สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 10
เอาแนวพระราโชบายด้านการทูตของผู้นำสยามในสมัยนั้น มาให้พิจารณาครับ
“...ในเมื่อสยามถูกรังควานโดยฝรั่งเศสด้านหนึ่ง โดยอาณานิคมอังกฤษอีกด้านหนึ่ง เราต้องตัดสินใจว่าเราจะทำอย่างไร จะว่ายทวนน้ำขึ้นไปเพื่อทำตัวเป็นมิตรกับจระเข้ หรือจะว่ายออกทะเลไปเกาะปลาวาฬไว้ ถ้าหากเราพบบ่อทองในประเทศเรา พอที่จะใช้ซื้อเรือรบจำนวนร้อย ๆ ลำก็ตาม เราก็คงไม่สามารถจะสู้กับพวกนี้ได้ เพราะเราจะต้องซื้อเรือรบและอาวุธจากประเทศเหล่านี้ (อังกฤษและฝรั่งเศส) พวกนี้จะหยุดขายให้เราเมื่อไรก็ได้ อาวุธชนิดเดียวซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างแท้จริงต่อเราในอนาคตก็คือวาจาและหัวใจของเราอันกอปรด้วยสติและปัญญา...”
(พระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ถึงพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์)
“...ความทุกข์ร้อนอันใดของเราที่จะพึ่งปากผู้อื่นให้ช่วยพูด พึ่งความคิดผู้อื่นให้ช่วยคิด อย่าได้ฝันเห็นเลยว่าใครจะเป็นธุระ โดยว่าเขาจะเป็นธุระก็เสียแก่เรา เราเป็นเมืองเอกราชต้องพูดเองจึงจะสมควร ถ้าเขาไม่ต้องการเราเปนโปรเตกชั่นแล้วเขาไม่ฮุบเลย...”
(พระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ถึงสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินินาถ)
และขอยกบทวิจารณ์เกี่ยวกับวิเทโศบายด้านการทูตของสยาม ในมุมมองฝรั่งมาให้พิจารณาครับ
"...ในระหว่างที่การเจรจาระหว่างปารีสกับทางบางกอกดำเนินอยู่อย่างเผ็ดร้อน ราชทูตสยามถูกมองว่าเป็นผู้นำข้อความสำคัญจากคิงมงกุฎมาในจดหมายถึงนโปเลียนที่ ๓ โดยตรง รายละเอียดในจดหมายนี้ถูกเปิดเผยออกมาจนหมดเปลือก ยิ่งพิจารณาดูก็ยิ่งเห็นชั้นเชิงของสยามชัดเจนยิ่งขึ้น พระราชสาส์นความยาว ๓ หน้ากระดาษถูกนำออกอ่านเป็นภาษาสยามก่อนโดยพระยาศรีพิพัฒน์ราชทูต และได้รับการแปลเป็นภาษาฝรั่งเศสในทันที โดยบาทหลวงโลนาร์ดี ต่อหน้าพระพักตร์นโปเลียนที่ ๓ และเหล่าเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่หลายสิบคนในที่ชุมนุมนั้น..."
(หนังสือพิมพ์ L”Illustration. ฉบับวันที่ ๖, ๑๓ และ ๒๐ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๘๖๑)
"...คิงจุฬาลงกรณ์ เป็นพระมหากษัตริย์ที่ฉลาด เมื่อพระองค์ได้รับการต้อนรับที่ดี (ในเยอรมนี) เช่นนี้ จึงทรงทราบดีว่า เยอรมนีคงทําอะไรพระองค์และสยามไม่ได้มาก ถึงแม้จะอยากทําก็ตาม และแม้พระองค์จะรังเกียจอังกฤษและฝรั่งเศสในฐานะประเทศที่เป็นภัยต่อเอกราชของประเทศของพระองค์เพียงใดก็ตาม พระองค์ก็จําต้องยอมประเทศเหล่านั้นเท่าที่จะให้ได้ เช่นเดียวกับที่เราต้องยอมถวายเครื่องสังเวยให้จุใจเทพที่สามารถทําร้ายเราได้..."
