"การปรับตัวจากอดีต" ในสภาวะที่คับขันที่สุดก็คือยุคที่ "โลกเต็มไปด้วยความขาดแคลนจากสงคราม" มาศึกษาเป็นแนวทางในการใช้ชีวิต "แบบพอเพียง" ให้มีความสุข ในยุคสมัยที่ "เงินเป็นพระเจ้า" อย่างทุกวันนี้กันครับ
ทหารไปรบ ยังมีผู้คนอีกไม่น้อยที่ไม่ได้เข้าสู่สมรภูมิต่าง ๆ เขาอยู่เขากินกันอย่างไร คงไม่สนุกถ้าต้องเก็บตำแยมาอบกับชีสที่หายากอยู่แล้ว หรือกินแต่กะหล่ำปลีเท่านั้นทุกมื้อเป็นเวลา 3 วัน สำหรับบางคนการได้ทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวปลอม ๆ เดินท่อม ๆ สำรวจบ้านใกล้เรือนเคียง ก่อนจะแวะไปฟังดนตรีตามสวนสาธารณะ แล้วเก็บผักที่ขึ้นอยู่ริมทางกลับไปทำกินที่บ้าน ก็อาจเป็นชีวิตที่ท้าทายไปอีกแบบ
แรก ๆ ก็คงสนุกดีอยู่หรอก แต่ถ้าต้องทำแบบนั้นทุกวันอยู่นานกว่า 5 ปี คุณจะทนได้ไหม?
สงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้ชายนับล้านต้องบอกลาครอบครัวไปรบเพื่อชาติ แล้วคนข้างหลังจะอยู่กันอย่างไร แน่นอน สิ่งที่พวกเขาทำได้คือ ทำใจเย็น ๆ ประคับประคองจิตใจไป พร้อมกินอยู่อย่างประหยัด หมุนเวียนเสื้อผ้ามาใช้ จัดสรรน้ำอาบ รวมไปถึงปรับการใช้ชีวิตเสียใหม่
ความเป็นอยู่ของผู้คนในแนวหลังที่แม้จะไม่ต้องเสี่ยงชีวิตเหมือนอย่างทหารในแนวหน้า แต่ก็ใช่จะสะดวกสบายมากนัก กลับกัน เอกสารส่วนใหญ่ให้ภาพของการรบตามสมรภูมิต่าง ๆ หรือเรื่องของอาวุธยุทธภัณฑ์ การวางแผนยุทธศาสตร์ ตลอดจนวีรกรรมของทหาร ฯลฯ แต่กลับมีไม่มากนักที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของผู้คนเป็นครอบครัว หรือผู้เป็นที่รักของทหารในแนวหน้าเหล่านั้น
ต่อไปนี้คือการเอาตัวให้รอดอย่างน้อย 10 อย่างของผู้คนที่เป็นแนวหลังท่ามกลางภาวะสงครามที่เรียกว่า ได้เป็นสงคราม “โลก” อย่างแท้จริง และบางอย่างก็ยังมาปรับใช้ในการจัดสรรทรัพยากร และการใช้ชีวิตในปัจจุบันได้อีกด้วย
1.
