Die Mannschaft กระทู้เยอรมัน เรื่องเล่าของจูเลียน ดรักซ์เลอร์ สวนหลังบ้าน

จริงๆ ผมแปลทิ้งไว้ครึ่งนึงตั้งแต่ 2 อาทิตย์ก่อน เพิ่งว่างเลยเอามาแปลต่อ ไม่รู้จะสายไปไม๊ แต่ผมก็เอามาลงอยู่ดี เพื่ออุทิศให้แก่พี่มันฉาบฯ ผู้จากไป ถ้าใครอ่านเรื่องนี้แล้วได้อะไรไปบ้างก็ขอให้ความดีตกอยู่แก่ พี่มันฯ ผู้เป็นแรงบันดาลใจให้ผมอยากโพสอะไรที่มีเนื้อหาบ้าง  เพี้ยนเพลีย



สวนหลังบ้าน เรื่องเล่าของจูเลียน ดรักซ์เลอร์



ผมจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับคุณยายของผม และของเล่นที่ระลึกจากฟุตบอลโลก มันจะอธิบายอะไรได้หลายอย่าง  ถ้าผมจะบรรยายเรื่องบ้านเกิดของผม ครอบครัวของผม บางทีอาจจะต้องเขียนเป็น 100 หน้า แต่เรื่องที่ผมจะเล่านี้เรื่องเดียวก็จะทำให้คุณเข้าใจได้อย่างสมบรูณ์

หลังจากที่เราชนะฟุตบอลโลก ปี 2014 ที่บราซิล ผมกลับไปเยอรมันเพื่อฉลองกับครอบครัว และแน่นอน ผมกับแม่ต้องไปเยี่ยมบ้านคุณยายของผมที่กลัดบัด  และเราได้เอาจูเลี่ยน แดร็กเลอร์จิ๋วของที่ระลึกจากฟุตบอลโลกไปด้วย ผมเดาว่าหลังจากที่เราชนะเลิศฟุตบอลโลก บริษัทของเล่นบางบริษัท คงผลิตตุ๊กตาของนักฟุตบอลทุกคนในทีม

ผมกับแม่คิดว่าคุณยายคงจะคิดว่ามันตลกดี  เมื่อเราไปถึงบ้านคุณยาย และได้กลิ่นเดิมๆที่คุ้นเคย กลิ่นเดิมๆมากว่า 20 ปี คุณยายกอดผม คุณยายดูมีความสุขมากตอนเราไปถึง เมื่อเราวางเจ้าตุ๊กตานี่ลงที่โต๊ะในห้องครัวของคุณยาย “ดูสิ่ครับคุณยาย แจ๋วไม๊? นี่ผมเองนะ”

คุณยายจ้องไปที่ตุ๊กตา แล้วก็มองกลับมายังผม แล้วจากนั้นท่านก็พูดอย่างที่เวลาคุณยายทุกคนจะพูดตอนกำลังสับสน ท่านยิ้มแล้วพูดว่า โอ! ดีนี่ ดีมากเลย

แต่มองในตาคุณยายรู้เลยว่า ท่านไม่รู้เลยว่าทำไม ถึงมีคนทำตุ๊กตาที่ระลึกเป็นรูปหลานของท่าน  จริงๆแล้ว ท่านแทบจะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับความยิ่งใหญ่ของฟุตบอลโลก  ท่านพูดกับผมเสมอว่า “ชั้นไม่เข้าใจเลยทำไมหลานต้องไปไกลถึงครึ่งโลกเพื่อเล่นฟุตบอล ทำไมไม่อยู่ที่นี่แล้วก็เล่นฟุตบอลในสวนหลังบ้านแบบที่หลานทำตอนเป็นเด็กล่ะ ที่นี่ก็เล่นฟุตบอลได้นี่”