(หนังสือพิมพ์ Mecklenburgische Zeitung ของเยอรมัน ฉบับที่ ๓๙๖ วันที่ ๒๖ สิงหาคม ค.ศ. ๑๘๙๗)
"...แต่ทว่าคนอังกฤษกับคนฝรั่งเศสก็ยื้อแย่งประเทศของพระองค์อย่างไม่เป็นผลเท่าไหร่ และก็ยังไม่มีใครฮุบประเทศนี้ได้จริงจังเสียที ขนาดส่งเรือรบเข้าไปถึงกลางใจเมืองหลวง แต่ด้วยกลการเมืองที่เดอะคิงใช้หลอกล่อพวกเรา (ฝรั่งเศส) เรือรบเหล่านั้นก็ต้องถอยทัพออกมาหมด พร้อมกับเงิน (ค่าไถ่) ที่พระองค์มอบให้เราเพียงหยิบมือ ช่างเป็นเรื่องประหลาดเหลือเชื่อ แทนที่เราจะตั้งหน้ารบกันจริง ๆ เรากลับต้องตั้งต้นคืนดีกัน เพราะการที่เราได้เขมรมาไว้ในครอบครอง ฝรั่งเศสก็กลายเป็นเพื่อนบ้านของสยามไปโดยปริยาย เราได้สมบัติจากนครวัดมาไว้เชยชมมากมายแล้วก็จริง แต่ก็ยังเอื้อมไปไม่ถึงตัวนครวัดที่เป็นต้นตอของสมบัติเหล่านั้น ทำให้เราดูคล้ายแมลงหวี่ยุ่งๆ ที่คอยสร้างความรำคาญให้วัว แต่ก็ทำอะไรวัวไม่ได้ และแล้วฝรั่งเศสก็สูญเสียจันทบูรไป ทุกครั้งที่มีการลงนามในกระดาษเราก็จะพูดว่ามันเป็นชัยชนะทางการทูตร่ำไป แต่ที่แท้แล้วเราไม่เคยชนะอะไรเลย..."
(หนังสือพิมพ์ Le Matin ฉบับ ๑๘ June ๑๙๐๗)
“...ในเมื่อสยามถูกรังควานโดยฝรั่งเศสด้านหนึ่ง โดยอาณานิคมอังกฤษอีกด้านหนึ่ง เราต้องตัดสินใจว่าเราจะทำอย่างไร จะว่ายทวนน้ำขึ้นไปเพื่อทำตัวเป็นมิตรกับจระเข้ หรือจะว่ายออกทะเลไปเกาะปลาวาฬไว้ ถ้าหากเราพบบ่อทองในประเทศเรา พอที่จะใช้ซื้อเรือรบจำนวนร้อย ๆ ลำก็ตาม เราก็คงไม่สามารถจะสู้กับพวกนี้ได้ เพราะเราจะต้องซื้อเรือรบและอาวุธจากประเทศเหล่านี้ (อังกฤษและฝรั่งเศส) พวกนี้จะหยุดขายให้เราเมื่อไรก็ได้ อาวุธชนิดเดียวซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างแท้จริงต่อเราในอนาคตก็คือวาจาและหัวใจของเราอันกอปรด้วยสติและปัญญา...”
(พระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ถึงพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์)
“...ความทุกข์ร้อนอันใดของเราที่จะพึ่งปากผู้อื่นให้ช่วยพูด พึ่งความคิดผู้อื่นให้ช่วยคิด อย่าได้ฝันเห็นเลยว่าใครจะเป็นธุระ โดยว่าเขาจะเป็นธุระก็เสียแก่เรา เราเป็นเมืองเอกราชต้องพูดเองจึงจะสมควร ถ้าเขาไม่ต้องการเราเปนโปรเตกชั่นแล้วเขาไม่ฮุบเลย...”
(พระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ถึงสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินินาถ)
และขอยกบทวิจารณ์เกี่ยวกับวิเทโศบายด้านการทูตของสยาม ในมุมมองฝรั่งมาให้พิจารณาครับ
"...ในระหว่างที่การเจรจาระหว่างปารีสกับทางบางกอกดำเนินอยู่อย่างเผ็ดร้อน ราชทูตสยามถูกมองว่าเป็นผู้นำข้อความสำคัญจากคิงมงกุฎมาในจดหมายถึงนโปเลียนที่ ๓ โดยตรง รายละเอียดในจดหมายนี้ถูกเปิดเผยออกมาจนหมดเปลือก ยิ่งพิจารณาดูก็ยิ่งเห็นชั้นเชิงของสยามชัดเจนยิ่งขึ้น พระราชสาส์นความยาว ๓ หน้ากระดาษถูกนำออกอ่านเป็นภาษาสยามก่อนโดยพระยาศรีพิพัฒน์ราชทูต และได้รับการแปลเป็นภาษาฝรั่งเศสในทันที โดยบาทหลวงโลนาร์ดี ต่อหน้าพระพักตร์นโปเลียนที่ ๓ และเหล่าเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่หลายสิบคนในที่ชุมนุมนั้น..."
