“นักวิชาการ” ชี้ ความเหลื่อมล้ำทำเศรษฐกิจชะงัก-โตช้า เป็นสาเหตุเบื้องหลังความยุ่งยากทางการเมือง แนะรัฐใส่ใจเรื่อง “การศึกษา-ประกันสุขภาพถ้วนหน้า” ชี้คนรวยมักหลุดรอดการเสียภาษีเต็มหน่วย
เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.) ท่าพระจันทร์ ศูนย์วิจัย ดิเรก ชัยนาม คณะรัฐศาสตร์ มธ. จัดงานปาฐกถา “ปริศนาความเหลื่อมล้ำ” โดยศาสตรจารย์ ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง กล่าวว่า
ตนได้ศึกษาความเหลื่อมล้ำมากว่า 30 ปี และพบว่าความเหลื่อมล้ำสูงเป็นอุปสรรค ทำให้เศรษฐกิจชะงักและโตช้าลงได้ เพราะสังคมขาดความเชื่อมโยงและตกลงกันไม่ได้จะใช้นโยบายใดเพื่อก่อให้เกิดสิ่งที่ดีขึ้น อีกทั้งความเหลื่อมล้ำเป็นปัจจัยหลักที่อยู่เบื้องหลังความยุ่งยากทางการเมือง
ส่วนการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำคนส่วนใหญ่คิดว่าต้องใช้เงินจำนวนมาก ซึ่งเป็นวิธีคิดที่ผิด ทั้งนี้ความเหลื่อมล้ำสูงทำให้เศรษฐกิจโตได้ช้า ถ้าไม่มีปัญหาการเมือง จีดีพีจะโตได้มากกว่านี้ นอกจากนี้สังคมที่เกิดความเหลื่อมล้ำจะส่งผลต่อสุขภาพ ทำให้การทำงานต่ำ ระบบเศรษฐกิจเสียโอกาสที่จะได้ผลงานของคนอย่างเต็มศักยภาพเพราะเรียนหรือไม่ได้เรียนอย่างมีคุณภาพ ทั้งนี้เรื่องที่รัฐบาลต้องทำอย่างจริงจังมี 2 เรื่อง คือ
1.เรื่องการศึกษา ต้องใส่ใจคุณภาพการศึกษาทุกระดับต้องเท่ากันและได้มาตรฐาน และไม่ใช่ลูกคนรวยจะมีโอกาสมากกว่าลูกคนจน
2.ต้องดำรงประกันสุขภาพถ้วนหน้าไว้ให้ยั่งยืนเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งรายจ่ายเหล่านี้ไม่สูงมากเมื่อเทียบต้นทุนทางสังคมที่เกิดขึ้น
ดร.ผาสุก กล่าวอีกว่า สิ่งที่ต้องแก้ไขคือเรื่องการศึกษาและสวัสดิการสังคม เช่น บำนาญ สุขภาพ เงินอุดหนุนครอบครัว การชดเชยคนตกงาน การอุดหนุนด้านที่อยู่อาศัย โดยแหล่งที่มาของเงินส่วนนี้ต้องมาจากภาษีของรัฐบาล แต่กลับพบว่ากรมสรรพากรเก็บภาษีรายได้จากเงินเดือนได้เก่ง แต่รายได้ประเภทกำไร ดอกเบี้ย เงินปันผล ค่าเช่า หรือรายได้จากการลงทุนกลับเก็บภาษีได้น้อยกกว่ามาก ซึ่งคนที่มีรายได้แบบนี้ มักเป็นคนรวยที่สามารถจ่ายภาษีได้สูงแต่ที่เก็บได้น้อยเพราะมีการแทรกแซงทางการเมืองสูง คนฐานะสูงมักหลุดลอดจากการเสียภาษีได้เต็มเม็ด เต็มหน่วย
หากสามารถอุดช่องโหว่การเก็บภาษีต่างๆได้ รัฐจะเก็บภาษีได้เพิ่มอีกร้อยละ 5 จากจีดีพีทั้งหมด อยู่ที่ว่ารัฐบาลตั้งใจจะทำหรือไม่ ตนเชื่อว่าเรื่องนี้แก้ไขได้และไม่ยากอย่างที่คิด แต่ต้องใช้เวลา.
