ข้อเท็จจริงก็ รู้ ๆ กันนะ แต่ผมสรุปสั้น ๆ ละกัน
มีเจ้าหน้าที่ท่านหนึ่ง ท่านก็ประสงค์ดี เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านขุดน้ำบาดาล จะทำการขุดเจาะถ้ำ เพื่อช่วยเหลือ ๑๓ ชีวิต ที่ติดอยู่ในถ้ำนางนอน
แต่แล้ว ก็มีตำรวจฅนหนึ่ง ไม่รู้ประสงค์ดีไม่ดี ขู่ว่าอย่าขุดเพลิน ให้ดูกฎหมายด้วย
ทำนองว่า "คุณขุดถ้ำ แน่ใจเหรอว่ามีอำนาจตามกฎหมาย ในเขตวนอุทยานเนี่ยนะ ถามกรมอุทยานยัง?"
ผลลัพธ์ก็อย่างที่ท่าน ๆ ทราบครับ "เละ"
บางส่วนที่หวังดีกับเจ้าหน้าที่ผู้ประสงค์ดี ก็พยายามอธิบายว่า ทำไปเลยย ไม่ผิดกฎหมาย
บ้างก็ว่า ชีวิตคนกับกฎหมาย อะไรมันสำคัญกว่ากันฟระ
ผมขออธิบาย(แบบมีอารมณ์)ในมุมของผมหน่อย
คือว่า ถ้ำนางนอนเนี่ย ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนป่าดอยนางนอน ตามกฎกระทรวงที่ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗
https://new.forest.go.th/land/wp-content/uploads/sites/29/2017/10/J1024.pdf
มาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ บัญญัติว่า "
ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ห้ามมิให้บุคคลใดยึดถือครอบครองทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในที่ดิน ก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่า ทำไม้ เก็บหาของป่า หรือ
กระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ"
มาตรา ๓๑ แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ บัญญัติว่า "
ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๑๔ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท"
แหม่.. พอเป็นอย่างงี้ นายตำรวจผู้หวังDคนนั้น ก็เลยอวดเบ่ง ใส่เจ้าหน้าที่รัฐไปหนึ่งดอก
"ไปประสานซะ กับกรมอุทยาน กรมทรัพยากรธรณี กรมบลา ๆ ๆ ๆ ๆ"
คำถามคือ ประสานเพื่ออะไร พูดออกมาว่าให้ประสานก่อนขุดถ้ำเนี่ย ถามว่าประสานตามกฎหมายอะไร
กฎหมายป่าสงวน มีการขออนุญาตจากอธิบดีกรมป่าไม้(ไม่ใช่กรมอุทยานเว้ย)ได้ก็จริง แต่โดยคอนเซปต์ของกฎหมายป่าสงวน การกระทำการใด ๆ ต้องเป็นไปเพื่อรักษาป่าเท่านั้น
ใครไม่เชื่อผม ก็ไปอ่านดูได้ครับ กฎหมายฉบับนี้ไม่มีข้อยกเว้นให้ทำลายพื้นที่ป่าสงวนเพื่อช่วยชีวิตคนไว้หรอก
ดังนั้น ไอ้คำว่าให้ไปประสานเพื่อจะให้ขุดถ้ำได้โดยไม่ผิดกฎหมายป่าสงวนเนี่ย บอกเลย โคตรมั่ว
ประเด็นคือ เวลาแบบนี้ ทุกนาทีมีค่าแบบนี้ กฎหมายไทยก็ไม่ได้งี่เง่าขนาดต้องให้วิ่งประสานกับอธิบดีก่อน ถึงจะช่วยคนได้หรอกครับ
นายตำรวจคนนั้น คงไม่เคยอ่าน
พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. ๒๕๕๐
คือเอาสั้น ๆ นะ ตามกฎหมายฉบับเนี่ย เหตุการณ์ที่ถ้ำนางนอนถือเป็น
สาธารณภัย
ส่วนท่านผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย จะรับผิดชอบในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในเขตจังหวัดเชียงราย มีอำนาจรักษาความสงบเรียบร้อยและการปฏิบัติการใด ๆ ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ตำแหน่งตามกฎหมายของท่านคือ ผู้อำนวยการจังหวัด มีอำนาจสั่งการหน่วยงานของรัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งอยู่ในจังหวัดให้ดำเนินการบรรเทาสาธารณภัย
โดยไม่คำนึงถึงสายบังคับบัญชาตามกฎหมายใด ๆ
ซึ่งอำนาจโดยทั่วไปของผู้อำนวยการจังหวัด ในการบรรเทาสาธารณภัย คือ
(๑) สั่งข้าราชการฝ่ายพลเรือน พนักงานส่วนท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐ เจ้าพนักงาน อาสาสมัคร และบุคคลใด ๆ ในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งพื้นที่ที่เกิดสาธารณภัย ให้ปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดตามความจำเป็นในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
