D แม่น้ำหลากสายเร่งโต โดย อีหล่าน้อย บทความจากเว็บไซต์ Share2Trade

กระทู้ข่าว
http://www.share2trade.com/index.php?route=content/content&path=9&content_id=3007
    มีหมอฟัน 2 คน บริหารธุรกิจทันตกรรมที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ด้วยยุทธศาสตร์และโมเดลธุรกิจต่างกัน เข้าข่าย 2 คนยลตามช่องแล้วแน่นอน... ย่อมมีผลลัพธ์ต่างกันด้วย

    คนแรก หมอหนึ่ง วัฒนา ชัยวัฒน์ แห่ง LDC เน้นการขยายสาขาด้วยการตลาดแบบแมส

    คนหลัง หมอพรศักดิ์ ตันตาปกุล แห่ง D หรือ บริษัท เดนทัล คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) เน้นการตลาดแบบนิช เป็นกลุ่มลูกค้าตลาดบนและต่างประเทศ ขยายสาชาในเขตที่มีลูกค้าหนาแน่นเท่านั้น

    ผลประกอบการของ D นับตั้งแต่เข้ามาเทรดในตลาดต้นปี 2560  มีอัตราเติบโต"ปกติ" เพราะอยู่ในช่วงทบทวนกลยุทธ์การเติบโต เพิ่งจะมาตกผลึกต้นปีนี้เอง และเป็นที่มาของแผนธุรกิจขนาดใหญ่เพื่อเร่งโตอย่างก้าวกระโดด

    จากโครงสร้างปัจจุบัน D มีศูนย์ทันตกรรม และคลินิกทันตกรรมทั้งหมด 16 สาขา ในกรุงเทพฯ 14 สาขา และภูเก็ต 2 สาขา ดำเนินการภายใต้ 3 แบรนด์ตามลูกค้าเป้าหมาย คือ 1) "BIDC" 1 สาขา  2) "Dental Signature" 4 สาขา 3) "Smile Signature" 8 สาขา

    ปีนี้ D คิดการใหญ่เพื่อหวังสร้างรายได้ในอนาคตที่มากว่าปีละแค่ 400 ล้านบาทเศษ ด้วยการเปิดเกมรุกใหม่ 3 ด้านไล่เรี่ยกัน

      - ทุ่มเงิน 32 ล้านบาทซื้อกิจการคลินิก 3 แห่งที่สามารถรับรู้รายได้บันทึกทันที คั้งแต่เดือนมีนาคม แล้วสร้างเป็นแบรนด์ใหม่ "Dental Planet" เพื่อจับกลุ่มเป้าหมายลูกค้าคนไทยที่มีรายได้ระดับปานกลาง และชาวต่างชาติ

      - แผนการเปิดโรงพยาบาลทันตกรรมในย่านเพลินจิต มูลค่าลงทุนมากกว่า 450 ล้านบาท เจาะกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ-คนไทยในระดับกลางถึงบน “ทพ.พรศักดิ์ ตันตาปกุล”มั่นใจช่วยผลักดันผลการดำเนินงาน โตก้าวกระโดด คาดเริ่มเปิดให้บริการในปี 2562

      - ทุ่มงบ 250 บ้านบาท ซื้อกิจการ "เด็นตัล วิชั่น"  ดำเนินธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์ทางด้านทันตกรรม และ สิทธิในการเป็นตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์ทางด้านทันตกรรมในประเทศไทย เพื่อต่อยอดธุรกิจในแนวตั้งตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ รับรู้รายได้เข้ามาทันทีในไตรมาส 3 ปีนี้

    การลงทุนทั้ง 3 ธุรกิจใหม่ ในมุมของรายได้ชัดเจนว่า ผลงานของ D ปีนี้และปีหน้าจะเติบโตก้าวกระโดด

