JJNY : เสดตะกิดดี๊ดี ซี้จุกสูญ ราคาไม่เป็นสับปะรดเลย!! ต่ำสุดรอบ 11 ปีฯ/ตลาดกลางข้าวสาร ยื้อ 1 ปี/ บี้ราคาซื้อหมูโลละ60ฯ

กระทู้คำถาม
ราคาไม่เป็นสับปะรดเลย!! ตกต่ำสุดในรอบ 11 ปี
https://www.thairath.co.th/content/1313141

ราคาสับปะรดวูบเท่าตัว กลุ่มโรงงานที่เกษตรกรขายได้ที่ไร่นา 6 เดือนแรกเฉลี่ย กก.ละ 3.14 บาท ตราดสีทอง เบอร์ใหญ่ วันนี้เหลือแค่ กก.ละ 9 บาท

รายงานจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เปิดเผยว่า ราคาสับปะรดโรงงานเฉลี่ย 6 เดือนแรกของปีนี้ คือช่วงเดือน ม.ค.-มิ.ย. 61 อยู่ในระดับราคาต่ำสุดในรอบ 11 ปีนับตั้งแต่ปี 2550

ในปี 2550 ราคาอยู่ที่กิโลกรัม (กก.) ละ 4.41 บาท ปี 2558 เคยมีราคาสูงสุดถึง 10.29 บาท ปี 2559 มาอยู่ที่ 10.18 บาท แต่พอมาในปี 2560 ราคาตกลงมาอยู่ที่ 4.95 บาท จนมาถึงช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ เฉลี่ยได้ราคาเพียง 3.14 บาท โดยเฉพาะเดือน เม.ย. และ พ.ค.ที่ผ่านมา ราคาตกลงมาถึง 2.93 และ 2.29 บาทเท่านั้น เพระมีผลผลิตออกสู่ตลาดจำนวนมาก

สำหรับสับปะรดที่ขายตามท้องตลาดทั่วไป อย่างเช่น ตราดสีทอง เบอร์ใหญ่ 20 มิ.ย.ปีที่แล้ว เฉลี่ยยังขายได้ กก.ละ 20 บาท แต่วันนี้ขายได้ กก.ละ 9 บาท เช่นเดียวกับ ตราดสีทอง เบอร์เล็ก ที่ราคาลดลงกว่าเท่าตัวจาก 10 บาทปีที่แล้ว ตอนนี้เหลือ 4 บาท




ตลาดกลางข้าวสาร ยื้อ 1 ปี
https://www.prachachat.net/economy/news-177715

ผ่านมา 1 ปี สำหรับโครงการตั้ง “ตลาดกลางข้าวสารแห่งแรกของประเทศไทย” ที่กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการยังไม่มีความคืบหน้า แม้ว่าจะได้เอกชนผู้ชนะการประมูลแล้ว 2 ราย คือ ตลาดไท และตลาดต่อยอด แต่การดำเนินการตามกระบวนการก็ดูจะยังไม่มีความคืบหน้า

ย้อนกลับไปดูจุดเริ่มต้นของไอเดียการก่อสร้างตลาดกลางข้าวสารแห่งแรกของประเทศไทยเกิดขึ้นจากเมื่อครั้งที่ นางอภิรดี ตันตราภรณ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยนายสมพล เกียรติไพบูลย์ ประธานที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เดินทางร่วมคณะ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เยือนประเทศจีนในช่วงเดือนธันวาคม 2559 เยี่ยมชมตลาดกลางข้าวสารในประเทศจีน นำมาสู่แนวคิดจัดตั้งตลาดกลางข้าวสารในประเทศไทย

ด้วยความที่ไทยเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับ 1 ของโลก มีการส่งออกปีละ 9-10 ล้านตัน แต่ไม่เคยมีตลาดกลางข้าวสารมาก่อน มีแต่ตลาดกลางค้าข้าวเปลือก หากมีการจัดตั้งจะช่วยแลกเปลี่ยนข้อมูล และเป็นการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายข้าวสารจากระบบปกติ มอบให้กรมการค้าภายในจัดทำหลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้ประกอบการมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2560 และเปิดให้ผู้สนใจเข้าสมัครตั้งแต่ 12 กรกฎาคม 2560

