นี่เป็นการเขียนรีวิวลงพันทิปครั้งแรกของเรา ที่เราเขียนรีวิวนี้เพราะเห็นว่าคนยังรีวิวเจจูค่อนข้างน้อย และข้อมูลต่างๆแอบหายากเบาๆ
เราแพลนเที่ยวทริปนี้จากการเอาข้อมูลจากกระทู้ต่างๆ ในพันทิป บวกกับไปถามจากเพื่อนเกาหลี และก็เซิสจากภาษาอังกฤษเอานะคะ ข้อมูลอาจจะไม่แม่นยำมาก เราอาศัยเขียนจากสิ่งที่เจอและความเข้าใจของเราล้วนๆ เลย ถ้าส่วนไหนงงๆ หรือพิมพ์ผิดยังไง ก็ขออภัยด้วยนะคะ 😊
การไปเกาหลีของเราครั้งนี้ แพลนของเราคือไปช่วงวันที่ 12-18 พฤษภาคม อยู่เจจูทั้งหมด 4 วันและโซลอีก 3 วัน โดยทริปนี้เราจะขับรถรอบเจจูกัน
เราขอเกริ่นถึงแพลนการเที่ยวรอบเกาะเจจู เราเลือกวางแพลนที่จะเที่ยวโซนที่อยู่ไกลแบบ seogwipo ก่อน แล้วก็ไปต่อที่ Seongsan แล้วกลับเข้ามาที่ตัวเมืองเจจู แล้วก็บินกลับมาโซล
ส่วนรูปภาพที่เอาลงเป็นรูปจากกล้องเพื่อนและกล้องมือถือ Iphone นะคะ อาจจะชัดบ้างเบลอบ้างบางรูป และรูปอาจจะใหญ่ไปบ้าง YY
มาค่ะ Let’s go JEJU ไปด้วยกัน
DAY1: INCHEON-JEJU-SEOGWIPO
เราออกเดินทางในคืนวันที่ 11 พค.61 กับไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ในเที่ยวบิน XJ700 เพื่อจะไปถึงเกาหลีในช่วง10 โมงเช้าของเกาหลีในวันที่12
หลังจากผ่านตม.เรียบร้อยเราก็มุ่งหน้าไปสนามบินกิมโป (Gimpo International Airport) เพื่อไปขึ้นเครื่องไปเจจู โดยหลังจากที่เราถึงสนามบินกิมโป ก็รีบไปเช็คอินให้เรียบร้อย ปรากฏเหลือเวลาอีก 2 ชั่วโมง ก่อนที่เครื่องจะออกเลยไปหาไรกิน บริเวณเค้าเตอร์เช็คอินของT-Way มีร้านอาหารที่คนนั่งกินเยอะมาก เลยขอฝากท้องมื้อแรกของวันที่ร้าน 만남스넥 หรือถ้าไม่กินในสนามบินและเวลาเหลือเยอะมากๆ ระหว่างรอขึ้นเครื่องก็ไปสามารถเดินเล่นที่ Lotte Gimpo เดินไปไม่ถึง 700 เมตร เพราะมันเดินทะลุจากสนามบินไปได้ ชอปปิ้งเพลินก็อาจจะตกเครื่องได้ (เพราะตอนขากลับก็แอบวิ่งกลับมาเหมือนกัน)
ข้าวผัดแฮมห่อไข่อร่อยมากกก ที่ร้านจะมีบาร์ของเครื่องเคียงให้หยิบฟรี
เที่ยวบินของเราที่เดินทางไปสู่เจจูคือ TW725 เวลา15.20 ในวันที่เราไปฝนตกหนัก ไฟล์ทแอบดีเลย์ประมาณ 10 นาที จากโซลไปกิมโปจะใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ เราก็เดินทางถึงเจจูแอร์พอร์ต