ห้ามมีขยะ
ความสุรุ่ยสุร่ายจนทำให้เกิดขยะ หรือของเหลือทิ้งกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะเมื่อ ค.ศ. 1942 ที่ประเทศอังกฤษมีการออกกฎหมายห้ามทิ้ง หรือเผากระดาษ (ข้อ 48 ของกฎกระทรวงการผลิต (Ministry of Production) ว่าด้วยควบคุมกระดาษ ลงวันที่ 4 กันยายน ค.ศ. 1942 กำหนดให้กระดาษเป็นสิ่งที่ต้องควบคุม) ขณะเดียวกันทรัพยากรของประเทศที่ลดลงอย่างมาก จึงยอมให้เกิดความฟุ่มเฟือยไม่ได้ พร้อมกันนั้นก็มีคู่มือว่าด้วยการเย็บ ซ่อม ปะ ชุน (Make Do and Mend) จำหน่ายจ่ายแจกไปทั่วอังกฤษเพื่อแนะนำว่า จะยืดอายุเสื้อผ้าเครื่องใช้ในบ้านได้อย่างไร
เรือขนส่งอาหารมักถูกโจมตีอยู่เสมอ และมีทหารต้องตายเพื่อให้คนในแนวหลังมีอาหารกิน ดังนั้น
การกินทิ้งกินขว้างจึงถูกมองว่าเป็นความหยาบคาย ดังนั้น แทนที่จะทิ้งให้เสียของ ก็มีข้อเสนอให้นำอาหารที่เป็น “ของค้าง” จากมื้อก่อนมาปรุงรับประทานใหม่ ส่วนเศษอาหารก็เก็บไว้เลี้ยงหมูหรือไก่ต่อไป
เคล็ดลับ: ซื้อให้น้อยลง นำกลับมาใช้ใหม่ อะไรที่ไม่ต้องการก็รีไซเคิล
ภายใต้การกำหนดกระดาษให้เป็นสิ่งที่ต้องควบคุม โลหะ และกระดูกก็อยู่ในเงื่อนไขเดียวกัน โปสเตอร์นี้รณรงค์ให้นำกระดาษ โลหะ และกระดูกมาบริจาค เพื่อนำใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเครื่องบิน ปืน รถถัง เรือ และวัตถุระเบิด
ตัวอย่างตำราหรือคู่มือว่าด้วยการเย็บ ซ่อม ปะ ชุน (Make Do and Mend) ในภาพเป็นตำราสอนชุนผ้าและซ่อมแซมสิ่งของต่าง ๆ ในบ้านเรือน
สตรีอังกฤษกำลังซ่อมแซมเสื้อผ้า เพื่อไม่ต้องซื้อหาใหม่เรื่อยไป
2.
วางแผนอาหาร
การปันส่วนอาหาร (food rotioning) เป็นมาตรการอย่างหนึ่งที่รู้จักกันดีในแนวหลัง ระหว่าง ค.ศ. 1940-1954 การปันส่วนใช้เพื่อควบคุมอาหารและสร้างความมั่นใจว่า ทุกคนไม่ว่ายากดีมีจนได้รับส่วนแบ่งที่เป็นธรรม ในช่วงสิ้นสุดสงคราม (ค.ศ. 1945) ปรากฏว่ามีกฎหมายห้ามขายน้ำตาล น้ำมันปรุงอาหาร เนื้อ ชา นม ผลไม้กระป๋องและผลไม้แห้ง ไข่ แยม ขนมหวาน และเนยแข็ง ออกมาบังคับใช้
เคล็ดลับ: วางแผนล่วงหน้าเพื่อให้อาหารที่ได้รับการปันส่วนมาคุ้มค่าที่สุดและไม่หมดไปในกลางสัปดาห์ ถ้าทำไม่ได้ คุณจะต้องกิน “อาหารยอดฮิต” (กะหล่ำปลี มันฝรั่ง และแครอท) ไปอีกหลายวันกว่าจะถึงรอบการปันส่วนอาหารครั้งใหม่
แผงขายผลไม้และของชำในตลาดอังกฤษ พร้อมป้ายระบุปริมาณสินค้าปันส่วนที่ซื้อได้ในแต่ละครั้ง ได้แก่ น้ำตาล คนละครึ่งปอนด์/สัปดาห์ ชา ครึ่งหนึ่งของปริมาณซื้อปกติ และกาแฟ สามในสี่ของปริมาณซื้อปกติ โปรดสังเกตป้ายด้านบน ที่มีข้อความว่า “พลเมืองที่ซื่อสัตย์ย่อมไม่กักตุน”
สตรีอังกฤษคนนี้มีตัวเลือกไม่มากนัก เมื่อพบว่ามันฝรั่งซึ่งเป็นอาหารหลักขาดแคลนอย่างหนัก
ชาวอังกฤษเข้าแถว (พร้อมบัตรลงทะเบียนปันส่วนอาหาร) เพื่อซื้อเนื้อม้า (อ่านไม่ผิดหรอก…ดูป้ายหน้าร้านได้) เนื่องจากเนื้อวัวมีราคาแพงและหายากในช่วงสงคราม สังเกตว่า หน้าร้านมีข้อความสามบรรทัดอ่านได้ว่า ผ่าน(การตรวจ) แล้วว่า เป็นสิ่งที่มนุษย์บริโภคได้ (ภาพนี้ถ่ายเมื่อ วันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 1941)
3.
