11/4/2018
ต่อจากกระทู้ที่แล้ว เรากำลังเดินทางไปยังสถานีรถไฟ Agra Fort เพื่อจะมุ่งหน้าไปสู่ Jodphur เมืองแห่งสีฟ้าที่รอคอย เราจองรถไฟขบวนไว้กะนอนยาวๆไปถึงเช้าตื่นมาแล้วเที่ยวเลย ตามตารางด้านล่างนี้ แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นทำให้เราไปไม่ถึง Jodphur
เรื่องมันมีอยู่ว่า
เราออกจากโรงแรมประมาณ 1 ทุ่มตรง ระหว่างทางต้องผ่าน KFC ขอคุณลุงแวะตุนเสบียงสักหน่อยเพื่อไปกินบนรถไฟ ตอนลงไปซื้อจู่ๆก็มีฝนตกลงมาเบาๆ พอซื้อเสร็จแล้วเดินกลับออกมาเท่านั้นแหละ ลมและฝนมาจากไหนไม่รู้ มาแบบกระหึ่มไปเลยพี่ เรารีบขึ้นรถแล้วคุณลุงก็ขับลุยฝนมุ่งหน้าต่อ ขับไปได้ไม่นาน ฝนและลมเริ่มแรงขึ้นอีกๆ ฝนสาดเข้ามาในรถมากขึ้นๆ คุณลุงให้เอาผ้าใบลงมาคลุมร แต่มันก็แรงขึ้นทุกที จนผ้าใบเอาไม่อยู่ ตัวเราและ KFC เปียกไปหมด
ยังดีที่กระเป๋าเป้ของเรา 2 คนเป็นแบบกันน้ำและใบใหญ่พอที่จะบังตัวเราไว้ได้ ก็ลดแรงประทะฝนและความเปียกไปได้หน่อย แต่ตอนนั้นเปียกก็ไม่สนแล้ว เรากังวลอยู่อย่างเดียวคือต้องไปให้ทันรถไฟเที่ยว 20:10 คุณลุงก็พยายามขับไปอย่างช้าๆท่ามกลางพายุ แต่สุดท้ายลุงก็ขอจอดสักแป๊ป เพราะลมมันแรงจริง (นึกอยู่ว่ารถจะปลิวไหมเนี่ย) ตอนนั้นเราก็คิดว่าจอดดีกว่า เรื่องรถไฟไว้ก่อนเพราะฝนและลมมันแรงมาก เอาความปลอดภัยไว้ก่อน
(ภาพตลอดการเจอพายุนั้น Capture ภาพ มาจากคลิปวีดีโออีกที เราไม่ได้เก็บภาพนิ่งไว้เลย ขออภัยในคุณภาพ ด้วย )
ตลอดทางมีแต่ ต้นไม้ ป้ายโฆษณา ล้มไม่เป็นท่าอยู่บนถนน เราเริ่มคิดหนักแล้วทั้งความปลอดภัยทั้งเรื่องรถไฟ แต่พอผ่านไปสัก 10 นาที ท่าทีของฝนเริ่มอ่อนลง ลุงเลยตัดสินใจขับต่อไป แต่ขับไปได้ไม่เกิน 3 นาที ลุงก็ต้องจอดอีกครั้ง เพราะพายุมันกระหน่ำลงมาอีกแล้ว ในใจตอนนั้นหน้าพ่อหน้าแม่และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายลอยขึ้นมาแล้ว นึกถึงว่าประกันเดินทางที่ทำไว้สงสัยจะได้ใช้แน่ๆ
ต่อจากนั้นอีกแป๊ปเดียว อยู่ๆคุณลุงกลับรถกะทันหัน มาจอดหน้าคลินิกเล็กๆ เราเห็นมีคนหลบฝนอยู่ในคลีนิคนั้นซัก 10 กว่าคนได้ เราขอลุงลงไป แต่ลุงบอกไม่ปลอดภัย อยู่ดีๆก็มีเด็กวิ่งตากฝนมาหาลุงแล้วตะโกนอะไรกันก็ไม่รู้ลุงทำท่าตกใจ แต่คาดการณ์ว่า ให้ลุงช่วยถอยรถหน่อยข้างหน้ามีสิ่งกีดขวาง ไปไม่ได้ อะไรทำนองนี้
