กระทู้นี้อาจเป็นเพียงแค่การระบายของคนหนึ่ง
ที่เศร้าใจทุกครั้งที่เห็นข่าวใครถูกฆ่าหรือฆ่าตัวตาย
ไม่ว่าจะฆ่าชิงทรัพย์ ฆ่าข่มขืน หรือแม่ลูกฆ่าตัวตาย
เพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าห้อง ลูกก็เป็นดาวน์ซินโดรม
ดิฉันสัมผัสได้ถึงความเจ็บ ความดิ้นรนของพวกเขา
แม้จะไม่ได้รู้สึกเท่าพวกเขา แต่เพราะมีเหตุการณ์บางอย่างในอดีต
ทำให้เราอินไปกับความรู้สึกเหล่านั้น กลายเป็นความเศร้าทุกครั้ง
ที่ได้อ่านข่าวพวกนี้
ข่าวคราวสองวันนี้ทำให้ดิฉันเกิดความหดหู่
เมื่อรู้ว่าประเทศไทยเรากลับมาใช้โทษประหารอีกครั้ง
อย่าพึ่งตัดสินดิฉัน ดิฉันไม่ได้รักนักโทษ หรือเห็นใจเขามากกว่าเหยื่อ
แต่เพราะดิฉันมีความเชื่อที่ไม่ต้องการเห็นความรุนแรงถูกใช้ในทุกฝ่าย
และจิตใจที่แตกสลายของทั้งสองครอบครัว
ดิฉัน เชื่อมั่นเสมอว่ารัฐมีหน้าที่คุ้มครองชีวิตพวกเราทุกคน
นี่คือ "สิทธิ" ของพวกเราในการมีชีวิตอยู่และไม่ถูกพรากไป
ไม่ว่าคุณจะเป็นอะไรแบบไหน ชีวิต คือสิ่งที่รัฐต้องปกป้อง
แต่ในสังคมย่อมมีคนไม่ดี ที่กระทำการพรากชิวิตผู้อื่นไป
เขาสมควรถูกลงโทษ ถูกกักขัง และถูกบำบัด
แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่ดิฉันจะคิดว่าใครสักคนควรถูกรัฐบังคับให้ตาย
คนทุกคนไม่มีใครเกิดมาอยากเป็นนักฆ่า อยากเป็นนักขโมย
พอๆกับที่คนเราก็รักชีวิตตัวเอง รักทรัพย์สินตัวเอง
แต่ทุกคนเกิดและเติบโตมาในสภาพแวดล้อมแตกต่างกัน
ชีวิตง่ายที่จะถูกนำพาไปตามสภาพแวดล้อมเหล่านั้น
ดิฉันไม่เคยเชื่อว่ามนุษย์เราเข้มแข็งทุกคน
ไม่เคยเชื่อว่ามนุษย์เรามีเหตุผลตลอดเวลา
มนุษย์จึงเต็มไปด้วยข้อผิดพลาด แม้มองด้วยสายตาคนนอกแล้วเราจะไม่เข้าใจว่าทำไปได้ยังไง
มันจึงเกิดคำถามทุกครั้งสำหรับดิฉันว่า
เราฆ่าคนสักคนแล้วมันจะจบลงจริงหรือไม่
แล้วเรายอมให้ฆ่าคนสักคน มันเป็นเรื่องถูกหรือไม่
สำหรับดิฉันแล้ว คำถามที่สำคัญกว่าคือ
ทำไมเขาถึงก่ออาชญากรรม
ทำไมเขาถึงกลายเป็นเหยื่อ
สังคมเรามีส่วนต้องร่วมรับผิดชอบอะไรด้วยหรือไม่
โดยเฉพาะรัฐซึ่งมีหน้าที่ปกป้องชีวิตพวกเราทุกคน
สิ่งที่ทำให้ดิฉันเศร้าที่สุดคือการได้เห็นสังคมสนุกสนานและสะใจ
กับความตายของนักโทษ บ้างก็เรียกเขาว่าสัตว์เดรัจฉาน
ดิฉันหวาดหวั่นกับสังคมที่รุนแรงไปด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล
อย่างที่กล่าวดิฉันไม่เคยเชื่อว่าทุกคนเกิดมาเลวโดยสมบูรณ์
ดิฉันเคยอ่านงานสัมภาษณ์ของคนรู้จักที่เก็บข้อมูลจากนักโทษ
มีตั้งแต่พวกมือปืนอาชีพและฆ่าชิงทรัพย์
พวกมือปืนมักวางแผน แต่ที่เหลือมักมาอย่างไม่มีแผน
ตั้งใจแค่จะปล้น แล้วก็บานปลายไปเป็นการฆาตกรรม
และส่วนใหญ่คนเหล่านี้มาจากกลุ่มสังคมที่ไม่มีฐานที่ดี
ไม่มีสภาพแวดล้อมที่ดี บางคนพ่อแม่ก็สั่งสอนตามปกติ
แต่โตมาก็ถูกทิ้งขว้างจากการศึกษา หันไปทำสิ่งไม่ดีด้วยความเท่ก็มี
บางคนก็แตกต่างกันไป
นี่คือคำถามสำคัญที่มักเกิดกับดิฉันเสมอว่า อะไรทำให้พวกเขาเป็นแบบนั้น
สังคมสะใจ ที่คนพวกนี้ตายไปเสียได้ก็ดี พวกเราจะได้ปลอดภัย
ครอบครัวเหยื่อจะได้รู้สึกยุติธรรม แต่คำถามคือแล้วเราจะแก้ปัญหานี้ในระยะยาวได้จริงหรือ
เราจะลดอาชญากรรมลงให้น้อยได้ที่สุดเพียงแค่นี้หรือ
ดูเหมือนเราจะสะใจกับการตายของนักโทษคนหนึ่ง
แล้วก็ไม่ได้สนใจต่อว่าเราจะค้นหาปัจจัยที่ทำให้ก่อเหตุ
ไม่ได้สนใจว่าต่อระบบรักษาความปลอดภัยมันล้มเหลว
ดูเหมือนเราได้แค่สะใจ แต่ไม่ได้เกิดการป้องกันและแก้ไขอาชญากรรมใดใดเลย
เราเชื่อว่าความรุนแรงนี้จะทำให้คนหวาดกลัว
แต่งานต่างๆมากมายออกมาว่า การประหารไม่ได้ช่วยอะไรเลย
บางคนก็ขาดสติไม่ได้ยั้งคิดไปแล้วด้วยซ้ำ
จริงๆนี่ไม่ใช่เรื่องที่ใหม่ ดิฉันเคยเขียนเหตุผลไว้มากมายหลายครั้งแล้ว
แต่เพียงครั้งนี้เกิดขึ้นในรอบ 9 ปี และกระแสสังคมเต็มไปด้วยความสะใจ
และชมชอบในความรุนแรงนี้
นี่เป็นเพียงแค่การระบายของดิฉันว่า อยากเห็นคนไทยหลายๆคน
ได้ลองมองโลกนี้ออกนอกประเทศไทยบ้าง
มองไปยังโลกที่มีวิธีที่แตกต่างจากเรา วิธีคิดแตกต่างจากเรา
แล้วเขาสามารถสร้างโลกที่ดีกว่าได้
เรามีทั้งตัวอย่างประเทศที่ทำจริง และงานวิจัยจำนวนมาก
ที่ยกเลิกโทษประการ และเปลี่ยนคุกให้เป็นสถานที่เปลี่ยนพฤติกรรมคน
มากกว่าเป็นสถานที่เพื่อลงโทษแต่อย่างเดียว
และพบว่ามันเกิดผลที่ดีขึ้น
ดิฉัน ไม่สนับสนุนโทษประหาร
เพราะ รัฐมีหน้าที่รักษาชีวิตทุกคน รัฐจึงไม่มีหน้าที่พรากชีวิตคนในประเทศ
เพราะ ศีลธรรมที่เราใช้สนับสนุนโทษประหาร ก็คือศีลธรรมเดียวกับที่เราอนุญาตให้รัฐ
ฆ่าใครก็ได้ที่เราเห็นว่ามันสมควร ในสเกลที่ใหญ่ขึ้นก็คือการสังหารหมู่คนเห็นต่าง