JJNY : ปฏิรูปเสดตะกิดดี๊ดี...ซี้จุกสูญ นักวิชาการแขวะเก็บภาษีจากเงินเดือนเก่ง! แต่คนรวยรอดตัว
เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.) ท่าพระจันทร์ ศูนย์วิจัย ดิเรก ชัยนาม คณะรัฐศาสตร์ มธ. จัดงานปาฐกถา “ปริศนาความเหลื่อมล้ำ” โดยศาสตรจารย์ ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง กล่าวว่า
ตนได้ศึกษาความเหลื่อมล้ำมากว่า 30 ปี และพบว่าความเหลื่อมล้ำสูงเป็นอุปสรรค ทำให้เศรษฐกิจชะงักและโตช้าลงได้ เพราะสังคมขาดความเชื่อมโยงและตกลงกันไม่ได้จะใช้นโยบายใดเพื่อก่อให้เกิดสิ่งที่ดีขึ้น อีกทั้งความเหลื่อมล้ำเป็นปัจจัยหลักที่อยู่เบื้องหลังความยุ่งยากทางการเมือง
ส่วนการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำคนส่วนใหญ่คิดว่าต้องใช้เงินจำนวนมาก ซึ่งเป็นวิธีคิดที่ผิด ทั้งนี้ความเหลื่อมล้ำสูงทำให้เศรษฐกิจโตได้ช้า ถ้าไม่มีปัญหาการเมือง จีดีพีจะโตได้มากกว่านี้ นอกจากนี้สังคมที่เกิดความเหลื่อมล้ำจะส่งผลต่อสุขภาพ ทำให้การทำงานต่ำ ระบบเศรษฐกิจเสียโอกาสที่จะได้ผลงานของคนอย่างเต็มศักยภาพเพราะเรียนหรือไม่ได้เรียนอย่างมีคุณภาพ ทั้งนี้เรื่องที่รัฐบาลต้องทำอย่างจริงจังมี 2 เรื่อง คือ
1.เรื่องการศึกษา ต้องใส่ใจคุณภาพการศึกษาทุกระดับต้องเท่ากันและได้มาตรฐาน และไม่ใช่ลูกคนรวยจะมีโอกาสมากกว่าลูกคนจน
2.ต้องดำรงประกันสุขภาพถ้วนหน้าไว้ให้ยั่งยืนเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งรายจ่ายเหล่านี้ไม่สูงมากเมื่อเทียบต้นทุนทางสังคมที่เกิดขึ้น
ดร.ผาสุก กล่าวอีกว่า สิ่งที่ต้องแก้ไขคือเรื่องการศึกษาและสวัสดิการสังคม เช่น บำนาญ สุขภาพ เงินอุดหนุนครอบครัว การชดเชยคนตกงาน การอุดหนุนด้านที่อยู่อาศัย โดยแหล่งที่มาของเงินส่วนนี้ต้องมาจากภาษีของรัฐบาล แต่กลับพบว่ากรมสรรพากรเก็บภาษีรายได้จากเงินเดือนได้เก่ง แต่รายได้ประเภทกำไร ดอกเบี้ย เงินปันผล ค่าเช่า หรือรายได้จากการลงทุนกลับเก็บภาษีได้น้อยกกว่ามาก ซึ่งคนที่มีรายได้แบบนี้ มักเป็นคนรวยที่สามารถจ่ายภาษีได้สูงแต่ที่เก็บได้น้อยเพราะมีการแทรกแซงทางการเมืองสูง คนฐานะสูงมักหลุดลอดจากการเสียภาษีได้เต็มเม็ด เต็มหน่วย
หากสามารถอุดช่องโหว่การเก็บภาษีต่างๆได้ รัฐจะเก็บภาษีได้เพิ่มอีกร้อยละ 5 จากจีดีพีทั้งหมด อยู่ที่ว่ารัฐบาลตั้งใจจะทำหรือไม่ ตนเชื่อว่าเรื่องนี้แก้ไขได้และไม่ยากอย่างที่คิด แต่ต้องใช้เวลา.