พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า วันนี้ กรมราชทัณฑ์ ได้ดำเนินการตามคำพิพากษาของศาล
ด้วยการประหารชีวิตนักโทษเด็ดขาดชายธีรศักดิ์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี ผู้ต้องขังในคดีฆ่าผู้อื่นอย่างทารุณโหดร้ายเพื่อชิงทรัพย์
เหตุเกิดเมื่อวันที่ 17 ก.ค. 2555 ที่จ.ตรัง โดยนักโทษเด็ดขาดรายดังกล่าวได้ทำร้ายและบังคับให้เอาทรัพย์สิน
ประกอบด้วย โทรศัพท์มือถือ และกระเป๋าสตางค์ รวมทั้งใช้มีดแทงผู้ตาย รวม 24 แผล เป็นเหตุให้เหยื่อถึงแก่ความตาย
ศาลชั้นต้น พิพากษาประหารชีวิต ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืน เป็นผลให้คดีถึงที่สุด
โดยการบังคับโทษประหารชีวิตดังกล่าวเป็นการดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245
ประกอบมาตรา 19 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และระเบียบกระทรวงยุติธรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการประหารชีวิตนักโทษ พ.ศ.2546
ซึ่งกำหนดให้ดำเนินการด้วยวิธีการฉีดยาหรือสารพิษให้ตาย นับเป็นผู้ต้องขังรายที่ 7
นับแต่มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 16) พ.ศ.2546
ซึ่งเปลี่ยนวิธีการบังคับโทษประหารชีวิตจากการยิงเสียให้ตายเป็นการฉีดสารพิษ
อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ยังเปิดเผยต่อว่า นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2478 ถึงปัจจุบันมีการบังคับโทษประหารชีวิตมาแล้ว จำนวน 325 ราย โดยแยกเป็น
1. การใช้อาวุธปืนยิงจำนวน 319 ราย (ยิงรายสุดท้ายเมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 2546)
2. การฉีดยาสารพิษ จำนวน 6 ราย (ฉีดสารพิษครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 2546 และครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2552)
การประหารชีวิต ถือเป็นบทลงโทษทางอาญาที่หนักที่สุดตามกฎหมายไทย
ซึ่งมีโทษ 5 อย่าง คือ ปรับ ริบทรัพย์สิน กักขัง จำคุก และประหารชีวิต
แม้หลายประเทศได้ยกเลิกโทษประหารชีวิตไปแล้วก็ตาม
แต่ก็มีอีกหลายประเทศที่ยังคงมีโทษประหารชีวิตอยู่เช่นเดียวกับประเทศไทย อาทิ สหรัฐอเมริกาและจีน
ซึ่งเน้นการปกป้องสังคมและพลเมืองส่วนใหญ่ให้พ้นจากการตกเป็นเหยื่ออาชญากรรม
มากกว่าเน้นสิทธิเสรีภาพของปัจเจกบุคคลที่กระทำผิดกฎหมาย
กรมราชทัณฑ์ หวังว่าการประหารชีวิตในครั้งนี้จะเป็นอุทาหรณ์ให้ผู้ที่คิดจะก่ออาชญากรรมร้ายแรง
หรือกระทำผิดกฎหมายได้ยั้งคิดถึงบทลงโทษนี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99/83482
ประวัติคดีนี้
https://mgronline.com/onlinesection/detail/9610000060724
ในที่สุดไทยก็กลับมาใช้โทษประหารชีวิตจริงๆ อีกครั้งแล้วครับ
ต้องดูต่อไปว่าจะมีการบังคับคดีโทษนี้อีกในอนาคตหรือเปล่า
ไทยบังคับใช้โทษ "ประหารชีวิต" ครั้งแรกในรอบ 9 ปี
ด้วยการประหารชีวิตนักโทษเด็ดขาดชายธีรศักดิ์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี ผู้ต้องขังในคดีฆ่าผู้อื่นอย่างทารุณโหดร้ายเพื่อชิงทรัพย์
เหตุเกิดเมื่อวันที่ 17 ก.ค. 2555 ที่จ.ตรัง โดยนักโทษเด็ดขาดรายดังกล่าวได้ทำร้ายและบังคับให้เอาทรัพย์สิน
ประกอบด้วย โทรศัพท์มือถือ และกระเป๋าสตางค์ รวมทั้งใช้มีดแทงผู้ตาย รวม 24 แผล เป็นเหตุให้เหยื่อถึงแก่ความตาย
ศาลชั้นต้น พิพากษาประหารชีวิต ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืน เป็นผลให้คดีถึงที่สุด
โดยการบังคับโทษประหารชีวิตดังกล่าวเป็นการดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245
ประกอบมาตรา 19 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และระเบียบกระทรวงยุติธรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการประหารชีวิตนักโทษ พ.ศ.2546
ซึ่งกำหนดให้ดำเนินการด้วยวิธีการฉีดยาหรือสารพิษให้ตาย นับเป็นผู้ต้องขังรายที่ 7
นับแต่มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 16) พ.ศ.2546
ซึ่งเปลี่ยนวิธีการบังคับโทษประหารชีวิตจากการยิงเสียให้ตายเป็นการฉีดสารพิษ
อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ยังเปิดเผยต่อว่า นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2478 ถึงปัจจุบันมีการบังคับโทษประหารชีวิตมาแล้ว จำนวน 325 ราย โดยแยกเป็น
1. การใช้อาวุธปืนยิงจำนวน 319 ราย (ยิงรายสุดท้ายเมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 2546)
2. การฉีดยาสารพิษ จำนวน 6 ราย (ฉีดสารพิษครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 2546 และครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2552)
การประหารชีวิต ถือเป็นบทลงโทษทางอาญาที่หนักที่สุดตามกฎหมายไทย
ซึ่งมีโทษ 5 อย่าง คือ ปรับ ริบทรัพย์สิน กักขัง จำคุก และประหารชีวิต
แม้หลายประเทศได้ยกเลิกโทษประหารชีวิตไปแล้วก็ตาม
แต่ก็มีอีกหลายประเทศที่ยังคงมีโทษประหารชีวิตอยู่เช่นเดียวกับประเทศไทย อาทิ สหรัฐอเมริกาและจีน
ซึ่งเน้นการปกป้องสังคมและพลเมืองส่วนใหญ่ให้พ้นจากการตกเป็นเหยื่ออาชญากรรม
มากกว่าเน้นสิทธิเสรีภาพของปัจเจกบุคคลที่กระทำผิดกฎหมาย
กรมราชทัณฑ์ หวังว่าการประหารชีวิตในครั้งนี้จะเป็นอุทาหรณ์ให้ผู้ที่คิดจะก่ออาชญากรรมร้ายแรง
หรือกระทำผิดกฎหมายได้ยั้งคิดถึงบทลงโทษนี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ประวัติคดีนี้
https://mgronline.com/onlinesection/detail/9610000060724
ในที่สุดไทยก็กลับมาใช้โทษประหารชีวิตจริงๆ อีกครั้งแล้วครับ
ต้องดูต่อไปว่าจะมีการบังคับคดีโทษนี้อีกในอนาคตหรือเปล่า