ทันใดนั้น คุณลุงก็กลับคำบอกให้เราลงไปในคลินิกซะ เราลงไปยกมือไหว้ทุกคนว่าขอร้องนะ ขออยู่ด้วยนะ Please เราเปียกไปหมด และเราก็แต่งตัวแปลกประหลาดกว่าเค้า แว๊ปแรกทุกคนคงงงและสงสัย ว่าอีนี่มาจากไหน? แต่คนอินเดียที่อยู่ในคลินิกนั้นทุกคน เข้าใจเราเป็นอย่างดีว่าเรากลัวมาก เค้าจัดแจงหาที่นั่งให้เราอย่างดี แล้วอีกแป๊ปลุงก็ลงไปประเมินสถานการณ์ แล้วเดินกลับเข้ามาบอกเราว่า “ We are so Lucky Very Very Lucky “ เพราะหลังเรากลับรถเพียงเสี้ยวนาที มีต้นโพธิ์ใหญ่ล้มลงมาขวางเต็ม 2 เลนถนน คือเราช็อกมาก แบบเห้ย ถ้าเราจอดอยู่ตรงนั้น ถ้าลุงไม่กลับรถ คือเราคงตายไปแล้วมั้ง เรารู้สึกโชคดีมากจริงๆ
เรานั่งอยู่ในนั้นสักแป๊ป จู่ๆก็มีน้ำไหลลงมาจากบันไดกลางคลินิก เราก็เห้ย! นี่มันอะไร ท่อแตก หลังคารั่ว หรือน้ำท่วมจนทะลัก แต่คนในนั้นก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ปล่อยน้ำไหลไป คงเป็นเรื่องปกติของเค้าหละมั้ง พอตั้งสติได้ดีแล้วเลยชะโงกหน้าออกไปดูข้างนอกพบแต่กับความเสียหาย แล้วคุณลุงก็บอกว่าไม่ต้องห่วงนะยังไงวันนี้รถไฟดีเลย์แน่นอน แล้วคุณลุงก็โทรเช็คกับเพื่อนให้ สรุป ดีเลย์จริงๆ 3 ชั่วโมง เราก็ค่อยโล่งใจ
สักพักพายุเริ่มสงบลง คุณลุงกับเราเริ่มเดินทางกันต่อ ระหว่างทางที่ไปนั้นเราเห็นแต่ความพังทลาย
รถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ล้มเรียงกันเป็นโดมิโน่ เสาไฟฟ้าล้ม ป้ายโฆษณาใหญ่ๆ ป้ายโรงแรมที่ดูแข็งแรงๆ มัน ขาด หัก ไม่เป็นชิ้นดี ราวเหล็กริมถนนยังล้ม กระจกหลังรถหลายๆคันแตกละเอียด เราตกใจมาก นี่มันอะไรกันนี่!!
ลุงพยายามพาเราไปสถานีรถไฟ ทางแรกไปไม่ได้ ทางที่2ไปไม่ได้ ทางที่3 ไปไม่ได้ คือทุกทางถูกปิดด้วยผลกระทบจากพายุทั้งนั้น ลุงเลยบอกให้ไปนั่งรอในร้านกาแฟก่อนเพื่อความปลอดภัย รอให้สถานการณ์ดีขึ้นจะกลับมารับใหม่ เราก็โอเค นั่งรอจนเวลาผ่านไป รถไฟก็กังวล
นี่คือมือเย็นในวันนั้น เราสั่ง Chicken Wrap กินคู่กับ ไก่ KFC ชิ้นที่เปียกน้อยที่สุด5555 เรากินมันจนหมด ถึงจะกินอะไรไม่ค่อยลงก็ตาม แต่ก็ฝืนกิน เพราะคิดว่าเราต้องมีแรงที่จะต้องใช้เดินทางต่อ เรานั่งไปพร้อมกับความกังวลเรื่องรถไฟ จนได้ Web เช็คเวลารถไฟ (
https://enquiry.indianrail.gov.in/ntes/index.html ) มากจากพนักงาน ร้าน Costa Café
พอจะทราบเวลาแล้ว เลยโทรเรียกลุงมา เราลองกลับไป2-3เส้นทางที่ถูกปิดก่อนหน้านี้ สุดท้ายก็เหมือนเดิมยังไม่มีอะไรคลี่คลาย ทีนี้มันไม่เหลือเส้นทางไหนที่จะไปได้แล้ว ยกเว้นเส้นทาง VIP เราไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่ลุงบอกยังไงทางนี้ก็ไปได้ สรุปว่า รถทุกคันคงคิดแบบลุงกันหมด