(๒) ใช้อาคาร สถานที่ วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้ และยานพาหนะของหน่วยงานของรัฐและเอกชนที่อยู่ในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งพื้นที่ที่เกิดสาธารณภัยเท่าที่จำเป็นเพื่อการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
(๓) ใช้เครื่องมือสื่อสารของหน่วยงานของรัฐหรือเอกชนทุกระบบที่อยู่ในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งพื้นที่ที่เกิดสาธารณภัยหรือท้องที่ที่เกี่ยวเนื่อง
(๔) ขอความช่วยเหลือจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
(๕) สั่งห้ามเข้าหรือให้ออกจากพื้นที่ อาคารหรือสถานที่ที่กำหนด
(๖) จัดให้มีการสงเคราะห์ผู้ประสบภัยโดยทั่วถึงและรวดเร็ว
พอเห็นไหมครับ พอได้คำตอบไหมครับ ใครที่ติดตามข่าวนี้ตั้งแต่แรก ๆ จะจำคำพูดท่านผู้ว่าได้คำนึง ที่ว่า "ใครจะเข้ามาพื้นที่ ให้มารายตัวกับผมก่อน"
ไม่ใช่ว่าท่านผู้ว่าเบ่งนะครับ แต่ท่านทราบข้อกฎหมายดี ว่าท่านเป็นผู้มีอำนาจสั่งการแก่เจ้าหน้าที่ อปภร และภาคเอกชน ให้ปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดตามความจำเป็นในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
และแน่นอนว่าเจ้าหน้าที่ที่จะขุดถ้ำท่านนั้น(คง)ได้รายงานตัวกับท่านผู้ว่า และรับคำสั่งมาแล้ว ผลคือมีอำนาจดำเนินการใด ๆ ตามความจำเป็นแล้ว
ซึ่งรวมไปถึงการขุดถ้ำในพื้นที่ป่าสงวนด้วย
แล้วนายตำรวจคนนั้น จะไปบอกให้ประสานทำพระแสงอะไรอีกครับ
หรือในกรณีที่กระบวนการไม่เป็นไปตามกฎหมายบรรเทาสาธารณภัย เจ้าหน้าที่หรือใครก็ตามที่ดำเนินการในเรื่องนี้ก็ยังคงได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายอาญา ตามความเห็นท่านปรเมศวร์ อินทรชุมนุม ที่ว่า
"การเจาะถ้ำหรือกระทำการอื่นใดในเขตอุทยานหรือป่าไม้ แม้จะมีความผิดตาม พรบ.อุทยาน หรือ พรบ.ป่าไม้ แต่ถ้ากระทำเพื่อช่วย ๑๓ ชีวิต ก็เป็นการกระทำความผิดด้วย "ความจำเป็น" เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึง และไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้ เมื่อภยันตรายนั้นตน มิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นการเกินสมควรแต่เหตุแล้ว ผู้นั้นไม่ต้อง รับโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๖๗ ครับ"
อธิบายก็คือ มาตรา ๖๗ แห่งประมวลกฎหมายอาญาเนี่ย นักกฎหมายเขาเรียกกันว่า "จำเป็น" คือ สิ่งที่ทำไปมันผิดแหละ แต่ทำไปด้วยความจำเป็นเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตราย กฎหมายก็เลยบอกว่า ผิดนะ แต่ไม่ต้องรับโทษ
สุดท้าย ขอบอกตามตรงว่าจริง ๆ ผมไม่ชอบซ้ำเติมใครนะ แต่เคสนี้ คือ ตำรวจไง ตำแหน่งก็ไม่ใช่น้อย ๆ กฎหมายดันรู้งู ๆ ปลา ๆ แล้วมาทำเบ่งใส่เจ้าหน้าที่ที่ทำงานเพื่อช่วยคน
กฎหมายไทยค่อนข้างดีแล้ว แต่ที่ต้องปฏิรูป ก็ไอ้คนใช้กฎหมายบางคนนี่แหละครับ
สั้น ๆ สองคำ เละ สม
ขุดถ้ำช่วยเด็ก ผิดกฎหมาย.... จะบร้าเร้ออออออ
มีเจ้าหน้าที่ท่านหนึ่ง ท่านก็ประสงค์ดี เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านขุดน้ำบาดาล จะทำการขุดเจาะถ้ำ เพื่อช่วยเหลือ ๑๓ ชีวิต ที่ติดอยู่ในถ้ำนางนอน
แต่แล้ว ก็มีตำรวจฅนหนึ่ง ไม่รู้ประสงค์ดีไม่ดี ขู่ว่าอย่าขุดเพลิน ให้ดูกฎหมายด้วย
ทำนองว่า "คุณขุดถ้ำ แน่ใจเหรอว่ามีอำนาจตามกฎหมาย ในเขตวนอุทยานเนี่ยนะ ถามกรมอุทยานยัง?"