หลังจากรับกระเป๋าเสร็จ เราก็เดินไปรับรถเช่า โดยเดินออกไปตรงประตู 5 แล้วข้ามถนน และสังเกตทางขวามือจะมีตึกรถเช่าและลานจอดรถกว้างๆ เดินไปทางนั้นโลดเลยจ้า (ไม่ได้ถ่ายรูปไว้เพราะรีบจ้ำกันหนักมากก) แล้วมองหาบริษัทรถเช่าของเรา ซึ่งเราได้เช่ารถของบริษัท Sixt โดยเราจะต้องขึ้นรถจากสนามบินเพื่อไปที่บริษัทรถเช่า เราเลือกเช่ารุ่น Kia Ray นั่งได้4 คน แต่เราไป 3 คนพร้อมกระเป๋าใบใหญ่ ที่นั่งอีก1 ก็อุทิศให้กระเป๋าเดินทางไป
กว่าจะรับรถเสร็จก็ 6 โมงเย็น โดยคืนแรกเราจะนอนแถวseogwipo ซึ่งจากตัวเมืองเจจู ห่างจากseogwipo ประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ 2 คืนแรกที่เราจองคือ Ramada Encore East ห้อง Executive Twin with ocean view คืนละ 1783 บาท (เนื่องจากเหนื่อยมากไม่ได้ถ่ายรูปไว้เลยขอเอารูปจากbooking.comมาลง)
ไปถึงโรงแรมเช็คอินเสร็จเก็บของที่ห้องก็ประมาณ 2 ทุ่มออกไปหาของกินแถวโรงแรม คือนอกจาก 7-11 ที่อยู่ตรงข้ามแล้ว แถวนั้นก็เงียบมาก จากที่เราถามพนักงานรีเซปชั่น แนะนำให้เดินไปประมาณ 10 นาทีจะมีร้านค้า ใช่ค่ะ เราเดินหิวโซ ลุยฝนออกไปตามที่พนักงานบอกแล้วเราก็ได้กลิ่นควันหมูย่าง เราเลยตัดสินใจเดินตามกลิ่น มาเกาหลียังไงก็ต้องกินหมูย่าง แล้วเราก็เจอร้านจ้า ชื่อร้าน 막창꾸우맨 อยากบอกว่าเนื้อหมูสามชั้นดีงามมาก เห็ดย่างอร่อยมาก และน้ำจิ้มนีทีเด็ดเลยนะเหมือนในน้ำจิ้มจะมีมันปู ตอนพนักงานแนะนำเค้าพูดเกาหลีผสมอังกฤษแบบงงๆ เครื่องเคียงก็เหมือนร้านหมูย่างเกาแต่ที่นี่มีข้าวต้ม และมีไข่ตุ๋นเป็นเซอร์วิสด้วย
และเนื่องจากเรามาร้านนี้ครั้งแรก ทางร้านเค้าก็ให้เนื้อติดมันฟรีมาอีก 1 จาน บอกเลยมื้อแรก ฟินมากกกกค่ะ สนน ราคาอยู่ที่ 32,000 KRW กินอิ่มกลับไปนอนพร้อมลุยพรุ่งนี้ต่อได้
DAY 2 : SEOGWIPO
ด้วยความเหนื่อยล้าจากการนอนบนเครื่องมาเมื่อวานและเดินทางไกลวันนี้เลยตื่นสายกันระดับนึง ซึ่งห้องที่เราจองเป็นOcean view ก็วิวทะเลจริงๆจ้ะ
มื้อแรกวันนี้เราเลือกกินที่คาเฟ่ด้านล่างโรงแรม โดยเราเลือกสั่งเซตอาหารเช้าราคา 5000 KRW
โดยจะมีขนมปังปิ้งและสามารถเลือกทอปปิ้งได้ 1 อย่าง ซึ่งเราและเพื่อนเลือก omelette และเบค่อนอบ
กินอิ่มแล้วพร้อมเดินทาง
ที่แรกที่ไปคือ วัด Yakcheonsa Temple (약천사) เพื่อเป็นสิริมงคลของเรา อิอิ
คือวัดใหญ่มาก คือส่วนนี้หน้าวัด มีรูปปั้นหินที่เป็นสัญลักษณ์ของเจจูด้วย
ป.ล. สำหรับประวัติของวัดนั้นเราไม่ได้ศึกษาใดๆเลยค่ะ ไปเพราะความสวยงามล้วนๆเลยจ้ะ