เราและรถอีกหลายคันติดอยู่บนถนนเส้นนี้ อยู่ประมาณ 40 นาที แบบไม่เคลื่อนไหวเลย เราไปติดอยู่ใกล้ๆสี่แยกพอดี คือแยกนั้นมีแต่รถ และไม่มีรถคันไหนสามารถเคลื่อนไหวใดๆได้ มีแต่คนตะโกนลงมา บางคนขี่จักรยานก็ยังผ่านไม่ได้ต้องแบกจักรยานแล้วเดินข้ามแยกกันเลย คุณลุงคุยกับคนแถวนั้นแล้วได้ความว่า มต้นไม้ใหญ่ล้มขวางถนนนี้อยู่เหมือนกัน เราก็ทำได้แต่นั่งรอ แล้วคุณลุงก็บ่นว่า "คนที่นี่ บ่นได้ รอได้ ไม่ว่านานเท่าไหร่ ทุกคนอยากไป แต่ไม่มีใครช่วยกันสักคน ถ้าทุกคนลงไปช่วยกันป่านนี้ได้ไปแล้ว ได้แต่รอให้หน่วยงานมาช่วยเหลือ คนละไม้คนละมือจบๆไปละ" ลุงบ่นๆและบอกคนที่นี่ก็แบบนี้แหละ แล้วเราก็พยักหน้ารอต่อไป
จนรู้สึกว่า เห้ย! มันจะไม่ทันเวลารถไฟเอา เราเห็นเริ่มมีคนลงเดินทั้งนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นเดินกันควักไขว่ เราบอกลุงว่า เราเดินไปได้นะ ลุงบอก NO! สถานการณ์มันไม่ปกติ ไม่มีไฟฟ้า แล้วมันก็ไกลด้วย อันตรายด้วย เชื่อลุงเดี๋ยวลุงพาไป เราก็พยักหน้าและรอต่อไปอีกตามเคย
การรอคอยก็สิ้นสุดลง รถเริ่มเคลื่อนไหว คุณลุงพาขับไปต่อ คือระหว่างทางที่ไปต่อได้นั้นก็เจออุปสรรคอยู่ประปราย ทั้งน้ำท่วม ขยะลอยเกลื่อนถนน ต้นไม้ เล็ก ใหญ่ มอเตอร์ไซค์ ป้าย เสาไฟ ล้มลงมาทำให้จราจรติดขัด แล้วผู้คนก็หาทางกลับบ้านกันไม่ได้ พยายามจะโบกรถเราขอติดรถไปด้วย คือมันบ้าบอมากกกก นี่เราอยู่ในหนังเหรอเนี่ย
สุดท้ายเราก็มาถึงสถานีรถไฟ ลุงบอกว่า ให้รางวัลเค้าหน่อยนะเค้าพาเรามาถึงที่อย่างปลอดภัย เราเลยเพิ่มให้ลุงอีกเท่า จาก 600 เป็น 1200 รูปี แล้วคุณลุงก็เข้าไปส่งถึงชานชาลา ดูเวลาให้ด้วยว่ารถไฟล์จะดีเลย์ออกไปอีก เราได้ถามคุณลุงว่าที่นี่เป็นแบบนี้บ่อยไหม? ลุงบอกเกิดมา 60 ปีลุงก็เพิ่งเคยเจอเหมือนกัน โชคดีเป็นของเรา 3 คนแล้วหละ ที่รอดมาด้วยกัน สุดท้ายเลยขอคุณลุงถ่ายรูปเป็นที่ระลึกหน่อย
ช่วงระหว่างที่เราติดอยู่กลางแยกนั้นคุณลุงก็เป็นเหมือนญาติเราไปแล้ว เพราะเหตุการณ์ก่อนหน้า มันต่างทำให้เราคิดถึงคนในครอบครัว เค้าจะคอยเล่าเรื่องลูกให้เราฟัง และคอยถามเกี่ยวกับครอบครัวเรา นี่คือเรื่องดีๆในวิกฤติที่เกิดขึ้น หลังจากที่แยกย้ายกับคุณลุงก็นึกขึ้นได้ว่าเรามีเงินไทยติดตัวอยู่ เลยโทรถามหาว่าลุงอยู่ไหน ลุงยังอยู่แถวสถานีนี้อยู่เลยให้ลุงกลับมาแล้วมอบน้ำใจเล็กๆน้อยๆให้เป็นเงิน 1500 บาทไทย แด่คุณลุงคู่บุญ ลุงธาบินดา
จังหวะที่เดินเข้ามาในสถานีรถไฟ คือ ตกใจมากมีคนนอนกองๆรวมกัน เต็มไปหมด คือไม่รู้ว่ามาหลบฝน หรือเพราะรถไฟหลายขบวนดีเลย์ แต่ที่รู้ๆสิ่งเหล่านี้มันเกิดจากพายุแน่ๆ