เอกชนลงทุน 100%

ความน่าสนใจของโครงการนี้คือ ตลาดแห่งนี้กำหนดให้เอกชนลงทุนเองทั้งหมด 100% ทั้งสถานที่และระบบ โดยกำหนดให้มีรูปแบบการจำหน่ายทั้งผ่านออนไลน์และค้าปกติ โดยเอกชนจะต้องมี “ประสบการณ์” ในการทำธุรกิจที่เกี่ยวกับการจัดการบริหารตลาดสินค้าเกษตร ส่วนภาครัฐจะเป็น “ตัวกลาง” เชื่อมโยงผู้ผลิต-ผู้ซื้อจากทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้ามา และประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ โดยงบประมาณดำเนินโครงการประมาณ 10 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม พบว่ามีผู้สนใจสมัครเพียง 3 ราย คือ
1) กลุ่มตลาดไท ของบริษัท ไทย แอ็กโกร เอ็กซเชนจ์ จำกัด ซึ่งเป็นกลุ่มทุนของนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
2) บริษัท บูรณากาญจน์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ประกอบการท่าข้าวเขาใหญ่ จ.สุพรรณบุรี
และ 3) กลุ่มตลาดตะวันนา/ตลาดต่อยอด ของบริษัท ตะวันนา ไนท์บาซาร์ กลุ่มทุนในเครือของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี

ผู้สมัครทั้ง 3 รายได้แสดงวิสัยทัศน์ต่อคณะทำงาน ซึ่งมีนางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมการค้าภายใน ในขณะนั้นเป็นประธาน รอบแรกเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2560 ซึ่งตามกำหนดจะต้องประกาศผลการคัดเลือกบนเว็บไซต์ในวันที่ 24 กรกฎาคม 2560 แต่ก็เลื่อนมาอีกหลายครั้ง กระทั่งคณะทำงานมีข้อสรุปว่าให้ผู้ผ่านการคัดเลือกรอบแรก 2 ราย คือ ตลาดไท และตลาดตะวันนา/ตลาดต่อยอด กลับมาเจรจาต่อรองในรอบ 2 ในเดือนกันยายน 2560 แต่ก่อนถึงวันนัด กรมการค้าภายในได้แจ้งเลื่อนอีก และยกเลิกอีก ทั้งยังมีกระแสข่าวว่า ไม่มีงบประมาณในการดำเนินการแล้วอาจจะต้อง “ยกเลิก” โครงการ

จนแล้วจนรอดผ่านมาตั้งแต่กรกฎาคม จนถึงพฤศจิกายน 2560 นางนันทวัลย์ ขยับจากอธิบดีกรมการค้าภายในขึ้นเป็นปลัดกระทรวงพาณิชย์ไปแล้ว และมีนายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร มารับหน้าที่อธิบดีกรมการค้าภายในแทน ได้ประกาศให้มีผู้ชนะ 2 ราย คือ ตลาดไท และตลาดตะวันนา/ตลาดต่อยอด โดยให้เหตุผลว่า แต่ละรายมีจุดอ่อนและจุดแข็งแตกต่างกัน โดยรายหนึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดภายในประเทศ และอีกรายเชี่ยวชาญด้านตลาดต่างประเทศ พร้อมทั้งนัดหมาย “ผู้ชนะ” 2 รายให้มาลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับกระทรวงพาณิชย์ เพื่อเดินหน้าทำโครงการในเดือนเมษายน 2561 ซึ่งก็เป็นการเลื่อนเป้าหมายโครงการออกมาจากเดิมที่เคยวางไว้ในเดือนมกราคม 2561

