ประเทศไทยกับโทษประหาร และพรรณาโวหารในสื่อ Social Media

ปัจจุบัน ในโลกแบ่งกลุ่มประเทศเรื่องการบังคับใช้โทษประหารเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มแรกคือพวกเรา กลุ่มที่ยังบังคับใช้โทษประหารอยู่แบบ active มีประมาณ 54 ชาติ รวมถึง สหรัฐอเมริกา, อินเดีย, ญี่ปุ่น, จีน, รัสเซีย และก็เรา ไทย

กลุ่ม abolitionist-in-practice หรือกลุ่มที่ยังมีโทษประหารอยู่ตามกฎหมายแต่ไม่ได้มีการบังคับใช้งาน แบ่งย่อยเป็น 2 กลุ่มคือ ไม่มีการประหารมาในรอบ 10 ปีหลังสุด และ 14 ปีหลังสุด พวกนี้รวมกันได้ 36 ชาติ

และกลุ่มสุดท้าย คือกลุ่มประเทศที่ยกเลิกโทษประหารไปเลยโดยสิ้นเชิง มี 105 ชาติ

จริงๆ ก็เป็นประเด็นโลกแตกอันนึงก็ว่าได้ แนวคิดในการปฏิบัติต่อคนที่ทำผิดกฎหมายนั้นแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ บางประเทศใช้แนวคิด “ลงโทษ เป็นตัวอย่าง ให้หลาบจำและหวาดกลัว” บางประเทศใช้ความพยายามในการปรับเปลี่ยนคนๆ นั้นให้กลับมาเป็นสมาชิกในสังคมได้ต่อไป
ที่ฮือฮามาตลอดก็คือ correctional system / penalty system หรือระบบการลงโทษ (จุดสังเกต – Correct แปลว่า “แก้ไขจากผิดให้เป็นถูก) ของประเทศในกลุ่ม Scandinavians ที่ใครท่องเน็ตโดยเฉพาะเว็บบอร์ด/ไซท์ต่างประเทศ น่าจะเคยผ่านตากับเรือนจำและบรรยากาศที่ไม่เหมือนเรือนจำเอาเสียเลย แต่เหมือนกับมหาวิทยาลัย เรียกว่า open prisons (ซึ่งต้องบอกก่อนว่าไม่ได้มีทั้งหมดนะ เรือนจำปิดก็ยังมี แต่มาตรฐานการ “ดูแล” นักโทษก็ยังดีมากๆ)

สิ่งแรกก่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่โพสต์แบบของอีเจี๊ยบและหลายๆ สื่อเป็น เราเรียกกันว่า Sensationalize(d) crime ซึ่งเราไม่ขอเขียนอะไรมาก เอาภาษาอังกฤษไปแล้วกัน “present information about (something) in a way that provokes public interest and excitement, at the expense of accuracy”
Sensationalize crime หรือการเผยแพร่ บอกเล่า อธิบายขยายความโดยเน้นที่อารมณ์ของผู้ฟัง (public / ประชาชน) เพื่อกระตุ้น ยั่วยุ ให้คนอ่านคนฟังมี “อารมณ์” ร่วม มากกว่าใช้วิจารณญาณแท้ๆ จริงๆ จุดสังเกตคือ การใช้ “พรรณนาโวหาร” บ่อยๆ (เช่น เด็กหญิงวัยเพียง 8 ขวบผู้ไร้ทางสู้ถูกกระทำอย่างไร้ความปราณีในซอกเปลี่ยวอันมืดมิด ฯลฯ) ของแบบนี้ไม่มี หรือไม่ค่อยมีใน Scandinavians แต่ไม่ต้องเสียใจไป เพราะ “ชื่อเสีย” ของแท็คติคพวกนี้ของสื่อมีกันทั้งโลก สื่ออเมริกัน ตะวันตก เอเชีย ไทย ก็เน้นขยี้อารมณ์เป็นหลัก

เมื่ออารมณ์มา หากมากเกินไป เราก็จะได้เห็นแบบคลิปที่แอฟริการมี “public executions” หรือการฆ่าโดยม็อบกลางแจ้งกันเนืองๆ เป็นเรื่องปกติ คนถูกฆ่าอาจถูก “กล่าวหา” ว่าเป็นแม่มด คบชู้ ข่มขืน ปล้นฆ่า หรือ เป็นรักร่วมเพศ ซึ่งโทษก็คล้ายๆ กันหมดคือ ซ้อม ทุบที และเผาทั้งเป็น เยอะแยะ ใครชอบแนวซาดิสต์ไปหาดดูได้พวก bestgore, deathaddict, theync อะไรพวกนี้

ของไทยเราไม่ถึงขนาดนั้นหรอก มีแค่ social media justice หรือในหลายๆ ประเด็นก็ biased / swayed judgment หรือการตัดสินใจที่เบี่ยงเบน หันเห และใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลจริงๆ

นักโทษใน Scandinavia นั้นไม่มีชุดนักโทษ แต่งตัวตามปกติ อ้อ นี่รวมถึงนักโทษคดีฆาตกรรมด้วยครับ  ใช่ พวกคนที่ขับรถชนคนตาย (sensationalized version: ชายหนุ่มอนาคตไกลผู้เป็นเสาหลักของครอบครัวดับสยองเพราะความชั่วของคนขับที่ประมาทเลินเล่อ ฯลฯ) พวกที่ฆ่ากันตายตามท้องถนนและสถานที่ต่างๆ ไม่ต้องใส่ชุดนักโทษ มียิม ทีวี สันทนาการ ฯลฯ ให้เหมือน “คนปกติ” เพราะนั่นคือไอเดียของเค้า
ผู้คุมเรือนจำใน Scandinavia มี 2 บทบาท คือ rehabilitative role กับ security role คือเป็นทั้ง ผู้รักษาความสงบเรียบร้อย และเป็น “ผู้บำบัด” ไปด้วย