ผม : “เอ่อ คุณยายครับ แต่ผมไปเล่นฟุตบอลโลกนะครับ”
คุณยาย : “เออ เออ แต่เราคิดถึงหลาน”
สำหรับคุณยาย ผมไปลุยที่บราซิลมาแล้วตอนนี้ผมกลับมาบ้าน ท่านแค่อยากรู้ว่าผมไปอยู่ยังไง และทานอะไรได้รึเปล่า
เราถ่ายรูปด้วยกัน ผม คุณยายแม่ และเจ้าตุ๊กตาจูเลี่ยนจิ๋ว ที่โต๊ะในห้องครัวบ้านคุณยาย ผมโพสลงในอินสตราแกรม คืนนั้น ผมอ่านความเห็นทั้งหลาย มีความเห็นนึงบอกว่า “เห้ย นายต้องซื้อครัวใหม่ให้คุณยายได้แล้วนะ ซื้อเถอะ”


ก็จริงของเขานะครับ ...ทั้งครัวของคุณยายมาจากประมาณปี 1960ได้ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสมัยนี้ยังจะหาซื้อเตาอบแบบของคุณยายได้อีกรึเปล่า แต่ที่คนไม่เข้าใจคือ คุณยายอยู่บ้านนี้มา 50 กว่าปีแล้ว แล้วท่านปฎิเสธที่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง ไม่ว่าอะไรก็ตาม ครอบครัวของผมมาจากกลัดบัด กับ เก็ลเซินเคียร์เชิน ผมมีความเกี่ยวพันกับกับสองเมืองนี้อย่างมาก ผู้คนแถบนี้มักจะมีวิธีเฉพาะตัวในการทำอะไรบางอย่าง รึพูดง่ายๆก็คือ คุณยายของผมไม่สนความเห็นในอินสตราแกรมของพวกคุณหรอกนะ 😉

นานมาแล้ว ถ่านหินเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในเก็ลเซินเคียร์เชิน
ทวดของผมทำงานในเหมืองถ่านหิน
คุณตาของผมก็ทำงานในเหมืองถ่านหิน

คุณพ่อของผมก็ทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมถ่านหิน แต่ไม่ได้ทำงานในเหมือง  ในช่วงปี 90 เหมืองทั้งหลายกำลังจะถูกปิด คุณพ่อจึงเป็นคนแรกในครอบครัวที่เริ่มทำงานในด้านอื่น  ท่านเริ่มทำงานเป้นช่างฟิต ในอุตสหกรรมปิโตรเลียม คุณพ่อตื่นตั้งแต่ ตี5 ทุกวันเพื่อที่จะได้ไปทำงานให้ทันเวลาและได้กลับมาพาผมไปเล่นฟุตบอล

เติบโตที่เมืองนี้ ผู้คนมักจะคิดว่าคุณรักทีมชาลเก้ และคุณคงเล่นฟุตบอลแบบเข้าปะทะหนัก ใช้ความแข็งเกร่งของร่างกายบดปะทะ  มันเป็นการเหมารวมที่ผมได้ยินแทบทุกครั้งตอนเป็นเด็ก ไม่ว่าไปจะเข้าร่วมการแข่งขันที่ไหน โค้ชทีมตรงข้ามกับพวกผู้ปกครองมักจะพูดกันว่า เด็กจาก เก็ลเซินเคียร์เชินงั้นเหรอ ? พวกเขาเข้าบอลหนักนะ แต่ไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่ พวกนั้นไม่ค่อยมีสิ่งนี้เยอะนักหรอก แล้วพวกเขาก็เอานี้วชี้ไปที่หัว

นั่นทำให้ผมโกรธมากเลยนะ เพราะผมโตมาโดยมีพวกนักฟุตบอลเบอร์ 10 เป็นไอดอล อย่าง ราอูล ซีดาน ริวัลโด้ โรนัญดิญโญ่ สำหรับผมนั่นล่ะฟุตบอลที่สวยงาม นั่นล่ะฟุตบอลแบบที่ผมอยากจะเล่น น่าเสียดายการเหมารวมของสังคมมันเอาชนะยากจริงๆ เมืองที่ผมโตมาเต็มไปด้วยผู้อพยพ มาจากทุกมุมโลก ที่มาทำงานในเหมืองถ่านหิน พวกเราเป็นเป้าโจมตีชั้นดีสำหรับพวกที่ไม่ยอมเปิดใจพวกนั้น