แต่สุดท้าย “2 รายที่ชนะ” ไม่มีการลงนาม MOU อีกทั้งยังเกิดการฟ้องเกิดขึ้นอีกด้วย โดยกลุ่มตลาดไท หรือ บริษัท ไทย แอ็กโกร เอ็กซเชนจ์ จำกัด ยื่นฟ้องปลัดกระทรวงพาณิชย์ กรมการค้าภายใน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต่อศาลปกครองเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2561 เพื่อขอให้ระงับผลการพิจารณาคัดเลือกผู้ประกอบการจัดตั้งตลาดกลางข้าวสารแห่งแรกของประเทศไทย ซึ่งกระทรวงพาณิชย์พิจารณาให้ตลาดไทเป็นผู้ชนะการคัดเลือกร่วมกับบริษัท ตะวันนา ไนท์บาซาร์ จำกัด ว่า “ผลไม่เป็นตามเงื่อนไข” เช่น ประสบการณ์ในการทำธุรกิจค้าข้าวที่เปรียบเทียบเห็นได้อย่างชัดเจน ระยะห่างของตลาดทั้ง 2 แห่งไม่ต่างกันมาก ซึ่งอาจจะก่อปัญหาต่อธุรกิจในภายหลัง นับจากนั้นมา แม้ว่าจะล่วงเลยเป้าหมายที่วางไว้ในเดือนเมษายน 2561 มาแล้ว แต่ก็ยังไม่มีการดำเนินโครงการตลาดกลางข้าวสาร ส่วนการฟ้องร้องก็คงต้องเดินหน้าไปตามขั้นตอนทางกฎหมาย

คำถามคือสังคมได้อะไรจากโครงการนี้ ในมุมของผู้ส่งออกข้าวมองว่าปัจจุบันตลาดค้าข้าวได้ปรับเปลี่ยนไปตามระบบเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น ทำให้ผู้นำเข้า และผู้ส่งออกสามารถสื่อสารกันได้โดยตรง ไม่จำเป็นต้องมี “ตลาดกลางข้าวสาร” และหากจะมีตลาดกลางข้าวสารแบบประเทศจีน ก็จำเป็นต้องมีการวางระบบ “โลจิสติกส์” เข้าไปรองรับการขนส่ง เพื่อกระจายออกไปยังพื้นที่ต่าง ๆ หากไม่มีก็เท่ากับไม่เกิดประโยชน์อะไร ชาวนา สหกรณ์ หรือผู้ค้ารายย่อยที่ขนส่งข้าวไปขายในตลาดกลางก็ยังไม่ได้รับประโยชน์เท่าที่ควร

ขณะที่ฝ่ายโรงสีมองว่าการมีตลาดกลางข้าวสารถือเป็นการเพิ่มช่องทางให้ผู้ประกอบการรายย่อย หรือ “คนตัวเล็ก” ให้ได้พบกับผู้ซื้อโดยตรง โดยตัดขั้นตอนพ่อค้าคนกลางออกไป ซึ่งน่าจะเป็นการช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการค้าข้าว เพื่อเป็นผู้ส่งออกในอนาคต และหากมีตลาดก็ย่อมจะส่งผลดีต่อราคาข้าว นำมาสู่รายได้ของเกษตรกรในอนาคต

ข้อถกเถียงยังไม่มีข้อสรุป ท่ามกลางความไม่ชัดเจนของโครงการตลาดกลางข้าวสาร กระทรวงพาณิชย์ก็ได้มีโครงการดึงอาลีบาบา ซึ่งเป็นเจ้าตลาดอีคอมเมิร์ซเข้ามาทดลองขายปลีกข้าวสารบรรจุถุงผ่านระบบอีคอมเมิร์ซ เป็นภาพสะท้อนกลาย ๆ ว่า ตลาดกลางข้าวสารคงไม่ใช่สิ่งจำเป็นต่อไปแล้ว เพราะเทคโนโลยีสมัยนี้ขายข้าวได้ทุกที่ ไม่จำเป็นต้องมีตลาดกลางข้าวสารแล้ว


บี้ราคาซื้อหมูเป็นโลละ 60 บาท อุ้มผู้เลี้ยงลดขาดทุน 4 เดือน
https://www.prachachat.net/economy/news-177706

ราคาหมูดิ่งเหลือ กก.ละ 54 บาท “กรมปศุสัตว์” เรียกประชุมด่วนขอความร่วมมือซื้อหมูเป็นกก.ละ 60 บาท-เนื้อแดง กก.ละ 120 บาท

นายเสน่ห์ นัยเนตร ประธานสหกรณ์ปศุสัตว์และสัตว์น้ำฉะเชิงเทรา จำกัด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในช่วงกลางเดือน มิ.ย.นี้ราคาหมูเป็นมีชีวิตเริ่มตกลงเหลือประมาณ กก.ละ 54-55 บาท จากที่ขึ้นไปสูงสุดในช่วงครึ่งหลังเดือน พ.ค.ที่ผ่านมาที่ กก.ละ 58-59 บาท แม้กลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ (ซี.พี.) จะประกาศราคาซื้อขายหมูเป็นที่ กก.ละ 60 บาท แต่ราคาซื้อขายจริงอยู่ที่ กก.ละ 55 บาท ราคาขายในจังหวัดราชบุรีภาคตะวันตก

