบาตรทางการค้าต่อจีน ที่รวมถึงการตั้งกำแพงภาษี ความคืบหน้าของการเจรจาด้านเศรษฐกิจและการค้าร่วมกันตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
"ถือเป็นโมฆะ".
JJNY : สหรัฐเปิดฉากสงครามการค้ากับจีนอย่างเป็นทางการ
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 6 ก.ค. ว่ามาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐต่อสินค้าจากจีน 818 รายการ ซึ่งต้องเสียภาษีในอัตรา 25% คิดเป็นมูลค่ารวม 34,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 1.12 ล้านล้านบาท ) มีผลบังคับใช้แล้วอย่างเป็นทางการ เมื่อเวลา 00.01 น. ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐ ซึ่งตรงกับช่วงเที่ยงวันตามเวลาท้องถิ่นในกรุงปักกิ่ง สินค้าที่ได้รับผลกระทบมีทั้งเครื่องจักรขนาดใหญ่และชิ้นส่วนเครื่องจักร อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ และหลอดไฟแอลอีดี โดยผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่อยู่ในโครงการพัฒนา "เมด อิน ไชนา 2025" ของจีน
นอกจากนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีคำสั่งเมื่อกลางเดือนที่แล้ว ให้สำนักงานคณะผู้แทนการค้าของสหรัฐ ( ยูเอสทีอาร์ ) เสนอรายชื่อสินค้าจากจีนที่เข้าข่ายการต้องเสียภาษีในอัตรา 10% เป็นวงเงินรวม 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 6.6 ล้านล้านบาท ) โดยเตือนด้วยว่ารัฐบาลวอชิงตันจะใช้มาตรการเช่นนี้ในการกดดันรัฐบาลปักกิ่งต่อไป จนกว่าอีกฝ่ายจะยุตินโยบายการค้าที่ไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วกำแพงภาษีของสหรัฐต่อจีนอาจมีมูลค่าสูงถึง 450,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 14.8 ล้านล้านบาท ) เกือบเท่ามูลค่าสินค้าที่สหรัฐนำเข้าจากจีนต่อปีในปัจจุบัน
ขณะที่ในภาพรวมรัฐบาลปักกิ่งยังคงรักษาท่าที แม้นายกั๊ว เฟิ่ง โฆษกกระทรวงพาณิชย์ กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดี ว่าสหรัฐ "เลือกเป็นฝ่ายจุดชนวน" ส่วนบทบรรณาธิการของ "ไชนา เดลี" ซึ่งเป็นหนึ้งในหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษกระบอกเสียงของพรรคอมมิวนิสต์จีน เปรียบเทียบรัฐบาลทรัมป์เป็น "แก๊งอันธพาล" ที่มีอุปนิสัย "ชอบรีดไถ" นานาประเทศ โดยเฉพาะจีน ด้านสำนักข่าวซินหัวรายงานโดยอ้างบทวิเคราะห์ของธนาคารประชาชนจีน ( พีบีโอซี ) ว่ากำแพงภาษีของสหรัฐจะส่งผลให้เศรษฐกิจของจีนชะลอตัวราว 0.2% แต่เชื่อว่าผลกระทบที่เกิดขึ้น "จะอยู่ในวงจำกัด"
อนึ่ง นายวิลเบอร์ รอสส์ รมว.กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐ เยือนกรุงปักกิ่งเมื่อต้นเดือนที่แล้ว เพื่อพบหารือกับนายหลิว เฮ่อ รองนายกรัฐมนตรีและที่ปรึกษาด้านนโยบายเศรษฐกิจของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ซึ่งนายหลิวกล่าวในตอนหนึ่งว่า การปฏิรูปและการเปิดตลาดถือเป็นแผนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจแห่งชาติที่จีนจะไม่เปลี่ยนแปลง ในเวลาเดียวกัน การบรรลุไปสู่เป้าหมายของทั้งสหรัฐและจีนควรเป็นไปตามแนวทางของ "การพบกันครึ่งทาง" เพื่อหลีกเลี่ยงสงครามการค้า อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลวอชิงตันเป็นฝ่ายใช้มาตรการคว่ำบาตรทางการค้าต่อจีน ที่รวมถึงการตั้งกำแพงภาษี ความคืบหน้าของการเจรจาด้านเศรษฐกิจและการค้าร่วมกันตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา "ถือเป็นโมฆะ".