    คำถามมีอยู่ว่า การลงทุนที่ใหญ่กว่าตัวเองที่มีทุนจดทะเบียนแค่ 100 ล้านบาท จะก่อให้เกิดปัญหาสัดส่วนการเงินที่แย่งลงมากน้อยเพียงใด

    คำตอบคือ หากบริหารจัดการได้ดี ไม่น่าจะมีปัญหา

    การลงทุนโครงการแรก ใช้เงินไม่มาก ไม่ถือว่ามีความเสี่ยง เพราะรับรู้รายได้ทันที ไม่ต้องรอ

    โครงการที่สอง เพิ่งจะเริ่มต้นการลงทุนก่อสร้าง แม้ภาพรวมจะมูลค่าลงทุนสูงกว่าอื่นๆ แต่ก็สามารถใช้งบกระแสเงินสดเรื่อยไป

    โครงการสุดท้ายนี้แหละคือประเด็นเพราะต้องก่อหนี้เพิ่มอีกมากถึง 200 ล้านบาท ใช้เงินสดในบริษัทดำเนินการเพียง 50 ล้านบาท

    หากย้อนดูสิ้นงวดไตรมาสแรกปีนี้ D มีหนี้สินรวมแค่ 155.92 ล้านบาท มีส่วนผู้ถือหุ้น 420 ล้านบาท ค่าดี/อีเพียง 0.37 เท่า ยังมีความสามารถก่อหนี้อีกมาก

    การก่อหนี้กับสถาบันการเงินอีก 200 ล้านบาท จึงไม่ใช่ปัญหา และไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุนอะไรเลย เป็นแต้มต่อ เพราะรายหลังสุดนี้ สามารถรับรู้รายได้บางส่วนทันทีตั้งแต่ไตรมาสสามไปเลยไม่ต้องรอนาน

    ที่สำคัญการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวม และการท่องเที่ยวที่เฟื่องฟู ทำให้ย่างก้าวในอนาคตนับแต่ครึ่งหลังของปี คาดว่าเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก

    ข่าวดีหลายระลอก ทำให้ D ถูกคาดหมายเชิงบวกและนักวิเคราะห์ปรับประมาณการกำไรปีนี้ เพิ่มขึ้น 6% : จากการคาดการณ์รายได้ปี 2561 เพิ่มขึ้นเป็น 530 ล้านบาท เติบโต 5% ส่วนประมาณการกำไรสุทธิใหม่เพิ่มขึ้น 6% จากเดิม 58 ล้านบาทเป็น 61 ล้านบาท

    มุมมองนี้ ทำให้คำแนะนำ "ซื้อ" จากนักวิเคราะห์สอดรับกันดี ปรับใช้ราคาเหมาะสม  13.20 บาท โดยที่คาดว่าจะเติบโต 37%  จากปีก่อน

    โตเร็ว หนี้ต่ำ และ อัตราความเสี่ยงต่ำ ทำให้หุ้นขนาดเล็กอย่าง D มีสตอรี่ดันราคาขึ้นไป แม้จะมองไม่เห็นชัดว่าจะมีอัตรากำไรต่อหุ้น และ PEG ที่เลวร้ายจากการก่อหนี้เกินขนาด จนส่งผลให้ราคาหุ้นร่วงผล็อยๆได้อย่างไร

    อาชีพหมอฟันที่ถือกันมาหลายปีแล้วว่า เป็นอาชีพที่น่าอิจฉา แต่ D ที่ 2 ปีมานี้ กำไรทั้งกำไรสุทธิและกำไรต่อหุ้น ยังต่ำเตี้ยจนทำให้ค่าพี/อีสูงเกินจริง จะเป็นช่วงเวลาที่แสนท้าทายว่าการรุกเชิงกลยุทธ์ก้าวกระโดด ที่เรียกว่า "แม่น้ำหลากสาย" ใช้การได้ดีเพียงใด
///////////////////////////////////
ขอบคุณบทความจาก www.facebook.com/Share2Trade/  www.share2trade.com

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่