เรื่องดีที่ได้โตในเมืองเก็ลเซินเคียร์เชินคือ ดูเหมือนว่าพวกพ่อแม่ผู้ปกครองทุกคน มีรายได้เท่าๆกัน ทุกๆคนรู้สึกเสมอภาคกันไม่ว่าพวกเขามาจากมุมไหนของโลก ผมมีเพื่อนที่มีพ่อแม่มาจากบอสเนีย จากตุรกีและก็อีกหลายที่ และผมจะไปกินข้าวบ้านไหนก็ได้ ไม่มีใครมีครบทุกสิ่งทุกอย่าง แต่พวกเรามักจะมีอะไรของอะไรสักอย่าง เด็กคนนึงมีลูกฟุตบอลดีๆ เด็กอีกคนมีเครื่องเพลย์สเตชั่น เด็กอีกคนมีแผ่นเกม มันประมาณพวกเรารวบรวมของเหล่านี้เข้ากองกลางแล้วแชร์กันใช้ ไม่เลวใช่ไม๊?

เวลาที่คุณไปที่สวนสาธารณะเพื่อที่จะเล่นฟุตบอล คุณจะได้ยินภาษาเยอรมัน โปลแลนด์ โปรตุเกต อาราบิค รึทุกภาษาที่มีในโลกนี้ตีกันมั่วไปหมด ถึงคุณจะไม่เข้าใจบางภาษาเลยก็ไม่สำคัญหรอก เพราะว่าเล่นบอล 11 ต่อ 11 รึ 15 ต่อ 15 มันก็ดีกว่าเล่น 3ต่อ3 ไม่ใช่เหรอ ? เมืองเราไม่มีย่านชอปปิ้งหรูอย่างฌ็องเซลิเซ่ รึชอปปิ้งมอลหรูๆ แต่สำหรับผมมันก็สวยงามในแบบของมัน เมืองของผมเต็มไปด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรมและการทำงานหนัก ผมคิดว่านั่นเป็นสาเหตุ ที่ทำให้แถบนี้ผลิตนักฟุตบอลขึ้นมามากมายในรอบ 15ปีหลังนี้

ผมยังคงคิดถึงความหลังทุกหลังเวลาผมคิดถึงบ้าน แต่สำหรับผมมันจะอธิบายยากนิดหน่อย ผมโตมาโดยที่ไปดูชาลเก้กับพ่อบ่อยๆ ครอบครัวผมทุกคน เชียร์ชาลเก้แบบสุดลิ่มทิ่มประตู ในวัยเด็กผมมีแค่ความฝันเดียว ใส่เสื้อชาลเก้ เล่นต่อหน้าทุกคนในครอบครัว พ่อสนับสนุนผมทุกอย่างในการไล่ตามความฝันนี้  อืมมันยากที่จะอธิบายให้คนเข้าใจ ตอนผมเล่นให้ทีมเยาวชนชาลเก้ ตอนสักอายุราวๆ 11 หรือ 12 นี่ล่ะ ผมรู้สึกเหมือนเป็นผู้เล่นอาชีพแล้ว มัมีความกดดัน แม้กระทั่งในอายุแค่นั้น ถ้าทีมเราแพ้ดอร์ทมุน ในเกมวันเสาร์ โดยที่ผมเล่นไม่ดี ในวันอาทิตย์ ผมจะขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง คิดแค่ว่าผมทำอะไรผิดพลาดไปบ้าง และครั้งหน้าผมจะทำยังไงให้ดีขึ้น