(หนังสือพิมพ์ L”Illustration. ฉบับวันที่ ๖, ๑๓ และ ๒๐ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๘๖๑)
"...คิงจุฬาลงกรณ์ เป็นพระมหากษัตริย์ที่ฉลาด เมื่อพระองค์ได้รับการต้อนรับที่ดี (ในเยอรมนี) เช่นนี้ จึงทรงทราบดีว่า เยอรมนีคงทําอะไรพระองค์และสยามไม่ได้มาก ถึงแม้จะอยากทําก็ตาม และแม้พระองค์จะรังเกียจอังกฤษและฝรั่งเศสในฐานะประเทศที่เป็นภัยต่อเอกราชของประเทศของพระองค์เพียงใดก็ตาม พระองค์ก็จําต้องยอมประเทศเหล่านั้นเท่าที่จะให้ได้ เช่นเดียวกับที่เราต้องยอมถวายเครื่องสังเวยให้จุใจเทพที่สามารถทําร้ายเราได้..."
(หนังสือพิมพ์ Mecklenburgische Zeitung ของเยอรมัน ฉบับที่ ๓๙๖ วันที่ ๒๖ สิงหาคม ค.ศ. ๑๘๙๗)
"...แต่ทว่าคนอังกฤษกับคนฝรั่งเศสก็ยื้อแย่งประเทศของพระองค์อย่างไม่เป็นผลเท่าไหร่ และก็ยังไม่มีใครฮุบประเทศนี้ได้จริงจังเสียที ขนาดส่งเรือรบเข้าไปถึงกลางใจเมืองหลวง แต่ด้วยกลการเมืองที่เดอะคิงใช้หลอกล่อพวกเรา (ฝรั่งเศส) เรือรบเหล่านั้นก็ต้องถอยทัพออกมาหมด พร้อมกับเงิน (ค่าไถ่) ที่พระองค์มอบให้เราเพียงหยิบมือ ช่างเป็นเรื่องประหลาดเหลือเชื่อ แทนที่เราจะตั้งหน้ารบกันจริง ๆ เรากลับต้องตั้งต้นคืนดีกัน เพราะการที่เราได้เขมรมาไว้ในครอบครอง ฝรั่งเศสก็กลายเป็นเพื่อนบ้านของสยามไปโดยปริยาย เราได้สมบัติจากนครวัดมาไว้เชยชมมากมายแล้วก็จริง แต่ก็ยังเอื้อมไปไม่ถึงตัวนครวัดที่เป็นต้นตอของสมบัติเหล่านั้น ทำให้เราดูคล้ายแมลงหวี่ยุ่งๆ ที่คอยสร้างความรำคาญให้วัว แต่ก็ทำอะไรวัวไม่ได้ และแล้วฝรั่งเศสก็สูญเสียจันทบูรไป ทุกครั้งที่มีการลงนามในกระดาษเราก็จะพูดว่ามันเป็นชัยชนะทางการทูตร่ำไป แต่ที่แท้แล้วเราไม่เคยชนะอะไรเลย..."