แหล่งเลี้ยงหมูใหญ่ซื้อขายที่ กก.ละ 54 บาท ราคาขายของฟาร์มในภาคตะวันออกอยู่ที่ กก.ละ 56 บาท

“เท่าที่ตรวจสอบห้องเย็นที่เก็บหมูชำแหละในภาคตะวันออกก็ไม่ค่อยมีสินค้า ทั้ง ๆ ที่กลุ่มแปรรูปหมูมีจำนวนมากขึ้นและซื้อครั้งละ 3-4 ตัน นำไปแปรรูป แต่ตรวจพบว่าฟาร์มรายกลาง-ย่อย จำเป็นต้องขายหมูเป็นออกไปมากขึ้น เนื่องจากมีต้นทุนการผลิตหมูเป็น กก.ละ 62-63 บาท และค้างชำระเงินค่าปัจจัยการผลิตหรือเลี้ยงหมูกับเจ้าหนี้จนเต็มวงเงิน หลังจากที่ราคาหมูตกต่ำและชะลอจ่ายมานาน ต้องยอมขายขาดทุน ในขณะที่ฟาร์มขนาดใหญ่หากราคาหมูเป็นอยู่ที่ กก.ละ 58 บาท ยังพออยู่ได้ นอกจากนี้ขนาดของหมูในฟาร์มยังมีน้ำหนักตัวละ 105-110 กก. ถือว่าน้ำหนักยังมีอยู่พอสมควร แต่ถ้าหากหมูเป็นในฟาร์มมีน้ำหนักตัวละ 90-95 กก.เป็นส่วนใหญ่แสดงว่าหมูเป็นเริ่มขาดแคลน”

ทั้งนี้ ปัจจุบันฟาร์มในภาคตะวันออกส่งเข้าไปจำหน่ายในประเทศกัมพูชา เฉลี่ยวันละประมาณ 1,200-1,400 ตัว เนื่องจากกัมพูชามีความต้องการบริโภคมากขึ้น เพราะราคาหมูเป็นเวียดนามซึ่งเป็นคู่แข่งปรับเพิ่มขึ้นมาเป็น กก.ละ 66-72 บาท ส่วนการส่งหมูเป็นเข้าประเทศจีนจากเชียงรายยังมีน้อย ประมาณ 300-500 ตัว ดังนั้นหากมีการส่งหมูเป็นเข้าจีนได้วันละ 2,000 ตัว จะช่วยดึงราคาหมูเป็นในไทยได้อย่างแน่นอน

ล่าสุดนายสัตวแพทย์จีระศักดิ์ พิพัฒนพงศ์โสภณ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ เรียกประชุมทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ปัญหาราคาหมู โดยที่ประชุมมีมติว่าขอความร่วมมือทุกฝ่ายกำหนดราคาซื้อ-ขายหมูเป็นหน้าฟาร์ม กก.ละ 60 บาท สำหรับฟาร์มภาคตะวันตกซึ่งเป็นแหล่งเลี้ยงที่มีสัดส่วนมากที่สุดของประเทศ พร้อมทั้งกำหนดราคาซื้อ-ขายปลีกเนื้อแดงที่ กก.ละ 120 บวกลบ 2 บาท โดยหลังจากนี้กรมปศุสัตว์จะมีหนังสือแจ้งขอความร่วมมือไปยังร้านโมเดิร์นเทรดที่เป็นสมาชิกของสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เพื่อขอให้จำหน่ายในราคานี้ เป็นระยะเวลา 4 เดือน เริ่มตั้งแต่ 15 มิ.ย. 61-15 ต.ค. 61

อย่างไรก็ตาม ราคาหมูเป็นหน้าฟาร์ม กก.ละ 60 บาทไม่ได้ทำให้ผู้เลี้ยงรายย่อยได้กำไร แต่จะเป็นการช่วยลดผลกระทบจากการขาดทุน จากต้นทุนการเลี้ยงของรายย่อยที่ กก.ละ 62-63 บาท
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่