ในเวลาต่างๆที่คนส่วนใหญ่เห็นว่าคนกลุ่มนี้สมควรตาย ก็หยิบยื่นความชอบธรรมนีให้แก่รัฐ
ไม่ว่าจะเป็นฆ่าคอมมิวนิสต์ หรือนักโทษ ล้วนมีศีลธรรมแบบเดียวกัน
เพราะ สังคมจะเสพติดความรุนแรงในการแก้ปัญหา
เพราะ ระบบยุติธรรมไม่เคยสมบูรณ์ มีโอกาสประหารผู้บริสุทธิ์ได้ทุกเมื่อ
ซึ่งในอดีตก็มีตัวอย่างมาแล้วหลายกรณี
เพราะ สังคมมีความเหลื่อมล้ำ คนไม่มีต้นทุนจำนวนมากไม่สามารถสู้คดีได้
ในขณะที่คนมีต้นทุน สามารถจ้างทนายดีว่าความลดหนักเป็นเบา
หรือใช้เส้นสายที่มี เรายังพูดกันอยู่เลยว่าคุกมีไว้ขังคนจน
แล้วคนที่โดนประหารก็คงไม่พ้นคนเหล่านั้น
เพราะ มีตัวอย่างประเทศและงานวิจัยมากมายว่าเรามีทางที่ดีกว่า
คนทำผิดล้วนที่มาที่ไป ไม่ว่าจะมาจากความล้มเหลวทางการศึกษา
ความล้มเหลวทางเศรษฐกิจ ความล้มเหลวของสภาพแวดล้อม
ซึ่งตรงนี้เรา ไม่มีใครเกิดมาพร้อมมือถือมีด
แต่ดิฉันอยากให้เราลดความรุนแรง ลดอารมณ์และใช้เหตุผลกันมากขึ้น
ว่านอกจากการลงโทษที่เหมาะสมแล้ว
รัฐต้องแก้ไขความล้มเหลวต่างๆ รวมถึงระบบรักษาความปลอดภัยในที่สาธารณะ
ดิฉันยืนยันว่ารัฐมีส่วนต้องรับผิดชอบกับอาชญากรรมที่เกิดขึ้น
ด้วยการแก้ไขโครงสร้างทางสังคมและระบบรักษาความปลอดภัย
เยียวยาเหยื่อให้ดีที่ควรทำได้
คุก เราควรเปลี่ยนสภาพคุกให้เป็นที่สำหรับมนุษย์เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
ใครที่มีอาการทางจิตก็ควรนำไปบำบัด
การลดหย่อนโทษก็ทำให้ยากขึ้น
อย่างกรณีในนอร์เวย์ นักโทษสังหารหมู่ถูกลงโทษขัง(ถ้าจำไม่ผิด) 21 ปี
คนนอร์เวย์ส่วนใหญ่ก็ยังเห็นว่าไม่ควรประหาร
ไม่ใช่เพราะเราเห็นใจนักโทษ
แต่ความสำคัญคือ เราไม่ต้องการให้รัฐมีอำนาจพรากชีวิตใคร
ไม่ต้องการใช้กฎหมายแบบฮัมมูราบีตาต่อตา เป็นการแก้ไข
การลงโทษเป็นตัวสะท้อนความนึกคิดของคนในสังคม
ว่าเลือกสมาทานรูปแบบใด และความรุนแรงเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ดิฉันอยากเห็น
เหยื่อ ที่คนชอบอ้างว่าพวกเราไม่เห็นใจเขาหรือ
ทำไมเราจะไม่เห็นใจ ดิฉันพูดเสมอว่ารัฐต้องเป็นตัวกลางเยียวยาก่อนใคร
และต้องทำให้เต็มที่ที่เขาควรจะได้ ครอบครัวเขาต้องได้รับการดูแล
ส่วนรัฐจะไปไล่เบี้ยกับผู้ต้องหาหรือไม่ ก็อีกเรื่องหนึ่ง
และรัฐต้องพัฒนาเพื่อลดลงอาชญากรรม สร้างระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีขึ้น