ผมไม่รู้นะประเทศอื่นเป็นยังไง แต่ในเยอรมัน หรืออย่างน้อยในเก็ลเซินเคียร์เชิน ผมคิดว่าคุณต้องมุ่งมั่นทุ่มเทอย่างมากในการตามความฝันในการเป็นนักฟุตบอลของคุณเพราะมีผู้เล่นที่ดีอยู่เป็นจำนวนมาก  คุณยายของผมเป็นผู้เดียวที่ไม่สนใจเรื่องฟุตบอล ตอนที่ผมต้องไปมิวนิค รึที่อื่นๆเพื่อเข้าร่วมการแข่งขัน คุณยายมักจะพูดเสมอว่า “จูเลี่ยน เอ้ย หลานจะไปทำไมตั้งไกล ทำไมไม่เล่นฟุตบอลในสวนแบบที่หลานเคยทำล่ะ มันไม่สนุกแล้วเหรอ ?”
มันเคยสนุกครับ! แต่ความฝันของผมไม่ใช่เล่นในสวนหลังบ้าน  ความฝันของผมคือเล่นให้ชาลเก้  เมื่อตอนผมอายุประมาณ 16 โค้ชเยาวชนเข้ามาบอกผมว่า “ทีมชุดใหญ่ อยากให้ผมไปลองซ้อมกับพวกเขา ผมได้รับโอกาสแล้วนะ”

เอาจริงนะ ผมไม่เคยประหม่าเลยถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับฟุตบอล แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่ ไม่ใช่เลย ผมแทบจะฉี่ราด ผมจะทำยังไงดีเมื่อต้องเข้าไปห้องแต่งตัวแล้วต้องเจอกับราอูล

ผมจะพูดอะไรกับเขาดี ?
ผมเป็นแค่เด็ก แต่เขาคือราอูล ราอูลเลยนะ
สำหรับผม ไม่ต่างอะไรกับไปเข้าพบพระเจ้าเลย  คืนนั้นผมเลยปรึกษาพ่อ “โอเค ถ้าผมเดินเข้าไปในห้องแต่งตัว แล้วเขาเห็นผม ผมควรจะพูดอะไรดี ผมควรจะพูด สวัสดีราอูล เอ..ไม่ถูกสิ่ ควรจะเป็น สวัสดีครับคุณราอูล?”
สุดท้าย เราตกลงกันว่า ผมแค่จับมือเขา ยิ้มแล้วพูดว่า “สวัสดีครับ ผมชื่อจูเลี่ยน ยินดีที่ได้รู้จัก” ง่ายๆแต่เจ๋ง

วันถัดไปผมเดินเข้าไปในห้องแต่งตัว  ผมเห็นพวกรุ่นใหญ่ที่ผมดูมาตั้งแต่เด็ก คลาส แยน ฮุนเตลล่าร์ เจฟเฟอร์สัน ฟราฟราน และแน่นอน ราอูล  พวกเขากำลังใส่ถุงเท้าเหมือนกับวันธรรมดาทุกๆวัน ผมได้แต่มองพื้นและไม่กล้าสบตาใคร แล้วก็มีคนนึงเดินเข้ามาหาผม ตัวใหญ่ ทรงผมเจ๋งๆ ผมเงยหน้ามองถึงเห็นว่าเป็นเจอแมน โจน์ เขาพยักหน้าแล้วก็ยื่นมือมาแนะนำตัวกับผม
ผมพูดว่า  “กู๊ด เท่น มอร์ เก่น แฮโจน” “อรุณสวัสดิ์ คุณโจน์”
เขาหัวเราะดังลั่น
แล้วบอกว่า “ฮ่าๆ ไม่เอาน่าเรียกผมว่าเจอไมน์ก็พอ”

นั่นเป็นวันที่สุดยอดมาก ในที่สุดผมก็ได้จับมือกับราอูล ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าผมพูดอะไรไปบ้าง อย่างเดียวที่ผมจำได้คือ มือผมเย็นมากและ พยายามอย่างหนักที่จะเป็นลมไปซะก่อน