แล้วก็ไปต่อที่ไฮไลท์ของเจจูที่ทุกคนล้วนมา Jusangjeollidae (주상절리대) ซึ่งหน้าผาอยู่ไม่ไกลมากเท่าไหร่
มีค่าเข้าคนละ2000 KRW ซึ่งวันที่เราไปเป็นวันอาทิตย์ คนเยอะมากกกกกกก ต้องเบียดกันถ่ายรูปไปอี๊กกก
หลังจากที่แย่งชิงพื้นที่ถ่ายรูปกับหมู่มวลคนเกาหลีและคนจีน ชะนีไทยอย่างเราก็หมดแรงอย่างแรง
จึงมุ่งหน้าหาไรกินที่ร้านVadada (바다다) ร้านอยู่ไม่ไกลจากตรงหน้าผาเท่าไร และเป็น wish list ที่คิดว่าต้องมาให้ได้
เพราะบรรยากาศดีมาก สุดท้ายมาถึงไม่ได้ถ่ายรูปใดๆเลยจ้า แน่นตั้งแต่ที่จอดรถ คนแน่นร้าน ทุกมุมมีคนถ่ายรูป (เสียจายยยยยยยยยย)
และที่นั่งoutdoor เต็มทุกที่ สุดท้ายยอมนั่ง indoor ก็ได้ เราสั่ง non- alcohol มาดื่มแก้ร้อนคนละแก้ว สนน ไป 32,000 KRW (แอบแพงนิดนึง ราคาแบบกินหมูย่างได้มื้อนึง)
แก้วนี้คือ Hallasan Spring : 12,000 KRW อารมณ์น้ำส้มผสมน้ำมะนาว และใส่ใบมิ้นท์และโซดา แต่ข้างในมีเนื้อส้ม อร่อยดี
ส่วนแก้วนี้คือ Lemon Flower : 10,000 KRW เพื่อนสั่งมาก็อารมณ์น้ำมะนาวมีกลิ่นดอกไม้อ่อนๆ อร่อยไปอีกแบบ
Facebookร้าน :
https://www.facebook.com/Vadadajeju/ หรือดูจากhastag ในIG #vadada ก็ได้นะมีรูปเยอะมากกกก
หลังจากดื่มด่ำน้ำและบรรยากาศจนพอใจ แต่ท้องยังคงไม่อิ่ม เลยออกไปหาร้านข้าวกินต่อข้างนอก ซึ่งไม่ได้แพลนกันมาจ้า สุดท้ายใช้วิธีเปิดกูเกิลแมป หาร้านอาหารที่ใกล้แล้วขับรถไปเลย ร้าน 꽃돼지 ที่ร้านไม่มีใครพูดอังกฤษได้เลย ภาษามือล้วนมาก กว่าจะสั่งจบเหนื่อยทั้งคนขายและลูกค้า
เรามา 3 คนเลยสั่งหมู 800 กรัม + ซุปกิมจิ + ข้าวคนละถ้วย (หิวมาก) สนน ราคาอยู่ที่ 48,000 KRW
ไฮไลท์ของเรา หมูย่างงง
เมื่ออิ่มท้องแล้วไปต่อได้ ต้องรีบแว๊นไปถึงที่หมายก่อน 6 โมง เพราะ Osulloc Tea Museum และ Innisfree store และตอนไปถึงคือ 17.20 รีบจ้ำไป Innisfree store ก่อน เพื่อ Hallasan Vocalno Cake (ก้อนนี้อยู่ที่ 10,000 KRW)
มีคู่มือการกินด้วย
พอ innisfree บอกว่าจะปิดร้าน เราก็เดินกลับไปที่ Osulloc Tea Museum เพื่อซื้อไอติมชาเขียวต่อ และออกมาเดินเล่นไร่ชาอีกแปปนึงก็ไปต่อ
หลังจากนั้นเราก็ไปตามหาอปป้ากันต่อค่ะ ถึงอปป้าจะเข้ากรมไปแล้ว แต่เราก็ขอแวะไปเยี่ยมกิจการของGD อปป้าหน่อย ร้าน Untitled,2017ที่เพิ่งเปิดที่เจจู ซึ่งหาไม่ยากเลย เข้ามาทางเดียวกับYG republic ใน Jeju Shinhwa World ไม่ต้องกลัวหลง เพราะถ้าได้ยินเสียงเพลงของค่ายYG นั่นแสดงว่าคุณมาถูกที่แล้ว