กระบวนการยุติธรรมต้องรวดเร็ว โปร่งใส ลงโทษจริง
แต่ไม่ใช่การประหาร อย่างน้อยติดคุกตลอดชีวิต
หรือระยะเวลายาวนาน
คนในคุกไม่ได้สบายอย่างที่หลายคนคิด
บางประเทศแม้คุกจะสภาพดี ปฏิบัติต่อเขาเหมือนมนุษย์
แต่มักจับแยกให้โดดเดี่ยว และการใช้หลักจิตวิทยา
การบำบัดต่างๆมากมา
หรือคุกในไทยยิ่งสภาพย่ำแย่ ไม่ว่าจะโทษเล็กโทษน้อย
คุกไทยสภาพแย่มากๆ หรือคุกในแดนประหาร
ที่จะมีสัญญาณพาตัวคนไปประหารทุกวัน
มีชีวิตหวาดหวั่นไปทุกวันเมื่อได้ยินสัญญาณ
ดิฉันเชื่อว่าหลายคนจะวิพากษ์วิจารณ์ดิฉันกลับ
ดิฉันจะยอมรับ กระแสสังคมส่วนใหญ่ยังชมชอบแบบนี้
แค่ก็อยากให้เพื่อนๆหลายคนที่เห็นด้วยกับดิฉัน
และมีความรู้สึกเดียว ให้รู้กันค่ะว่ายังมีคนเห็นด้วย
สังคมไม่ได้เปลี่ยนง่าย แต่ดิฉันว่าวันข้างหน้าเราจะเปลี่ยนได้
ว่าเราจะไม่สมาทานหนทางรุนแรงเพื่อแก้ไขปัญหา
แต่เราจะเยียวยาทุกคน แก้ไขระดับโครงสร้าง
เพื่อลดปัญหาลง
ปล.จริงๆดิฉันตั้งใจจะเขียนเมื่อวาน แต่มันหดหู่เกินกว่าจะมาตั้งกระทู้
กระแสสังคมที่กำลังสะใจทำให้ดิฉันหวาดหวั่นสังคมนี้ยิ่งกว่าเดิม
เศร้า เมื่อวันที่สังคมไทยยังนิยมความรุนแรงอยู่
ที่เศร้าใจทุกครั้งที่เห็นข่าวใครถูกฆ่าหรือฆ่าตัวตาย
ไม่ว่าจะฆ่าชิงทรัพย์ ฆ่าข่มขืน หรือแม่ลูกฆ่าตัวตาย
เพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าห้อง ลูกก็เป็นดาวน์ซินโดรม
ดิฉันสัมผัสได้ถึงความเจ็บ ความดิ้นรนของพวกเขา
แม้จะไม่ได้รู้สึกเท่าพวกเขา แต่เพราะมีเหตุการณ์บางอย่างในอดีต
ทำให้เราอินไปกับความรู้สึกเหล่านั้น กลายเป็นความเศร้าทุกครั้ง
ที่ได้อ่านข่าวพวกนี้
ข่าวคราวสองวันนี้ทำให้ดิฉันเกิดความหดหู่
เมื่อรู้ว่าประเทศไทยเรากลับมาใช้โทษประหารอีกครั้ง
อย่าพึ่งตัดสินดิฉัน ดิฉันไม่ได้รักนักโทษ หรือเห็นใจเขามากกว่าเหยื่อ
แต่เพราะดิฉันมีความเชื่อที่ไม่ต้องการเห็นความรุนแรงถูกใช้ในทุกฝ่าย
และจิตใจที่แตกสลายของทั้งสองครอบครัว
ดิฉัน เชื่อมั่นเสมอว่ารัฐมีหน้าที่คุ้มครองชีวิตพวกเราทุกคน
นี่คือ "สิทธิ" ของพวกเราในการมีชีวิตอยู่และไม่ถูกพรากไป
ไม่ว่าคุณจะเป็นอะไรแบบไหน ชีวิต คือสิ่งที่รัฐต้องปกป้อง
แต่ในสังคมย่อมมีคนไม่ดี ที่กระทำการพรากชิวิตผู้อื่นไป
เขาสมควรถูกลงโทษ ถูกกักขัง และถูกบำบัด
แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่ดิฉันจะคิดว่าใครสักคนควรถูกรัฐบังคับให้ตาย
คนทุกคนไม่มีใครเกิดมาอยากเป็นนักฆ่า อยากเป็นนักขโมย
พอๆกับที่คนเราก็รักชีวิตตัวเอง รักทรัพย์สินตัวเอง
แต่ทุกคนเกิดและเติบโตมาในสภาพแวดล้อมแตกต่างกัน
ชีวิตง่ายที่จะถูกนำพาไปตามสภาพแวดล้อมเหล่านั้น
ดิฉันไม่เคยเชื่อว่ามนุษย์เราเข้มแข็งทุกคน
ไม่เคยเชื่อว่ามนุษย์เรามีเหตุผลตลอดเวลา
มนุษย์จึงเต็มไปด้วยข้อผิดพลาด แม้มองด้วยสายตาคนนอกแล้วเราจะไม่เข้าใจว่าทำไปได้ยังไง
มันจึงเกิดคำถามทุกครั้งสำหรับดิฉันว่า
เราฆ่าคนสักคนแล้วมันจะจบลงจริงหรือไม่
แล้วเรายอมให้ฆ่าคนสักคน มันเป็นเรื่องถูกหรือไม่
สำหรับดิฉันแล้ว คำถามที่สำคัญกว่าคือ
ทำไมเขาถึงก่ออาชญากรรม
ทำไมเขาถึงกลายเป็นเหยื่อ
สังคมเรามีส่วนต้องร่วมรับผิดชอบอะไรด้วยหรือไม่
โดยเฉพาะรัฐซึ่งมีหน้าที่ปกป้องชีวิตพวกเราทุกคน
สิ่งที่ทำให้ดิฉันเศร้าที่สุดคือการได้เห็นสังคมสนุกสนานและสะใจ
กับความตายของนักโทษ บ้างก็เรียกเขาว่าสัตว์เดรัจฉาน
ดิฉันหวาดหวั่นกับสังคมที่รุนแรงไปด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล
อย่างที่กล่าวดิฉันไม่เคยเชื่อว่าทุกคนเกิดมาเลวโดยสมบูรณ์
ดิฉันเคยอ่านงานสัมภาษณ์ของคนรู้จักที่เก็บข้อมูลจากนักโทษ
มีตั้งแต่พวกมือปืนอาชีพและฆ่าชิงทรัพย์
พวกมือปืนมักวางแผน แต่ที่เหลือมักมาอย่างไม่มีแผน
ตั้งใจแค่จะปล้น แล้วก็บานปลายไปเป็นการฆาตกรรม
และส่วนใหญ่คนเหล่านี้มาจากกลุ่มสังคมที่ไม่มีฐานที่ดี
ไม่มีสภาพแวดล้อมที่ดี บางคนพ่อแม่ก็สั่งสอนตามปกติ
แต่โตมาก็ถูกทิ้งขว้างจากการศึกษา หันไปทำสิ่งไม่ดีด้วยความเท่ก็มี
บางคนก็แตกต่างกันไป
นี่คือคำถามสำคัญที่มักเกิดกับดิฉันเสมอว่า อะไรทำให้พวกเขาเป็นแบบนั้น
สังคมสะใจ ที่คนพวกนี้ตายไปเสียได้ก็ดี พวกเราจะได้ปลอดภัย
ครอบครัวเหยื่อจะได้รู้สึกยุติธรรม แต่คำถามคือแล้วเราจะแก้ปัญหานี้ในระยะยาวได้จริงหรือ
เราจะลดอาชญากรรมลงให้น้อยได้ที่สุดเพียงแค่นี้หรือ
ดูเหมือนเราจะสะใจกับการตายของนักโทษคนหนึ่ง
แล้วก็ไม่ได้สนใจต่อว่าเราจะค้นหาปัจจัยที่ทำให้ก่อเหตุ
ไม่ได้สนใจว่าต่อระบบรักษาความปลอดภัยมันล้มเหลว
ดูเหมือนเราได้แค่สะใจ แต่ไม่ได้เกิดการป้องกันและแก้ไขอาชญากรรมใดใดเลย