หนึงปีต่อมา ผมได้เล่นในทีมชุดใหญ่กับพวกเขาในบุนเดสลีกา ใช้ชีวิตตามฝัน แต่มันก็ไม่ได้ง่ายดายอย่างที่คุณคิดเมื่อตอนเป็นเด็ก วิธีการเล่นของผมไม่เหมือนกับที่แฟนชาลเก้ส่วนใหญ่คาดหวังจากผู้เล่นของทีม สองฤดูกาลแรก ทุกอย่างสุดยอด แต่เมื่อ ราอูลจากไป ฟราฟรานบาดเจ็บหนัก และพวกเราเปลี่ยนผู้จัดการทีม 2-3 ครั้ง ผมรู้สึกเหมือนความกดดันทั้งหลายประดังมาที่ผมเมื่อผมอายุสักประมาณ 19รึ20

ผมไม่พร้อมที่จะรับความกดดันนั้น จริงๆแล้วผมไม่คิดว่าดีนักที่จะเล่นให้สโมสรที่คุณเล่นมาตั้งแต่ยังเด็ก เพราะเมื่อทุกอย่างมันแย่ มันไม่ใช่แค่คนแปลกหน้าที่จะมาโห่ผม มันคือคนที่คุณโตมาด้วยกัน คนที่คุณเคยนั่งอยู่ริมทางเดินด้วยกันตั้งแต่เด็ก มันเป็นความรู้สึกที่พูดไม่ออกจริงๆ


ผมได้อ่านบทความตีพิมพ์ว่าทักษะและวิธีการเล่นของผมดีเกินไปกว่าสโมสรชาลเก้แล้ว แล้วผมฝันถึงทีมอย่างบาร์เซโลน่ากับรีลมาดริด นั่นมันไม่จริงเลย

ผมไม่มีวันลืมเกมสุดท้ายของฤดูกาล 2015 ที่พบกับพาเดอร์บอร์น  ตอนนั้นล่ะ ที่ผมรู้ว่าผมต้องย้ายแล้ว ผมเพิ่งจะกลับมาจากอาการบาดเจ็บแฮมสตริง แถมเล่นไม่ดีเอาซะเลย ผมยังพยายามหาจังหวะการเล่นของผมอยู่ เกมนั้นเราชนะ 1-0 แต่ตอนที่พวกเรากำลังจะเดินออกสนาม แฟนชาลเก้โห่ผม
มัน...แทบใจสลาย

ผมเข้ามาศูนย์เยาวชนของชาลเก้ตั้งแต่เด็ก (the Knappenschmiede) โดยที่สโมสรไม่ต้องจ่ายตัวเลย ผมมาฟรีๆ ผมพูดกับตัวเองในตอนนั้นว่า ผมรักสโมสรนี้ ผมรักชาลเก้เสมอ แต่ชีวิตผมต้องเปลี่ยนแปลงแล้ว

คืนนั้นเมื่อถึงบ้าน ผมบอกพ่อ “ในช่วงปิดฤดูกาล ผมจะย้ายทีม”
นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตผมที่ผมตัดสินใจด้วยตัวเอง  ผมไม่ได้พูดว่า”พ่อ ผมย้ายได้ไม๊? พ่อคิดว่ายังไงล่ะ?”
ผมแค่พูดว่า “ผมต้องย้าย ผมอยากเป้นตัวของตัวเอง”

พ่อดูโกรธมากในตอนแรก จริงๆก็ทั้งครอบครัวผมนั่นล่ะ พวกเขาไม่อยากให้ผมไปจากบ้าน ตอนที่ผมบอกแม่กับคุณยาย ผมร้องไห้เลยล่ะ แต่ผมคิดว่าบางครั้งในชีวิต คุณก็ต้องหนีจากสิ่งที่คุ้นชินในชีวิตเพื่อการเติบโต
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
ยาวไปไม่อ่านเม่าคัทลอส
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่