ขุดเพื่อชัยชนะ
เดือนตุลาคม ค.ศ. 1939 เกิดการรณรงค์ที่เรียกว่า
“ขุดเพื่อชัยชนะ” (Dig of Victory) ที่ส่งเสริมให้เจ้าของบ้านปลูกผักไว้เป็นอาหาร ในเวลานั้นจะพบว่า ตามลานจอดรถ สวน หรือแม้แต่คูน้ำของหอคอยลอนดอนก็เปลี่ยนไปเป็นแปลงผักทั้งหมด กล่าวได้ว่าสวนผักนั้นเปรียบได้กับ “โรงงานผลิตอาวุธ” ที่มีอาหารให้กับประชาชนในชาติยามต้องการได้เป็นอย่างดี
เคล็ดลับ: ใช้สวนผักให้เป็นประโยชน์มากที่สุด พืชยอดนิยมที่ต้องการ พืชที่จำกัดก็สามารถปลูกตามรั้ว หรือในหม้อไหภาชนะเก่า ๆ ได้ พืชที่กินเป็นอาหารหลักอย่างมันฝรั่ง แครอท หัวหอม และคะน้า กลายเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปในพื้นที่ที่เรียกกันว่า
“สวนแห่งชัยชนะ” (Victory Garden) ทั้งที่ว่างหลังบ้าน หลังคาอพาร์ทเมนต์ ข้างทางรถไฟ หรือแม้แต่ที่ว่างข้าง ๆ สนามกอล์ฟ ขณะที่ไม้ผลอย่างแอปเปิ้ลได้รับความนิยมมากเป็นพิเศษ
ภาพโปสเตอร์ตามการรณรงค์ “ขุดเพื่อชัยชนะ” ของอังกฤษ
“สวนแห่งชัยชนะ” (Victory Garden) สร้างบนพื้นที่ที่ถูกทิ้งระเบิดในกรุงลอนดอนช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
4.
วันหยุดก็อยู่บ้าน
ถ้าคุณย้อนเวลากลับไปตามสถานีรถไฟช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ คุณจะพบกับป้ายที่มีคำถามทำนองว่า “คุณจำเป็นต้องเดินทางจริง ๆ ใช่ไหม” ขณะที่การเดินทางข้ามทวีปถูกตัดขาด และน้ำมันเชื้อเพลิงก็ขาดแคลน จึงมีการส่งเสริมให้ผู้คนอยู่ และใช้พื้นที่ที่ตนอาศัยอยู่ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ในช่วงฤดูร้อน การ “ใช้วันหยุดอยู่บ้าน” ก็เป็นทั้งกิจกรรมหลักและการพักผ่อนหย่อนใจไปพร้อมกัน มีการแสดงดนตรีและการออกร้านขายสินค้าตามสวนสาธารณะต่าง ๆ ในกรุงลอนดอน เคล็ดลับ: กิจกรรมวันหยุดที่เหมาะสำหรับช่วงสงครามคือ ทำความรู้จักและใช้ประโยชน์จากพื้นที่ใกล้บ้าน ไม่ว่าจะเป็นการเดินเล่น การไปเที่ยงแบบปิกนิก หรือแม้แต่ลองใช้ชีวิตเป็นนักท่องเที่ยว (ปลอม ๆ) สัก 1 วันในย่านที่อยู่อาศัย
โปสเตอร์พร้อมข้อความว่า “คุณจำเป็นต้องเดินทางจริง ๆ ใช่ไหม” ในอังกฤษ
5.