ผลลัพธ์ก็อย่างที่ท่าน ๆ ทราบครับ "เละ"
บางส่วนที่หวังดีกับเจ้าหน้าที่ผู้ประสงค์ดี ก็พยายามอธิบายว่า ทำไปเลยย ไม่ผิดกฎหมาย
บ้างก็ว่า ชีวิตคนกับกฎหมาย อะไรมันสำคัญกว่ากันฟระ
ผมขออธิบาย(แบบมีอารมณ์)ในมุมของผมหน่อย
คือว่า ถ้ำนางนอนเนี่ย ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนป่าดอยนางนอน ตามกฎกระทรวงที่ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗
https://new.forest.go.th/land/wp-content/uploads/sites/29/2017/10/J1024.pdf
มาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ บัญญัติว่า "ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ห้ามมิให้บุคคลใดยึดถือครอบครองทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในที่ดิน ก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่า ทำไม้ เก็บหาของป่า หรือกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ"
มาตรา ๓๑ แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ บัญญัติว่า "ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๑๔ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท"
แหม่.. พอเป็นอย่างงี้ นายตำรวจผู้หวังDคนนั้น ก็เลยอวดเบ่ง ใส่เจ้าหน้าที่รัฐไปหนึ่งดอก
"ไปประสานซะ กับกรมอุทยาน กรมทรัพยากรธรณี กรมบลา ๆ ๆ ๆ ๆ"
คำถามคือ ประสานเพื่ออะไร พูดออกมาว่าให้ประสานก่อนขุดถ้ำเนี่ย ถามว่าประสานตามกฎหมายอะไร
กฎหมายป่าสงวน มีการขออนุญาตจากอธิบดีกรมป่าไม้(ไม่ใช่กรมอุทยานเว้ย)ได้ก็จริง แต่โดยคอนเซปต์ของกฎหมายป่าสงวน การกระทำการใด ๆ ต้องเป็นไปเพื่อรักษาป่าเท่านั้น
ใครไม่เชื่อผม ก็ไปอ่านดูได้ครับ กฎหมายฉบับนี้ไม่มีข้อยกเว้นให้ทำลายพื้นที่ป่าสงวนเพื่อช่วยชีวิตคนไว้หรอก
ดังนั้น ไอ้คำว่าให้ไปประสานเพื่อจะให้ขุดถ้ำได้โดยไม่ผิดกฎหมายป่าสงวนเนี่ย บอกเลย โคตรมั่ว
ประเด็นคือ เวลาแบบนี้ ทุกนาทีมีค่าแบบนี้ กฎหมายไทยก็ไม่ได้งี่เง่าขนาดต้องให้วิ่งประสานกับอธิบดีก่อน ถึงจะช่วยคนได้หรอกครับ
นายตำรวจคนนั้น คงไม่เคยอ่านพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. ๒๕๕๐
คือเอาสั้น ๆ นะ ตามกฎหมายฉบับเนี่ย เหตุการณ์ที่ถ้ำนางนอนถือเป็น สาธารณภัย
ส่วนท่านผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย จะรับผิดชอบในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในเขตจังหวัดเชียงราย มีอำนาจรักษาความสงบเรียบร้อยและการปฏิบัติการใด ๆ ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ตำแหน่งตามกฎหมายของท่านคือ ผู้อำนวยการจังหวัด มีอำนาจสั่งการหน่วยงานของรัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งอยู่ในจังหวัดให้ดำเนินการบรรเทาสาธารณภัย โดยไม่คำนึงถึงสายบังคับบัญชาตามกฎหมายใด ๆ
ซึ่งอำนาจโดยทั่วไปของผู้อำนวยการจังหวัด ในการบรรเทาสาธารณภัย คือ
(๑) สั่งข้าราชการฝ่ายพลเรือน พนักงานส่วนท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐ เจ้าพนักงาน อาสาสมัคร และบุคคลใด ๆ ในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งพื้นที่ที่เกิดสาธารณภัย ให้ปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดตามความจำเป็นในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