แต่ถึงแม้บรรยากาศมันจะเป็นบังไง เรารู้สึกว่าที่นี่ปลอดภัยมาก เรารอดแล้วหละ ทีนี้ก็มานั่งรอรถไฟกันต่อ เรานั่งรออยู่ใกล้ๆเจ้าหน้าที่เลย กลัวไปไม่ถูกขบวน ไม่ถูกเวลา เรามี Web เช็ครถไฟ ก็นั่งเช็คอยู่นั่นหละ รีเฟชรแล้วรีเฟชรอีก รอแล้วรอเล่า
สุดท้ายรถไฟก็มา ตอน 03:55 น. ใช่ค่ะ!เรารอรถไฟไป 8 ชั่วโมง รถไฟดีเลย์แล้วดีเลย์อีก เหนื่อยจริงๆคืนนั้น ถ้ามองย้อนกลับไปคือเราตื่นตั้งแต่ตี 5 แล้วเดินทางทั้งวัน ตกค่ำเจอพายุลูกใหญ่ แถมรอรถไฟ 8 ชั่วโมง ง่วงและเหนื่อยแต่ก็ไม่กล้าหลับ เพราะกลัวตกรถไฟ แพลนที่วางไว้ว่าจะไปถึง Jodphur ตอน 7 โมงเช้าได้ล่มสบายไปแล้ว จบกัน
แต่ยังพอมีความโชคดีหลงเหลือยู่บ้าง คือรถไฟขบวนนี้จะวิ่งย้อนกลับไปทาง Jaipur ก่อนที่จะไป Jodphur เราเลยตัดสินใจลงที่ Jaipur (เราต้องยกเลิกตั๋วรถไฟที่จองและจ่ายเงินไว้แล้วหนึ่งเที่ยว)
ระหว่างที่อยู่บนรถนั้นหลับสนิทไป 4 ชั่วโมง ตื่นมาว่าเห้ยเราอยู่ที่ไหนกันแล้ว นั่งเลยป้ายมั้ยเนี่ย ที่ไหนได้ อยู่เลยอัครามาสถานีเดียว เลทซ้ำเลทซ้อนจริงๆ แต่การติดอยู่บนรถไฟนานๆ จอดแช่ที่บางสถานีก็ดีเหมือนกัน ได้เห็นอะไรอีกหลายอย่างเลย ผู้โดยสารที่นอนห้องเดียวกันกับเราก็เป็นคุณตาคุณยาย ดูแลกันน่ารักเชียว
ได้วิ่งซื้อขนม แล้วก็ Breakfast in Bed กันไป สนุกสนาน
จบแล้วเรื่องราวที่เราไม่คิดจะเจอในชีวิตนี้ ทุกอย่างมันเป็นเหมือนในหนังเลย โชคดีที่ผ่านมันมาได้
เรากลับไทยมาเล่าให้ทุกคนฟัง เพื่อนบอกว่าเห็นข่าวพายุเข้าทัชมาฮาล ยังนึกถึงเราอยู่เลย เราลองไปหาข่าวบ้าง ข่าวรายงานว่า เป็นพายุที่มีความเร็วลมที่ 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้เสาของประตู ทัชมาฮาล หัก มีผู้เสียชีวิต 15 คน บาดเจ็บอีก 37ราย และยังมีเมืองอื่นๆใน รัฐ ราชสถานเสียหายอีกมากมาย
ขอบคุณภาพข่าวจาก @ANINewsup
และ
https://timesofindia.indiatimes.com/city/agra/storm-leaves-42-dead-taj-agra-fort-damaged/articleshow/63740523.cms
เรารู้สึกว่าโชคดีจริงๆที่เจอพายุในเย็นวันนั้นเพราะถ้าเราไปหลังจากนั้นเพียงหนึ่งวันเราคงจะเจอสภาพเมืองที่เละไม่เป็นท่า กับ ทัชมาฮาลที่ไม่สมบูรณ์แบบ โชคดีจริงๆ
:::: รสอินเดีย 4 :::: เจอพายุที่อัครา - รถไฟดีเลย์ 8 ชั่วโมง - อดไป Jodphur
ต่อจากกระทู้ที่แล้ว เรากำลังเดินทางไปยังสถานีรถไฟ Agra Fort เพื่อจะมุ่งหน้าไปสู่ Jodphur เมืองแห่งสีฟ้าที่รอคอย เราจองรถไฟขบวนไว้กะนอนยาวๆไปถึงเช้าตื่นมาแล้วเที่ยวเลย ตามตารางด้านล่างนี้ แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นทำให้เราไปไม่ถึง Jodphur