(หนังสือพิมพ์ Le Matin ฉบับ ๑๘ June ๑๙๐๗)
ความคิดเห็นที่ 1
ลองอ่านกระทู้นี้ดูนะครับ https://pantip.com/topic/35662307
ในสภาพที่ไทยเป็นฝ่ายอ่อนแอเหมือนลูกแกะที่ถูกหมาป่าคอยจ้องหาเรื่องเช่นนี้ ไทยเองไม่อยู่ในสถานะที่จะเจรจาต่อรองได้มากนักหรอกครับ โดยรวมถ้าไทยเราไม่ใช้การทูตนำละก็จะมีรายการหาเรื่องยึดดินแดนของไทยไปมากกว่านี้เยอะ
ฝั่งซ้ายแม่น้ำสาละวิน - ไทยเรายังไม่ได้เข้าครอบครองดินแดนนี้ เลยออกแนวยอมอังกฤษไปมากกว่า
ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง - ไทยเราพยายามจะเจรจาเต็มที่แต่ปาวีไม่สนใจอะไรทั้งนั้น แถมยิ่งชักช้าก็ยิ่งยื่นข้อเสนอจะเอานู่นนี่เพิ่มอีกเลยจำต้องยอมเสีย
ไชยบุรี จำปาศักดิ์ - ฝรั่งเศสพยายามเข้ามาแทรกแซงไชยบุรีนานแล้ว แถมให้เจ้าล้านช้างหลวงพระบางยกทัพมายึดเพื่อยั่วให้ไทยใช้กำลังอีก ทางไทยเลยตัดปัญหาเสียด้วยการเอาไปแลกจันทบุรี
มณฑลบูรพา - ดินแดนนี้อาจจะเห็นว่าเราแลกเปลี่ยนไม่คุ้ม แต่ถ้ามองภาพในสมัยนั้นแล้วจะรู้สึกว่าไทยได้ประโยชน์อย่างมากเพราะฝรั่งเศสต้องยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตซึ่งเหมือนหนามยอกอกไทยมานาน
4 รัฐมลายู - ในสภาวะตอนนั้นที่อังกฤษบังคับทำปฏิญญาลับ 2440 เอาไว้นั่นคือภาคใต้นับแต่ประจวบคีรีขันธ์ตกเป็นของอังกฤษดีๆแล้วนั่นเอง ไทยจึงตัดสินใจวางหมากที่เหนือชั้นด้วยการเอาดินแดน 4 รัฐมลายูที่เหมือนเด็กดื้อสำหรับไทยไปแลก ทำให้เสียดินแดนไปแค่ 4 รัฐมลายูที่ไม่สำคัญ แต่ส่งผลให้ปฏิญญาลับ 2440 ต้องยกเลิกและอังกฤษยังต้องยอมให้คนในบังคับอังกฤษมาขึ้นศาลไทยแทนศาลกงสุล
ในสภาพที่ไทยเป็นฝ่ายอ่อนแอเหมือนลูกแกะที่ถูกหมาป่าคอยจ้องหาเรื่องเช่นนี้ ไทยเองไม่อยู่ในสถานะที่จะเจรจาต่อรองได้มากนักหรอกครับ โดยรวมถ้าไทยเราไม่ใช้การทูตนำละก็จะมีรายการหาเรื่องยึดดินแดนของไทยไปมากกว่านี้เยอะ
ฝั่งซ้ายแม่น้ำสาละวิน - ไทยเรายังไม่ได้เข้าครอบครองดินแดนนี้ เลยออกแนวยอมอังกฤษไปมากกว่า
ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง - ไทยเราพยายามจะเจรจาเต็มที่แต่ปาวีไม่สนใจอะไรทั้งนั้น แถมยิ่งชักช้าก็ยิ่งยื่นข้อเสนอจะเอานู่นนี่เพิ่มอีกเลยจำต้องยอมเสีย
ไชยบุรี จำปาศักดิ์ - ฝรั่งเศสพยายามเข้ามาแทรกแซงไชยบุรีนานแล้ว แถมให้เจ้าล้านช้างหลวงพระบางยกทัพมายึดเพื่อยั่วให้ไทยใช้กำลังอีก ทางไทยเลยตัดปัญหาเสียด้วยการเอาไปแลกจันทบุรี
มณฑลบูรพา - ดินแดนนี้อาจจะเห็นว่าเราแลกเปลี่ยนไม่คุ้ม แต่ถ้ามองภาพในสมัยนั้นแล้วจะรู้สึกว่าไทยได้ประโยชน์อย่างมากเพราะฝรั่งเศสต้องยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตซึ่งเหมือนหนามยอกอกไทยมานาน
4 รัฐมลายู - ในสภาวะตอนนั้นที่อังกฤษบังคับทำปฏิญญาลับ 2440 เอาไว้นั่นคือภาคใต้นับแต่ประจวบคีรีขันธ์ตกเป็นของอังกฤษดีๆแล้วนั่นเอง ไทยจึงตัดสินใจวางหมากที่เหนือชั้นด้วยการเอาดินแดน 4 รัฐมลายูที่เหมือนเด็กดื้อสำหรับไทยไปแลก ทำให้เสียดินแดนไปแค่ 4 รัฐมลายูที่ไม่สำคัญ แต่ส่งผลให้ปฏิญญาลับ 2440 ต้องยกเลิกและอังกฤษยังต้องยอมให้คนในบังคับอังกฤษมาขึ้นศาลไทยแทนศาลกงสุล
แสดงความคิดเห็น
ช่วงสมัยล่าอาณานิคม การทูตไทยมีชั้นเชิงจริงหรอ
เวลาเจรจาอะไร แทบอยู่ในฐานะไก่รองบ่อน