เรียนทำอาหาร
บางคนคิดว่าผู้หญิงสมัยก่อนต้องทำกับข้าวเก่งทุกคน ที่จริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไป ผู้หญิงอังกฤษจำนวนมากในช่วงทศวรรษ 1940 แทบจะทำอาหารไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ ซึ่งจะเป็นปัญหาทันทีเมื่อมีการปันส่วนอาหารเกิดขึ้น จึงเป็นหน้าที่ของ
“การครัวสร้างสรรค์” (creative cookery) ดังที่กระทรวงอาหารของอังกฤษจัดกิจกรรมรณรงค์สอนทำครัวแบบ “หน้าเตา” ขึ้นมาเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 1940 ประกอบด้วยการสาธิตการปรุงอาหารและรายการวิทยุ พร้อมคำแนะนำทั้งเรื่องของโภชนาการ ไปจนถึงสูตรอาหารต่าง ๆ หรือแม้แต่เคล็ดลับการเก็บเศษแก้วออกจากอาหารระหว่างมีการโจมตีทางอากาศ
เคล็ดลับ: ทำอาหารง่าย ๆ พื้น ๆ พร้อมใช้ความคิดสร้างสรรค์ดัดแปลงสิ่งต่าง ๆ ที่มีให้กินได้ ซึ่งจะทำให้สุขภาพดีและมีของเหลือทิ้งน้อยลง
คู่มือแนะนำการปรุงอาหารยามสงคราม เน้นประหยัดเชื้อเพลิง และรักษาคุณค่าอาหาร จัดทำขึ้นในนิทรรศการรณรงค์อาหารแห่งชาติ ที่เมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ค.ศ. 1940
6.
ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์
ชีวิตในสมัยสงครามมีสิ่งรบกวนจิตใจน้อยกว่าปัจจุบันมากนัก แม้โทรทัศน์จะเกิดขึ้นมาตั้งแต่ ค.ศ. 1939 แต่ก็มีอันต้องหยุดไปเมื่อสงครามเริ่มขึ้น พร้อมกับการกระจายเสียงของวิทยุท้องถิ่น แต่กระนั้นก็มีการจัดตั้งสถานีวิทยุแห่งชาติขึ้นมาแห่งหนึ่ง เพื่อทำหน้าที่ให้ข่าวสาร สาระความรู้เกี่ยวกับการดูแลบ้านเรือน ตลอดจนความบันเทิงต่าง ๆ แก่ผู้คนในแนวหลัง
เคล็ดลับ: นอกจากฟังวิทยุแล้ว ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ด้วยการอ่านหนังสือ ทำสวนครัว ทำงานฝีมือ หรือเขียนจดหมายโต้ตอบกัน
สตรีที่ทำงานในราชนาวีอังกฤษใช้เวลาว่างทำตุ๊กตาสำหรับแจกเป็นของขวัญคริสต์มาส
คนงานหญิงในโรงงานผลิตอาวุธของอังกฤษระหว่างพักดื่มชา
7.
ประโยชน์ดี ๆ ของฟรีไม่ต้องซื้อหา
ธรรมชาติจะให้อาหารมหัศจรรย์แก่มนุษย์เป็นประจำ หากการปันส่วนอาหารไม่เพียงพอ หรือไม่มีเอาเสียเลย การเก็บผลหมากรากไม้มาเป็นอาหารก็ถือว่าเป็นทางออกที่ดี กระทรวงอาหารของอังกฤษในเวลานั้นก็คิดแบบเดียวกัน จึงออกคู่มือการหาอาหารหรือพืชผักแบบ “รั้วกินได้” ที่มีอยู่เองตามธรรมชาติ สูตรที่ได้รับความนิยมากในฐานะแหล่งของวิตามินซีชั้นดีในยามที่ส้มขาดแคลน ก็คือ
น้ำหวานที่ได้จากลูกโรสฮิป หรือ ลูกกุหลาบป่า
เคล็ดลับ: ลูกไม้ป่าอย่างแบล็กเบอร์รี เอลเดอร์เบอร์รี กระเทียมป่า หรือตำแยกัด (stinging nettles) เป็นพืชที่ขึ้นง่าย และมีให้หาเก็บมาได้ทั่วไป ขณะเดียวกันก็นำผลไม้มาทำเป็นแยมไว้กินได้ตลอดฤดูหนาว กระเทียมป่านำมาใช้แต่งกลิ่นยามหัวหอมและกระเทียม (จริง ๆ) ขาดแคลนได้ ส่วนตำแยกัดเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับใช้แทนผักโขม
ลูกโรสฮิป หรือกุหลาบป่า แหล่งวิตามินซีของผู้คนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
ตำแยกัด (stinging nettles) วัชพืชที่เป็นอาหารยามผักโขมขาดแคลน
To Be continue..