อ้อ Anders Breivik ฆ่าคน 77 คน

ผมเว้นให้มันซึมลงไปนิดนึงก่อนนะ ฆ่าคน 77 คน

หมอนี่โดนโทษจำคุก 21 ปี จากการฆ่าคน 77 คน และพีน้องครับ ผมละอยากให้เห็นสภาพ “ห้องพัก” (ไม่ใช่ห้องขัง) ของหมอนี่จริงๆ อ่ะ แปะลิ้งค์ให้เลยดีกว่า ของ BBC https://www.bbc.com/news/magazine-35813470

นั่นล่ะครับ ความศรัทธาและความเชื่อมันในระบบ Correctional system ของพวกเค้า นั่นคือที่ Norway อย่างที่บอก แม้แต่อเมริกาเองก็มึนและทึ่งเหมือนพวกเรา เราไม่ได้แปลกหรือโหดเหี้ยมอะไรมากหรอก แต่ของ Scandinavian เค้า advanced จริงอะไรจริง

ที่ยกเรื่อง Anders Breivik อันโด่งดังมา เพราะรู้ว่าต้องมีคนบอกว่า เอ้ย บ้านเค้ามีแต่คนดีๆ เจริญแล้ว จะมาเจอคนกากๆ แบบบ้านเราได้ยังไง ฯลฯ ก็ดูเอาเองละกันครับ ฆาตกร ในประเทศพัฒนาแล้ว ไม่ต้องอาศัยการใช้พรรณนาโวหารของสื่อหรือเพจเฟซบุ๊คให้ดูน่ากลัวเลย เพราะแค่เล่าสิ่งที่ทำแบบธรรมดาๆ ก็โคตรโหดแล้ว อย่าง school shootings ในอเมริกาเช่นกัน

ก็สรุปเป็นว่า พวกเค้าศรัทธาในการปรับปรุงแก้ไขคนที่ไม่ว่าในสายตาพับลิคแล้วจะดูชั่วช้าสามานย์แค่ไหน ให้กลับมาเป็นสมาชิกปกติในสังคมให้ได้ นั่นล่ะครับ

ไม่ต้องกลัวว่าจะมองว่าลิเบอรัลหรือขวาจัด ฯลฯ ไร้สาระ ไม่ได้เกี่ยวกันแต่คนชอบเอาไปโยงไปเองนะ

ถ้าอยากอยู่สบาย มีคนเห็นด้วยและกดไลค์เยอะแยะให้ชื่นใจ ก็แค่กวาดสายตามองว่าคนส่วนใหญ่ไหลไปทางไหน แต่เราอยากจะคิดเสมอว่า right is right even if no one’s doing, wrong is wrong even if everyone is doing it

ในเรื่องนี้ เราไม่กล้าฟันธงนะว่าการไม่ใช้โทษประหารเลยมันจะถูกต้อง ยอดเยี่ยม แต่ทิศทางมันก็น่าจะเป็นไปในทางนั้น และที่สำคัญคือถึงปากบอกว่าให้เป็นไปตามกระบวนการ แต่การบอกเล่าแบบเน้นบี้ขยี้อารมณ์โศกเศร้า น่ากลัว ผิดหวัง ฯลฯ มันตรงกันข้าม และไปกระตุ้น social media justice เสียมากกว่า

ยังไม่นับการแขวะนักสิทธิฯที่ถ้าเค้าทำหน้าที่ของเค้าจริงๆ ก็เหมือนหมออ่ะ หมอไม่สามารถพูดได้ว่า เอ้ย เอ็งพวกม็อบ ชั้นไม่รักษาแกโว้ย แกมันโง่ นักสิทธิฯเอง เค้าทำหน้าที่เรียกร้องสิทธิของ human ของมนุษย์ในภาพรวม แม้ในระดับย่อย ระดับส่วนตัว ไอ้คนๆ นั้นมันอาจจะเพิ่งฆ่าแม่นักสิทธิฯคนนั้นเองด้วย

แต่หน้าที่ การงาน กับอารมณ์ มันต้องแยกแยะกันให้ออก

ปิดท้ายที่ว่า เรื่องใช้ไม่ใช้โทษประหารในบ้านเรายังไม่เป็นประเด็นที่ใหญ่ หากเทียบกับสภาพความเป็นอยู่ของนักโทษในเรือนจำต่างๆ ทั่วประเทศที่แออัดและล้นกว่าคอกหมู ใส่ชุดนักโทษยังโอเค แต่การตีตรวนล่ามโซ่เหมือนคนยุคหิน มันเป็นอะไรที่ค่อนข้าง แย่ ในยุคสมัยนี้

เพราะแนวคิด “พวกมัน” vs “พวกเรา” ทำให้ “พวกเราทั้งหมด” ไม่มีอยู่จริง และในที่สุด “พวกมัน” ก็ค่อยๆ มีจริงมากขึ้น มากขึ้น อัตรานักโทษพ้นโทษที่ทำผิดซ้ำ ที่ Scandinavia น้อยที่สุดในโลก ส่วนของไทย คุกน่าจะเป็นโรงเรียนและจุดนัดพบเพื่อสร้างความเป็น “พวกมัน” ให้ยิ่งเข้มแข็งและเลวร้ายขึ้น เสียมากกว่า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่