ยังดีที่กระเป๋าเป้ของเรา 2 คนเป็นแบบกันน้ำและใบใหญ่พอที่จะบังตัวเราไว้ได้ ก็ลดแรงประทะฝนและความเปียกไปได้หน่อย แต่ตอนนั้นเปียกก็ไม่สนแล้ว เรากังวลอยู่อย่างเดียวคือต้องไปให้ทันรถไฟเที่ยว 20:10 คุณลุงก็พยายามขับไปอย่างช้าๆท่ามกลางพายุ แต่สุดท้ายลุงก็ขอจอดสักแป๊ป เพราะลมมันแรงจริง (นึกอยู่ว่ารถจะปลิวไหมเนี่ย) ตอนนั้นเราก็คิดว่าจอดดีกว่า เรื่องรถไฟไว้ก่อนเพราะฝนและลมมันแรงมาก เอาความปลอดภัยไว้ก่อน
(ภาพตลอดการเจอพายุนั้น Capture ภาพ มาจากคลิปวีดีโออีกที เราไม่ได้เก็บภาพนิ่งไว้เลย ขออภัยในคุณภาพ ด้วย )
เรานั่งอยู่ในนั้นสักแป๊ป จู่ๆก็มีน้ำไหลลงมาจากบันไดกลางคลินิก เราก็เห้ย! นี่มันอะไร ท่อแตก หลังคารั่ว หรือน้ำท่วมจนทะลัก แต่คนในนั้นก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ปล่อยน้ำไหลไป คงเป็นเรื่องปกติของเค้าหละมั้ง พอตั้งสติได้ดีแล้วเลยชะโงกหน้าออกไปดูข้างนอกพบแต่กับความเสียหาย แล้วคุณลุงก็บอกว่าไม่ต้องห่วงนะยังไงวันนี้รถไฟดีเลย์แน่นอน แล้วคุณลุงก็โทรเช็คกับเพื่อนให้ สรุป ดีเลย์จริงๆ 3 ชั่วโมง เราก็ค่อยโล่งใจ
สักพักพายุเริ่มสงบลง คุณลุงกับเราเริ่มเดินทางกันต่อ ระหว่างทางที่ไปนั้นเราเห็นแต่ความพังทลาย
สุดท้ายเราก็มาถึงสถานีรถไฟ ลุงบอกว่า ให้รางวัลเค้าหน่อยนะเค้าพาเรามาถึงที่อย่างปลอดภัย เราเลยเพิ่มให้ลุงอีกเท่า จาก 600 เป็น 1200 รูปี แล้วคุณลุงก็เข้าไปส่งถึงชานชาลา ดูเวลาให้ด้วยว่ารถไฟล์จะดีเลย์ออกไปอีก เราได้ถามคุณลุงว่าที่นี่เป็นแบบนี้บ่อยไหม? ลุงบอกเกิดมา 60 ปีลุงก็เพิ่งเคยเจอเหมือนกัน โชคดีเป็นของเรา 3 คนแล้วหละ ที่รอดมาด้วยกัน สุดท้ายเลยขอคุณลุงถ่ายรูปเป็นที่ระลึกหน่อย
แต่ยังพอมีความโชคดีหลงเหลือยู่บ้าง คือรถไฟขบวนนี้จะวิ่งย้อนกลับไปทาง Jaipur ก่อนที่จะไป Jodphur เราเลยตัดสินใจลงที่ Jaipur (เราต้องยกเลิกตั๋วรถไฟที่จองและจ่ายเงินไว้แล้วหนึ่งเที่ยว)
เรากลับไทยมาเล่าให้ทุกคนฟัง เพื่อนบอกว่าเห็นข่าวพายุเข้าทัชมาฮาล ยังนึกถึงเราอยู่เลย เราลองไปหาข่าวบ้าง ข่าวรายงานว่า เป็นพายุที่มีความเร็วลมที่ 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้เสาของประตู ทัชมาฮาล หัก มีผู้เสียชีวิต 15 คน บาดเจ็บอีก 37ราย และยังมีเมืองอื่นๆใน รัฐ ราชสถานเสียหายอีกมากมาย
และ https://timesofindia.indiatimes.com/city/agra/storm-leaves-42-dead-taj-agra-fort-damaged/articleshow/63740523.cms