"อยู่ให้เป็น - เย็นให้ได้" การปรับตัวจากอดีตสู่ปัจจุบัน
ทหารไปรบ ยังมีผู้คนอีกไม่น้อยที่ไม่ได้เข้าสู่สมรภูมิต่าง ๆ เขาอยู่เขากินกันอย่างไร คงไม่สนุกถ้าต้องเก็บตำแยมาอบกับชีสที่หายากอยู่แล้ว หรือกินแต่กะหล่ำปลีเท่านั้นทุกมื้อเป็นเวลา 3 วัน สำหรับบางคนการได้ทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวปลอม ๆ เดินท่อม ๆ สำรวจบ้านใกล้เรือนเคียง ก่อนจะแวะไปฟังดนตรีตามสวนสาธารณะ แล้วเก็บผักที่ขึ้นอยู่ริมทางกลับไปทำกินที่บ้าน ก็อาจเป็นชีวิตที่ท้าทายไปอีกแบบ
แรก ๆ ก็คงสนุกดีอยู่หรอก แต่ถ้าต้องทำแบบนั้นทุกวันอยู่นานกว่า 5 ปี คุณจะทนได้ไหม?
สงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้ชายนับล้านต้องบอกลาครอบครัวไปรบเพื่อชาติ แล้วคนข้างหลังจะอยู่กันอย่างไร แน่นอน สิ่งที่พวกเขาทำได้คือ ทำใจเย็น ๆ ประคับประคองจิตใจไป พร้อมกินอยู่อย่างประหยัด หมุนเวียนเสื้อผ้ามาใช้ จัดสรรน้ำอาบ รวมไปถึงปรับการใช้ชีวิตเสียใหม่
ความเป็นอยู่ของผู้คนในแนวหลังที่แม้จะไม่ต้องเสี่ยงชีวิตเหมือนอย่างทหารในแนวหน้า แต่ก็ใช่จะสะดวกสบายมากนัก กลับกัน เอกสารส่วนใหญ่ให้ภาพของการรบตามสมรภูมิต่าง ๆ หรือเรื่องของอาวุธยุทธภัณฑ์ การวางแผนยุทธศาสตร์ ตลอดจนวีรกรรมของทหาร ฯลฯ แต่กลับมีไม่มากนักที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของผู้คนเป็นครอบครัว หรือผู้เป็นที่รักของทหารในแนวหน้าเหล่านั้น
ต่อไปนี้คือการเอาตัวให้รอดอย่างน้อย 10 อย่างของผู้คนที่เป็นแนวหลังท่ามกลางภาวะสงครามที่เรียกว่า ได้เป็นสงคราม “โลก” อย่างแท้จริง และบางอย่างก็ยังมาปรับใช้ในการจัดสรรทรัพยากร และการใช้ชีวิตในปัจจุบันได้อีกด้วย
1. ห้ามมีขยะ
ความสุรุ่ยสุร่ายจนทำให้เกิดขยะ หรือของเหลือทิ้งกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะเมื่อ ค.ศ. 1942 ที่ประเทศอังกฤษมีการออกกฎหมายห้ามทิ้ง หรือเผากระดาษ (ข้อ 48 ของกฎกระทรวงการผลิต (Ministry of Production) ว่าด้วยควบคุมกระดาษ ลงวันที่ 4 กันยายน ค.ศ. 1942 กำหนดให้กระดาษเป็นสิ่งที่ต้องควบคุม) ขณะเดียวกันทรัพยากรของประเทศที่ลดลงอย่างมาก จึงยอมให้เกิดความฟุ่มเฟือยไม่ได้ พร้อมกันนั้นก็มีคู่มือว่าด้วยการเย็บ ซ่อม ปะ ชุน (Make Do and Mend) จำหน่ายจ่ายแจกไปทั่วอังกฤษเพื่อแนะนำว่า จะยืดอายุเสื้อผ้าเครื่องใช้ในบ้านได้อย่างไร
เรือขนส่งอาหารมักถูกโจมตีอยู่เสมอ และมีทหารต้องตายเพื่อให้คนในแนวหลังมีอาหารกิน ดังนั้น การกินทิ้งกินขว้างจึงถูกมองว่าเป็นความหยาบคาย ดังนั้น แทนที่จะทิ้งให้เสียของ ก็มีข้อเสนอให้นำอาหารที่เป็น “ของค้าง” จากมื้อก่อนมาปรุงรับประทานใหม่ ส่วนเศษอาหารก็เก็บไว้เลี้ยงหมูหรือไก่ต่อไป
