แนวคิดเริ่มต้นมาจากบุพเพสันนิวาสครับ ที่เห็นนางเอกกลับไปมีชีวิตในอดีต
เลยเกิดคำถามขึ้นมาว่า .............
( เนื้อหาต่อไปนี้อ้างอิงตามความเชื่อแบบพุทธ เรื่องเวียนว่ายตายเกิด กฏแห่งกรรม )
1. ถ้าเวลาเป็นแค่มิติหนึ่งในห้วงอวกาศ นั่นแปลว่าเวลาสามารถเข้าถึงได้ทุกห้วงจากมิติที่สูงกว่า พระพุทธองค์เองยังเคยกล่าวว่ามีทั้งหมด 10 มิติ
แต่มนุษย์ที่ใช้ชีวิตใน 4 มิติ ไม่สามารถควบคุมเวลาได้ ฉนั้นถ้าหากเราตายไปจากชาตินี้ ไม่จำเป็นที่จะต้องไป เกิดในชาติหน้าที่เป็นอนาคต อย่างที่หลายๆคนเข้าใจ เช่นตายปี 2561 แล้วไปเกิดชาติหน้า 2590 อะไรแบบนี้ เพราะเราอาจมีกรรมร่วม ที่ต้องไปเกิดในปี 2310 ก็เป็นไปได้
หลายคนอาจแย้งว่า 2310 มันผ่านไปแล้วไปเกิดใหม่ตอนนั้นก็เท่ากับทำลายอดีตสิ คำตอบคือไม่ใช่คับ เราต้องคิดถึงว่าจักรวาลมีเหนือกว่า 4 มิติ ดังนั้นเวลาอาจไม่ได้ เดินทางเป็นเส้นตรงที่ผ่านไปแล้ว ผ่านไปเลย ขอยกตัวอย่างนะครับ
นาย A เป็นคนที่เกิดปี 2561 ใช้ชีวิต ประกอบ บุญ กรรม จนถึงปี 2600 ก็ตาย และจากผลบุญกรรมของนาย A ที่ทำในชาตินี้ ทำให้เขาต้องไปเกิดเป็น ทหาร ที่ต้องสู้รบกับพม่าราวปี 2310 ช่วงกรุงแตก และต้องถูกฆ่าตาย เพื่อชดใช้กรรมบางประการจากชาติก่อน
กล่าวคือ คนเราจะเกิดจากบุญกรรม ของตน ซึ่งบางครั้งจังหวะที่เหมาะสม อาจไม่จำเป็นต้องเรียงเป็นเส้นตรงของเวลาก็ได้
2. ไม่จำเป็นต้องเกิดที่โลก เสมอไป สิ่งมีชีวิตในจักรวาลไม่ได้มีแค่โลก และถ้าอ่านจากชาดก หรือตำนานทางพุทธ ผมว่าดูจากช่วงเวลาแล้ว มันอาจไม่ได้เกิดขึ้นบนโลกใบนี้นะครับ เอาง่ายๆครับ มนุษย์แบบเราๆ เพิ่งมีขึ้นมาก สัก 4 หมื่นปี เพิ่งมีสังคมและศาสนาจริงๆสัก 1 หมื่นปีที่แล้ว และเพิ่งตั้งรกรากแถวๆอินเดียได้สัก 5 พันปี แต่ตามตำนานพระพุทธเจ้าโคตมะ เป็นองค์ที่ 4 แล้ว อีก 3 องค์ก่อนหน้าท่าน เกิดขึ้นในช่วง 5 พันปีก็คงไม่ใช่ เพราะถ้าใช่ก็น่าจะมีศาสนา หรือ รูปแบบบางอย่าง ที่บ่งบอกถึงแต่นี่ไม่มีเลย แถมถ้าพิจารณาจาก สรีระ อายุขัย จะพบว่าไม่ใช่มนุษย์บนดาวดวงนี้แน่นอน จึงสรุปได้ว่า ภพภูมิมนุษย์เกิดขึ้นในหลายโลก บนจักรวาล ถ้าเราทำบุญ กรรมร่วมกับใครไว้ และมีความเหมาะสมพอ เราก็อาจไปเกิดที่ดาวอื่น
จาก 2 ข้อข้างบน อาจจะดูแหวกแนว แต่สรุปได้ว่า เวลาอาจไม่ได้เป็นเส้นตรง เราอาจเกิดชาติหน้าในอดีต หรือ ในต่างดาวได้
ขอบคุณครับที่อ่าน
ถ้าชาติหน้า ไม่ใช่อนาคตแต่เป็นก็ได้อดีตละครับ
เลยเกิดคำถามขึ้นมาว่า .............