เราเชื่อว่าความรุนแรงนี้จะทำให้คนหวาดกลัว
แต่งานต่างๆมากมายออกมาว่า การประหารไม่ได้ช่วยอะไรเลย
บางคนก็ขาดสติไม่ได้ยั้งคิดไปแล้วด้วยซ้ำ
จริงๆนี่ไม่ใช่เรื่องที่ใหม่ ดิฉันเคยเขียนเหตุผลไว้มากมายหลายครั้งแล้ว
แต่เพียงครั้งนี้เกิดขึ้นในรอบ 9 ปี และกระแสสังคมเต็มไปด้วยความสะใจ
และชมชอบในความรุนแรงนี้
นี่เป็นเพียงแค่การระบายของดิฉันว่า อยากเห็นคนไทยหลายๆคน
ได้ลองมองโลกนี้ออกนอกประเทศไทยบ้าง
มองไปยังโลกที่มีวิธีที่แตกต่างจากเรา วิธีคิดแตกต่างจากเรา
แล้วเขาสามารถสร้างโลกที่ดีกว่าได้
เรามีทั้งตัวอย่างประเทศที่ทำจริง และงานวิจัยจำนวนมาก
ที่ยกเลิกโทษประการ และเปลี่ยนคุกให้เป็นสถานที่เปลี่ยนพฤติกรรมคน
มากกว่าเป็นสถานที่เพื่อลงโทษแต่อย่างเดียว
และพบว่ามันเกิดผลที่ดีขึ้น
ดิฉัน ไม่สนับสนุนโทษประหาร
เพราะ รัฐมีหน้าที่รักษาชีวิตทุกคน รัฐจึงไม่มีหน้าที่พรากชีวิตคนในประเทศ
เพราะ ศีลธรรมที่เราใช้สนับสนุนโทษประหาร ก็คือศีลธรรมเดียวกับที่เราอนุญาตให้รัฐ
ฆ่าใครก็ได้ที่เราเห็นว่ามันสมควร ในสเกลที่ใหญ่ขึ้นก็คือการสังหารหมู่คนเห็นต่าง
ในเวลาต่างๆที่คนส่วนใหญ่เห็นว่าคนกลุ่มนี้สมควรตาย ก็หยิบยื่นความชอบธรรมนีให้แก่รัฐ
ไม่ว่าจะเป็นฆ่าคอมมิวนิสต์ หรือนักโทษ ล้วนมีศีลธรรมแบบเดียวกัน
เพราะ สังคมจะเสพติดความรุนแรงในการแก้ปัญหา
เพราะ ระบบยุติธรรมไม่เคยสมบูรณ์ มีโอกาสประหารผู้บริสุทธิ์ได้ทุกเมื่อ
ซึ่งในอดีตก็มีตัวอย่างมาแล้วหลายกรณี
เพราะ สังคมมีความเหลื่อมล้ำ คนไม่มีต้นทุนจำนวนมากไม่สามารถสู้คดีได้
ในขณะที่คนมีต้นทุน สามารถจ้างทนายดีว่าความลดหนักเป็นเบา
หรือใช้เส้นสายที่มี เรายังพูดกันอยู่เลยว่าคุกมีไว้ขังคนจน
แล้วคนที่โดนประหารก็คงไม่พ้นคนเหล่านั้น
เพราะ มีตัวอย่างประเทศและงานวิจัยมากมายว่าเรามีทางที่ดีกว่า
คนทำผิดล้วนที่มาที่ไป ไม่ว่าจะมาจากความล้มเหลวทางการศึกษา
ความล้มเหลวทางเศรษฐกิจ ความล้มเหลวของสภาพแวดล้อม
ซึ่งตรงนี้เรา ไม่มีใครเกิดมาพร้อมมือถือมีด
แต่ดิฉันอยากให้เราลดความรุนแรง ลดอารมณ์และใช้เหตุผลกันมากขึ้น
ว่านอกจากการลงโทษที่เหมาะสมแล้ว
รัฐต้องแก้ไขความล้มเหลวต่างๆ รวมถึงระบบรักษาความปลอดภัยในที่สาธารณะ
ดิฉันยืนยันว่ารัฐมีส่วนต้องรับผิดชอบกับอาชญากรรมที่เกิดขึ้น