และเราก็ขับรถมาทานมื้อค่ำที่ร้าน 사계바다 เป็นหม้อไฟทะเล ซึ่งเซ็ตที่เราสั่งเป็นซีฟู้ดและเป้าฮื้อ
มื้อนี้แอบเผ็ดและเยอะมากก ราคา2 เซ็ตก็อยู่ที่ 37,000 KRW
Jeju 1st time ไปไม่ยากนะเออ
นี่เป็นการเขียนรีวิวลงพันทิปครั้งแรกของเรา ที่เราเขียนรีวิวนี้เพราะเห็นว่าคนยังรีวิวเจจูค่อนข้างน้อย และข้อมูลต่างๆแอบหายากเบาๆ
เราแพลนเที่ยวทริปนี้จากการเอาข้อมูลจากกระทู้ต่างๆ ในพันทิป บวกกับไปถามจากเพื่อนเกาหลี และก็เซิสจากภาษาอังกฤษเอานะคะ ข้อมูลอาจจะไม่แม่นยำมาก เราอาศัยเขียนจากสิ่งที่เจอและความเข้าใจของเราล้วนๆ เลย ถ้าส่วนไหนงงๆ หรือพิมพ์ผิดยังไง ก็ขออภัยด้วยนะคะ 😊
การไปเกาหลีของเราครั้งนี้ แพลนของเราคือไปช่วงวันที่ 12-18 พฤษภาคม อยู่เจจูทั้งหมด 4 วันและโซลอีก 3 วัน โดยทริปนี้เราจะขับรถรอบเจจูกัน
เราขอเกริ่นถึงแพลนการเที่ยวรอบเกาะเจจู เราเลือกวางแพลนที่จะเที่ยวโซนที่อยู่ไกลแบบ seogwipo ก่อน แล้วก็ไปต่อที่ Seongsan แล้วกลับเข้ามาที่ตัวเมืองเจจู แล้วก็บินกลับมาโซล
ส่วนรูปภาพที่เอาลงเป็นรูปจากกล้องเพื่อนและกล้องมือถือ Iphone นะคะ อาจจะชัดบ้างเบลอบ้างบางรูป และรูปอาจจะใหญ่ไปบ้าง YY
DAY1: INCHEON-JEJU-SEOGWIPO
เราออกเดินทางในคืนวันที่ 11 พค.61 กับไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ในเที่ยวบิน XJ700 เพื่อจะไปถึงเกาหลีในช่วง10 โมงเช้าของเกาหลีในวันที่12
หลังจากผ่านตม.เรียบร้อยเราก็มุ่งหน้าไปสนามบินกิมโป (Gimpo International Airport) เพื่อไปขึ้นเครื่องไปเจจู โดยหลังจากที่เราถึงสนามบินกิมโป ก็รีบไปเช็คอินให้เรียบร้อย ปรากฏเหลือเวลาอีก 2 ชั่วโมง ก่อนที่เครื่องจะออกเลยไปหาไรกิน บริเวณเค้าเตอร์เช็คอินของT-Way มีร้านอาหารที่คนนั่งกินเยอะมาก เลยขอฝากท้องมื้อแรกของวันที่ร้าน 만남스넥 หรือถ้าไม่กินในสนามบินและเวลาเหลือเยอะมากๆ ระหว่างรอขึ้นเครื่องก็ไปสามารถเดินเล่นที่ Lotte Gimpo เดินไปไม่ถึง 700 เมตร เพราะมันเดินทะลุจากสนามบินไปได้ ชอปปิ้งเพลินก็อาจจะตกเครื่องได้ (เพราะตอนขากลับก็แอบวิ่งกลับมาเหมือนกัน)
ข้าวผัดแฮมห่อไข่อร่อยมากกก ที่ร้านจะมีบาร์ของเครื่องเคียงให้หยิบฟรี
เที่ยวบินของเราที่เดินทางไปสู่เจจูคือ TW725 เวลา15.20 ในวันที่เราไปฝนตกหนัก ไฟล์ทแอบดีเลย์ประมาณ 10 นาที จากโซลไปกิมโปจะใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ เราก็เดินทางถึงเจจูแอร์พอร์ต