(๒) ใช้อาคาร สถานที่ วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้ และยานพาหนะของหน่วยงานของรัฐและเอกชนที่อยู่ในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งพื้นที่ที่เกิดสาธารณภัยเท่าที่จำเป็นเพื่อการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
(๓) ใช้เครื่องมือสื่อสารของหน่วยงานของรัฐหรือเอกชนทุกระบบที่อยู่ในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งพื้นที่ที่เกิดสาธารณภัยหรือท้องที่ที่เกี่ยวเนื่อง
(๔) ขอความช่วยเหลือจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
(๕) สั่งห้ามเข้าหรือให้ออกจากพื้นที่ อาคารหรือสถานที่ที่กำหนด
(๖) จัดให้มีการสงเคราะห์ผู้ประสบภัยโดยทั่วถึงและรวดเร็ว
พอเห็นไหมครับ พอได้คำตอบไหมครับ ใครที่ติดตามข่าวนี้ตั้งแต่แรก ๆ จะจำคำพูดท่านผู้ว่าได้คำนึง ที่ว่า "ใครจะเข้ามาพื้นที่ ให้มารายตัวกับผมก่อน"
ไม่ใช่ว่าท่านผู้ว่าเบ่งนะครับ แต่ท่านทราบข้อกฎหมายดี ว่าท่านเป็นผู้มีอำนาจสั่งการแก่เจ้าหน้าที่ อปภร และภาคเอกชน ให้ปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดตามความจำเป็นในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
และแน่นอนว่าเจ้าหน้าที่ที่จะขุดถ้ำท่านนั้น(คง)ได้รายงานตัวกับท่านผู้ว่า และรับคำสั่งมาแล้ว ผลคือมีอำนาจดำเนินการใด ๆ ตามความจำเป็นแล้ว ซึ่งรวมไปถึงการขุดถ้ำในพื้นที่ป่าสงวนด้วย
แล้วนายตำรวจคนนั้น จะไปบอกให้ประสานทำพระแสงอะไรอีกครับ
หรือในกรณีที่กระบวนการไม่เป็นไปตามกฎหมายบรรเทาสาธารณภัย เจ้าหน้าที่หรือใครก็ตามที่ดำเนินการในเรื่องนี้ก็ยังคงได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายอาญา ตามความเห็นท่านปรเมศวร์ อินทรชุมนุม ที่ว่า
"การเจาะถ้ำหรือกระทำการอื่นใดในเขตอุทยานหรือป่าไม้ แม้จะมีความผิดตาม พรบ.อุทยาน หรือ พรบ.ป่าไม้ แต่ถ้ากระทำเพื่อช่วย ๑๓ ชีวิต ก็เป็นการกระทำความผิดด้วย "ความจำเป็น" เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึง และไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้ เมื่อภยันตรายนั้นตน มิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นการเกินสมควรแต่เหตุแล้ว ผู้นั้นไม่ต้อง รับโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๖๗ ครับ"
อธิบายก็คือ มาตรา ๖๗ แห่งประมวลกฎหมายอาญาเนี่ย นักกฎหมายเขาเรียกกันว่า "จำเป็น" คือ สิ่งที่ทำไปมันผิดแหละ แต่ทำไปด้วยความจำเป็นเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตราย กฎหมายก็เลยบอกว่า ผิดนะ แต่ไม่ต้องรับโทษ
สุดท้าย ขอบอกตามตรงว่าจริง ๆ ผมไม่ชอบซ้ำเติมใครนะ แต่เคสนี้ คือ ตำรวจไง ตำแหน่งก็ไม่ใช่น้อย ๆ กฎหมายดันรู้งู ๆ ปลา ๆ แล้วมาทำเบ่งใส่เจ้าหน้าที่ที่ทำงานเพื่อช่วยคน
กฎหมายไทยค่อนข้างดีแล้ว แต่ที่ต้องปฏิรูป ก็ไอ้คนใช้กฎหมายบางคนนี่แหละครับ
สั้น ๆ สองคำ เละ สม