
เมื่อก่อน ผมฟังเข้าใจอีกอย่าง ตามสภาวะที่เป็น เรียกว่า ภพก็ได้มั้ง
พอ
กลับมาฟังใหม่จะเข้าใจไปอีกแบบ
ลึกซึ้งมากขึ้น
ก็เพราะความเห็นผิดในเบื้องต้น ทำให้คิดว่า มันต้องดี ต้องวิเศษ ทำให้เขาเหล่านั้นต้องติดอยู่กับสิ่งๆนั้นที่ตนคิด
และ รีบด่วนสรุป พระไตรปิกฏเกินไป หรือ รีบด่วนสรุป พระสูตรเกินไป
เพราะ ขณะที่เราอ่าน เราคิดไป มันก็จะคิดตามความเห็นผิดนั้นเอง ( เรามีความเห็นผิดอยู่แล้ว ต่อไม่อ่านรู้เรื่องก็ตาม ก็คือลักษณะความสุขเป็นที่ไป )
สัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านย้ำเลยน
ะ ไม่ควรประมาท ละกิเลส มีพระสูตรนึง เราต้องเข้าใจลักษณะ ผู้แสดงธรรมกับผู้ถูกแสดงนะ
อนาถปิณฑิกวรรคที่ ๒
จันทิมสสูตรที่ ๑
[๒๕๑] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในพระวิหารเชตวัน อารามของท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น จันทิมสเทวบุตร เมื่อปฐม
ยามสิ้นไปแล้ว มีวรรณงามยิ่งนัก ยังพระวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่าง เข้าไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วก็ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้วได้ยืนอยู่
ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ
[๒๕๒] จันทิมสเทวบุตร ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้
กล่าวคาถานี้ ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า
ก็ชนเหล่าใด เข้าถึงฌาน มีจิตเป็นสมาธิ มีปัญญา มีสติ
ชนเหล่านั้น จักถึงความสวัสดี ประดุจเนื้อในชะวากเขา ไร้
ริ้นยุง ฉะนั้น ฯ
[๒๕๓] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ก็ชนเหล่าใด เข้าถึงฌาน
ไม่ประมาท ละกิเลสได้ ชน
เหล่านั้น จักถึงฝั่งประดุจปลา ทำลายข่ายได้แล้ว ฉะนั้น ฯ
เวณฑุสูตรที่ ๒
[๒๕๔] เวณฑุเทวบุตร ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กล่าว
คาถานี้ ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า
ชนเหล่าใด นั่งใกล้พระสุคต ประกอบตนในศาสนาของ
พระโคดม ไม่ประมาทแล้ว ศึกษาตามอยู่ ชนเหล่านั้น
ถึงความสุขแล้วหนอ ฯ
[๒๕๕] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ชนเหล่าใด เป็นผู้เพ่งพินิจ ศึกษาตามในข้อสั่งสอน อันเรา
กล่าวไว้แล้ว ชนเหล่านั้น ไม่ประมาทอยู่ในกาล ไม่พึงไปสู่
อำนาจแห่งมัจจุ ฯ
อ่านพระสูตรนี้ดีๆ
ไม่ใช่เข้าฌานแล้วละกิเลสนะครับ ไม่ใช่
แต่
สัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านกล่าวว่า ไม่ประมาท ละกิเลสก่อนก็คือความติดข้องนั้นเอง
แม้แต่หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ท่านยังกล่าวเลย เรื่อง ฌานไม่สำคัญเลย แต่สำคัญตรงที่ความปรากฏตามธรรมชาติ
เมื่อก่อน ผมฟังเข้าใจอีกอย่าง ตามสภาวะที่เป็น เรียกว่า ภพก็ได้มั้ง
พอ
กลับมาฟังใหม่จะเข้าใจไปอีกแบบ
ลึกซึ้งมากขึ้น
ก็เพราะความเห็นผิดในเบื้องต้น ทำให้คิดว่า มันต้องดี ต้องวิเศษ ทำให้เขาเหล่านั้นต้องติดอยู่กับสิ่งๆนั้นที่ตนคิด
และ รีบด่วนสรุป พระไตรปิกฏเกินไป หรือ รีบด่วนสรุป พระสูตรเกินไป
เพราะ ขณะที่เราอ่าน เราคิดไป มันก็จะคิดตามความเห็นผิดนั้นเอง ( เรามีความเห็นผิดอยู่แล้ว ต่อไม่อ่านรู้เรื่องก็ตาม ก็คือลักษณะความสุขเป็นที่ไป )
สัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านย้ำเลยนะ ไม่ควรประมาท ละกิเลส มีพระสูตรนึง เราต้องเข้าใจลักษณะ ผู้แสดงธรรมกับผู้ถูกแสดงนะ
อนาถปิณฑิกวรรคที่ ๒
จันทิมสสูตรที่ ๑
[๒๕๑] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในพระวิหารเชตวัน อารามของท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น จันทิมสเทวบุตร เมื่อปฐม
ยามสิ้นไปแล้ว มีวรรณงามยิ่งนัก ยังพระวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่าง เข้าไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วก็ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้วได้ยืนอยู่
ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ
[๒๕๒] จันทิมสเทวบุตร ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้
กล่าวคาถานี้ ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า
ก็ชนเหล่าใด เข้าถึงฌาน มีจิตเป็นสมาธิ มีปัญญา มีสติ
ชนเหล่านั้น จักถึงความสวัสดี ประดุจเนื้อในชะวากเขา ไร้
ริ้นยุง ฉะนั้น ฯ
[๒๕๓] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ก็ชนเหล่าใด เข้าถึงฌาน ไม่ประมาท ละกิเลสได้ ชน
เหล่านั้น จักถึงฝั่งประดุจปลา ทำลายข่ายได้แล้ว ฉะนั้น ฯ
เวณฑุสูตรที่ ๒
[๒๕๔] เวณฑุเทวบุตร ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กล่าว
คาถานี้ ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า
ชนเหล่าใด นั่งใกล้พระสุคต ประกอบตนในศาสนาของ
พระโคดม ไม่ประมาทแล้ว ศึกษาตามอยู่ ชนเหล่านั้น
ถึงความสุขแล้วหนอ ฯ
[๒๕๕] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ชนเหล่าใด เป็นผู้เพ่งพินิจ ศึกษาตามในข้อสั่งสอน อันเรา
กล่าวไว้แล้ว ชนเหล่านั้น ไม่ประมาทอยู่ในกาล ไม่พึงไปสู่
อำนาจแห่งมัจจุ ฯ
อ่านพระสูตรนี้ดีๆ ไม่ใช่เข้าฌานแล้วละกิเลสนะครับ ไม่ใช่
แต่สัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านกล่าวว่า ไม่ประมาท ละกิเลสก่อนก็คือความติดข้องนั้นเอง