ด้วยการแก้ไขโครงสร้างทางสังคมและระบบรักษาความปลอดภัย
เยียวยาเหยื่อให้ดีที่ควรทำได้
คุก เราควรเปลี่ยนสภาพคุกให้เป็นที่สำหรับมนุษย์เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
ใครที่มีอาการทางจิตก็ควรนำไปบำบัด
การลดหย่อนโทษก็ทำให้ยากขึ้น
อย่างกรณีในนอร์เวย์ นักโทษสังหารหมู่ถูกลงโทษขัง(ถ้าจำไม่ผิด) 21 ปี
คนนอร์เวย์ส่วนใหญ่ก็ยังเห็นว่าไม่ควรประหาร
ไม่ใช่เพราะเราเห็นใจนักโทษ
แต่ความสำคัญคือ เราไม่ต้องการให้รัฐมีอำนาจพรากชีวิตใคร
ไม่ต้องการใช้กฎหมายแบบฮัมมูราบีตาต่อตา เป็นการแก้ไข
การลงโทษเป็นตัวสะท้อนความนึกคิดของคนในสังคม
ว่าเลือกสมาทานรูปแบบใด และความรุนแรงเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ดิฉันอยากเห็น
เหยื่อ ที่คนชอบอ้างว่าพวกเราไม่เห็นใจเขาหรือ
ทำไมเราจะไม่เห็นใจ ดิฉันพูดเสมอว่ารัฐต้องเป็นตัวกลางเยียวยาก่อนใคร
และต้องทำให้เต็มที่ที่เขาควรจะได้ ครอบครัวเขาต้องได้รับการดูแล
ส่วนรัฐจะไปไล่เบี้ยกับผู้ต้องหาหรือไม่ ก็อีกเรื่องหนึ่ง
และรัฐต้องพัฒนาเพื่อลดลงอาชญากรรม สร้างระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีขึ้น
กระบวนการยุติธรรมต้องรวดเร็ว โปร่งใส ลงโทษจริง
แต่ไม่ใช่การประหาร อย่างน้อยติดคุกตลอดชีวิต
หรือระยะเวลายาวนาน
คนในคุกไม่ได้สบายอย่างที่หลายคนคิด
บางประเทศแม้คุกจะสภาพดี ปฏิบัติต่อเขาเหมือนมนุษย์
แต่มักจับแยกให้โดดเดี่ยว และการใช้หลักจิตวิทยา
การบำบัดต่างๆมากมา
หรือคุกในไทยยิ่งสภาพย่ำแย่ ไม่ว่าจะโทษเล็กโทษน้อย
คุกไทยสภาพแย่มากๆ หรือคุกในแดนประหาร
ที่จะมีสัญญาณพาตัวคนไปประหารทุกวัน
มีชีวิตหวาดหวั่นไปทุกวันเมื่อได้ยินสัญญาณ
ดิฉันเชื่อว่าหลายคนจะวิพากษ์วิจารณ์ดิฉันกลับ
ดิฉันจะยอมรับ กระแสสังคมส่วนใหญ่ยังชมชอบแบบนี้
แค่ก็อยากให้เพื่อนๆหลายคนที่เห็นด้วยกับดิฉัน
และมีความรู้สึกเดียว ให้รู้กันค่ะว่ายังมีคนเห็นด้วย
สังคมไม่ได้เปลี่ยนง่าย แต่ดิฉันว่าวันข้างหน้าเราจะเปลี่ยนได้
ว่าเราจะไม่สมาทานหนทางรุนแรงเพื่อแก้ไขปัญหา
แต่เราจะเยียวยาทุกคน แก้ไขระดับโครงสร้าง
เพื่อลดปัญหาลง
ปล.จริงๆดิฉันตั้งใจจะเขียนเมื่อวาน แต่มันหดหู่เกินกว่าจะมาตั้งกระทู้
กระแสสังคมที่กำลังสะใจทำให้ดิฉันหวาดหวั่นสังคมนี้ยิ่งกว่าเดิม