หลังจากรับกระเป๋าเสร็จ เราก็เดินไปรับรถเช่า โดยเดินออกไปตรงประตู 5 แล้วข้ามถนน และสังเกตทางขวามือจะมีตึกรถเช่าและลานจอดรถกว้างๆ เดินไปทางนั้นโลดเลยจ้า (ไม่ได้ถ่ายรูปไว้เพราะรีบจ้ำกันหนักมากก) แล้วมองหาบริษัทรถเช่าของเรา ซึ่งเราได้เช่ารถของบริษัท Sixt โดยเราจะต้องขึ้นรถจากสนามบินเพื่อไปที่บริษัทรถเช่า เราเลือกเช่ารุ่น Kia Ray นั่งได้4 คน แต่เราไป 3 คนพร้อมกระเป๋าใบใหญ่ ที่นั่งอีก1 ก็อุทิศให้กระเป๋าเดินทางไป
กว่าจะรับรถเสร็จก็ 6 โมงเย็น โดยคืนแรกเราจะนอนแถวseogwipo ซึ่งจากตัวเมืองเจจู ห่างจากseogwipo ประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ 2 คืนแรกที่เราจองคือ Ramada Encore East ห้อง Executive Twin with ocean view คืนละ 1783 บาท (เนื่องจากเหนื่อยมากไม่ได้ถ่ายรูปไว้เลยขอเอารูปจากbooking.comมาลง)
ไปถึงโรงแรมเช็คอินเสร็จเก็บของที่ห้องก็ประมาณ 2 ทุ่มออกไปหาของกินแถวโรงแรม คือนอกจาก 7-11 ที่อยู่ตรงข้ามแล้ว แถวนั้นก็เงียบมาก จากที่เราถามพนักงานรีเซปชั่น แนะนำให้เดินไปประมาณ 10 นาทีจะมีร้านค้า ใช่ค่ะ เราเดินหิวโซ ลุยฝนออกไปตามที่พนักงานบอกแล้วเราก็ได้กลิ่นควันหมูย่าง เราเลยตัดสินใจเดินตามกลิ่น มาเกาหลียังไงก็ต้องกินหมูย่าง แล้วเราก็เจอร้านจ้า ชื่อร้าน 막창꾸우맨 อยากบอกว่าเนื้อหมูสามชั้นดีงามมาก เห็ดย่างอร่อยมาก และน้ำจิ้มนีทีเด็ดเลยนะเหมือนในน้ำจิ้มจะมีมันปู ตอนพนักงานแนะนำเค้าพูดเกาหลีผสมอังกฤษแบบงงๆ เครื่องเคียงก็เหมือนร้านหมูย่างเกาแต่ที่นี่มีข้าวต้ม และมีไข่ตุ๋นเป็นเซอร์วิสด้วย
และเนื่องจากเรามาร้านนี้ครั้งแรก ทางร้านเค้าก็ให้เนื้อติดมันฟรีมาอีก 1 จาน บอกเลยมื้อแรก ฟินมากกกกค่ะ สนน ราคาอยู่ที่ 32,000 KRW กินอิ่มกลับไปนอนพร้อมลุยพรุ่งนี้ต่อได้
DAY 2 : SEOGWIPO
ด้วยความเหนื่อยล้าจากการนอนบนเครื่องมาเมื่อวานและเดินทางไกลวันนี้เลยตื่นสายกันระดับนึง ซึ่งห้องที่เราจองเป็นOcean view ก็วิวทะเลจริงๆจ้ะ
โดยจะมีขนมปังปิ้งและสามารถเลือกทอปปิ้งได้ 1 อย่าง ซึ่งเราและเพื่อนเลือก omelette และเบค่อนอบ
กินอิ่มแล้วพร้อมเดินทาง
ที่แรกที่ไปคือ วัด Yakcheonsa Temple (약천사) เพื่อเป็นสิริมงคลของเรา อิอิ
คือวัดใหญ่มาก คือส่วนนี้หน้าวัด มีรูปปั้นหินที่เป็นสัญลักษณ์ของเจจูด้วย