เคล็ดลับ: ซื้อให้น้อยลง นำกลับมาใช้ใหม่ อะไรที่ไม่ต้องการก็รีไซเคิล
2. วางแผนอาหาร
การปันส่วนอาหาร (food rotioning) เป็นมาตรการอย่างหนึ่งที่รู้จักกันดีในแนวหลัง ระหว่าง ค.ศ. 1940-1954 การปันส่วนใช้เพื่อควบคุมอาหารและสร้างความมั่นใจว่า ทุกคนไม่ว่ายากดีมีจนได้รับส่วนแบ่งที่เป็นธรรม ในช่วงสิ้นสุดสงคราม (ค.ศ. 1945) ปรากฏว่ามีกฎหมายห้ามขายน้ำตาล น้ำมันปรุงอาหาร เนื้อ ชา นม ผลไม้กระป๋องและผลไม้แห้ง ไข่ แยม ขนมหวาน และเนยแข็ง ออกมาบังคับใช้
เคล็ดลับ: วางแผนล่วงหน้าเพื่อให้อาหารที่ได้รับการปันส่วนมาคุ้มค่าที่สุดและไม่หมดไปในกลางสัปดาห์ ถ้าทำไม่ได้ คุณจะต้องกิน “อาหารยอดฮิต” (กะหล่ำปลี มันฝรั่ง และแครอท) ไปอีกหลายวันกว่าจะถึงรอบการปันส่วนอาหารครั้งใหม่
3. ขุดเพื่อชัยชนะ
เดือนตุลาคม ค.ศ. 1939 เกิดการรณรงค์ที่เรียกว่า “ขุดเพื่อชัยชนะ” (Dig of Victory) ที่ส่งเสริมให้เจ้าของบ้านปลูกผักไว้เป็นอาหาร ในเวลานั้นจะพบว่า ตามลานจอดรถ สวน หรือแม้แต่คูน้ำของหอคอยลอนดอนก็เปลี่ยนไปเป็นแปลงผักทั้งหมด กล่าวได้ว่าสวนผักนั้นเปรียบได้กับ “โรงงานผลิตอาวุธ” ที่มีอาหารให้กับประชาชนในชาติยามต้องการได้เป็นอย่างดี
เคล็ดลับ: ใช้สวนผักให้เป็นประโยชน์มากที่สุด พืชยอดนิยมที่ต้องการ พืชที่จำกัดก็สามารถปลูกตามรั้ว หรือในหม้อไหภาชนะเก่า ๆ ได้ พืชที่กินเป็นอาหารหลักอย่างมันฝรั่ง แครอท หัวหอม และคะน้า กลายเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปในพื้นที่ที่เรียกกันว่า “สวนแห่งชัยชนะ” (Victory Garden) ทั้งที่ว่างหลังบ้าน หลังคาอพาร์ทเมนต์ ข้างทางรถไฟ หรือแม้แต่ที่ว่างข้าง ๆ สนามกอล์ฟ ขณะที่ไม้ผลอย่างแอปเปิ้ลได้รับความนิยมมากเป็นพิเศษ
4. วันหยุดก็อยู่บ้าน
ถ้าคุณย้อนเวลากลับไปตามสถานีรถไฟช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ คุณจะพบกับป้ายที่มีคำถามทำนองว่า “คุณจำเป็นต้องเดินทางจริง ๆ ใช่ไหม” ขณะที่การเดินทางข้ามทวีปถูกตัดขาด และน้ำมันเชื้อเพลิงก็ขาดแคลน จึงมีการส่งเสริมให้ผู้คนอยู่ และใช้พื้นที่ที่ตนอาศัยอยู่ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ในช่วงฤดูร้อน การ “ใช้วันหยุดอยู่บ้าน” ก็เป็นทั้งกิจกรรมหลักและการพักผ่อนหย่อนใจไปพร้อมกัน มีการแสดงดนตรีและการออกร้านขายสินค้าตามสวนสาธารณะต่าง ๆ ในกรุงลอนดอน เคล็ดลับ: กิจกรรมวันหยุดที่เหมาะสำหรับช่วงสงครามคือ ทำความรู้จักและใช้ประโยชน์จากพื้นที่ใกล้บ้าน ไม่ว่าจะเป็นการเดินเล่น การไปเที่ยงแบบปิกนิก หรือแม้แต่ลองใช้ชีวิตเป็นนักท่องเที่ยว (ปลอม ๆ) สัก 1 วันในย่านที่อยู่อาศัย