ป.ล. สำหรับประวัติของวัดนั้นเราไม่ได้ศึกษาใดๆเลยค่ะ ไปเพราะความสวยงามล้วนๆเลยจ้ะ
แล้วก็ไปต่อที่ไฮไลท์ของเจจูที่ทุกคนล้วนมา Jusangjeollidae (주상절리대) ซึ่งหน้าผาอยู่ไม่ไกลมากเท่าไหร่
มีค่าเข้าคนละ2000 KRW ซึ่งวันที่เราไปเป็นวันอาทิตย์ คนเยอะมากกกกกกก ต้องเบียดกันถ่ายรูปไปอี๊กกก
จึงมุ่งหน้าหาไรกินที่ร้านVadada (바다다) ร้านอยู่ไม่ไกลจากตรงหน้าผาเท่าไร และเป็น wish list ที่คิดว่าต้องมาให้ได้
เพราะบรรยากาศดีมาก สุดท้ายมาถึงไม่ได้ถ่ายรูปใดๆเลยจ้า แน่นตั้งแต่ที่จอดรถ คนแน่นร้าน ทุกมุมมีคนถ่ายรูป (เสียจายยยยยยยยยย)
และที่นั่งoutdoor เต็มทุกที่ สุดท้ายยอมนั่ง indoor ก็ได้ เราสั่ง non- alcohol มาดื่มแก้ร้อนคนละแก้ว สนน ไป 32,000 KRW (แอบแพงนิดนึง ราคาแบบกินหมูย่างได้มื้อนึง)
Facebookร้าน : https://www.facebook.com/Vadadajeju/ หรือดูจากhastag ในIG #vadada ก็ได้นะมีรูปเยอะมากกกก
หลังจากดื่มด่ำน้ำและบรรยากาศจนพอใจ แต่ท้องยังคงไม่อิ่ม เลยออกไปหาร้านข้าวกินต่อข้างนอก ซึ่งไม่ได้แพลนกันมาจ้า สุดท้ายใช้วิธีเปิดกูเกิลแมป หาร้านอาหารที่ใกล้แล้วขับรถไปเลย ร้าน 꽃돼지 ที่ร้านไม่มีใครพูดอังกฤษได้เลย ภาษามือล้วนมาก กว่าจะสั่งจบเหนื่อยทั้งคนขายและลูกค้า
เรามา 3 คนเลยสั่งหมู 800 กรัม + ซุปกิมจิ + ข้าวคนละถ้วย (หิวมาก) สนน ราคาอยู่ที่ 48,000 KRW
ไฮไลท์ของเรา หมูย่างงง
เมื่ออิ่มท้องแล้วไปต่อได้ ต้องรีบแว๊นไปถึงที่หมายก่อน 6 โมง เพราะ Osulloc Tea Museum และ Innisfree store และตอนไปถึงคือ 17.20 รีบจ้ำไป Innisfree store ก่อน เพื่อ Hallasan Vocalno Cake (ก้อนนี้อยู่ที่ 10,000 KRW)
พอ innisfree บอกว่าจะปิดร้าน เราก็เดินกลับไปที่ Osulloc Tea Museum เพื่อซื้อไอติมชาเขียวต่อ และออกมาเดินเล่นไร่ชาอีกแปปนึงก็ไปต่อ
หลังจากนั้นเราก็ไปตามหาอปป้ากันต่อค่ะ ถึงอปป้าจะเข้ากรมไปแล้ว แต่เราก็ขอแวะไปเยี่ยมกิจการของGD อปป้าหน่อย ร้าน Untitled,2017ที่เพิ่งเปิดที่เจจู ซึ่งหาไม่ยากเลย เข้ามาทางเดียวกับYG republic ใน Jeju Shinhwa World ไม่ต้องกลัวหลง เพราะถ้าได้ยินเสียงเพลงของค่ายYG นั่นแสดงว่าคุณมาถูกที่แล้ว
และเราก็ขับรถมาทานมื้อค่ำที่ร้าน 사계바다 เป็นหม้อไฟทะเล ซึ่งเซ็ตที่เราสั่งเป็นซีฟู้ดและเป้าฮื้อ
มื้อนี้แอบเผ็ดและเยอะมากก ราคา2 เซ็ตก็อยู่ที่ 37,000 KRW