5. เรียนทำอาหาร
บางคนคิดว่าผู้หญิงสมัยก่อนต้องทำกับข้าวเก่งทุกคน ที่จริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไป ผู้หญิงอังกฤษจำนวนมากในช่วงทศวรรษ 1940 แทบจะทำอาหารไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ ซึ่งจะเป็นปัญหาทันทีเมื่อมีการปันส่วนอาหารเกิดขึ้น จึงเป็นหน้าที่ของ “การครัวสร้างสรรค์” (creative cookery) ดังที่กระทรวงอาหารของอังกฤษจัดกิจกรรมรณรงค์สอนทำครัวแบบ “หน้าเตา” ขึ้นมาเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 1940 ประกอบด้วยการสาธิตการปรุงอาหารและรายการวิทยุ พร้อมคำแนะนำทั้งเรื่องของโภชนาการ ไปจนถึงสูตรอาหารต่าง ๆ หรือแม้แต่เคล็ดลับการเก็บเศษแก้วออกจากอาหารระหว่างมีการโจมตีทางอากาศ
เคล็ดลับ: ทำอาหารง่าย ๆ พื้น ๆ พร้อมใช้ความคิดสร้างสรรค์ดัดแปลงสิ่งต่าง ๆ ที่มีให้กินได้ ซึ่งจะทำให้สุขภาพดีและมีของเหลือทิ้งน้อยลง
6.ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์
ชีวิตในสมัยสงครามมีสิ่งรบกวนจิตใจน้อยกว่าปัจจุบันมากนัก แม้โทรทัศน์จะเกิดขึ้นมาตั้งแต่ ค.ศ. 1939 แต่ก็มีอันต้องหยุดไปเมื่อสงครามเริ่มขึ้น พร้อมกับการกระจายเสียงของวิทยุท้องถิ่น แต่กระนั้นก็มีการจัดตั้งสถานีวิทยุแห่งชาติขึ้นมาแห่งหนึ่ง เพื่อทำหน้าที่ให้ข่าวสาร สาระความรู้เกี่ยวกับการดูแลบ้านเรือน ตลอดจนความบันเทิงต่าง ๆ แก่ผู้คนในแนวหลัง
เคล็ดลับ: นอกจากฟังวิทยุแล้ว ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ด้วยการอ่านหนังสือ ทำสวนครัว ทำงานฝีมือ หรือเขียนจดหมายโต้ตอบกัน
7. ประโยชน์ดี ๆ ของฟรีไม่ต้องซื้อหา
ธรรมชาติจะให้อาหารมหัศจรรย์แก่มนุษย์เป็นประจำ หากการปันส่วนอาหารไม่เพียงพอ หรือไม่มีเอาเสียเลย การเก็บผลหมากรากไม้มาเป็นอาหารก็ถือว่าเป็นทางออกที่ดี กระทรวงอาหารของอังกฤษในเวลานั้นก็คิดแบบเดียวกัน จึงออกคู่มือการหาอาหารหรือพืชผักแบบ “รั้วกินได้” ที่มีอยู่เองตามธรรมชาติ สูตรที่ได้รับความนิยมากในฐานะแหล่งของวิตามินซีชั้นดีในยามที่ส้มขาดแคลน ก็คือ น้ำหวานที่ได้จากลูกโรสฮิป หรือ ลูกกุหลาบป่า
เคล็ดลับ: ลูกไม้ป่าอย่างแบล็กเบอร์รี เอลเดอร์เบอร์รี กระเทียมป่า หรือตำแยกัด (stinging nettles) เป็นพืชที่ขึ้นง่าย และมีให้หาเก็บมาได้ทั่วไป ขณะเดียวกันก็นำผลไม้มาทำเป็นแยมไว้กินได้ตลอดฤดูหนาว กระเทียมป่านำมาใช้แต่งกลิ่นยามหัวหอมและกระเทียม (จริง ๆ) ขาดแคลนได้ ส่วนตำแยกัดเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับใช้แทนผักโขม
To Be continue..