( เนื้อหาต่อไปนี้อ้างอิงตามความเชื่อแบบพุทธ เรื่องเวียนว่ายตายเกิด กฏแห่งกรรม )
1. ถ้าเวลาเป็นแค่มิติหนึ่งในห้วงอวกาศ นั่นแปลว่าเวลาสามารถเข้าถึงได้ทุกห้วงจากมิติที่สูงกว่า พระพุทธองค์เองยังเคยกล่าวว่ามีทั้งหมด 10 มิติ
แต่มนุษย์ที่ใช้ชีวิตใน 4 มิติ ไม่สามารถควบคุมเวลาได้ ฉนั้นถ้าหากเราตายไปจากชาตินี้ ไม่จำเป็นที่จะต้องไป เกิดในชาติหน้าที่เป็นอนาคต อย่างที่หลายๆคนเข้าใจ เช่นตายปี 2561 แล้วไปเกิดชาติหน้า 2590 อะไรแบบนี้ เพราะเราอาจมีกรรมร่วม ที่ต้องไปเกิดในปี 2310 ก็เป็นไปได้
หลายคนอาจแย้งว่า 2310 มันผ่านไปแล้วไปเกิดใหม่ตอนนั้นก็เท่ากับทำลายอดีตสิ คำตอบคือไม่ใช่คับ เราต้องคิดถึงว่าจักรวาลมีเหนือกว่า 4 มิติ ดังนั้นเวลาอาจไม่ได้ เดินทางเป็นเส้นตรงที่ผ่านไปแล้ว ผ่านไปเลย ขอยกตัวอย่างนะครับ
นาย A เป็นคนที่เกิดปี 2561 ใช้ชีวิต ประกอบ บุญ กรรม จนถึงปี 2600 ก็ตาย และจากผลบุญกรรมของนาย A ที่ทำในชาตินี้ ทำให้เขาต้องไปเกิดเป็น ทหาร ที่ต้องสู้รบกับพม่าราวปี 2310 ช่วงกรุงแตก และต้องถูกฆ่าตาย เพื่อชดใช้กรรมบางประการจากชาติก่อน
กล่าวคือ คนเราจะเกิดจากบุญกรรม ของตน ซึ่งบางครั้งจังหวะที่เหมาะสม อาจไม่จำเป็นต้องเรียงเป็นเส้นตรงของเวลาก็ได้
2. ไม่จำเป็นต้องเกิดที่โลก เสมอไป สิ่งมีชีวิตในจักรวาลไม่ได้มีแค่โลก และถ้าอ่านจากชาดก หรือตำนานทางพุทธ ผมว่าดูจากช่วงเวลาแล้ว มันอาจไม่ได้เกิดขึ้นบนโลกใบนี้นะครับ เอาง่ายๆครับ มนุษย์แบบเราๆ เพิ่งมีขึ้นมาก สัก 4 หมื่นปี เพิ่งมีสังคมและศาสนาจริงๆสัก 1 หมื่นปีที่แล้ว และเพิ่งตั้งรกรากแถวๆอินเดียได้สัก 5 พันปี แต่ตามตำนานพระพุทธเจ้าโคตมะ เป็นองค์ที่ 4 แล้ว อีก 3 องค์ก่อนหน้าท่าน เกิดขึ้นในช่วง 5 พันปีก็คงไม่ใช่ เพราะถ้าใช่ก็น่าจะมีศาสนา หรือ รูปแบบบางอย่าง ที่บ่งบอกถึงแต่นี่ไม่มีเลย แถมถ้าพิจารณาจาก สรีระ อายุขัย จะพบว่าไม่ใช่มนุษย์บนดาวดวงนี้แน่นอน จึงสรุปได้ว่า ภพภูมิมนุษย์เกิดขึ้นในหลายโลก บนจักรวาล ถ้าเราทำบุญ กรรมร่วมกับใครไว้ และมีความเหมาะสมพอ เราก็อาจไปเกิดที่ดาวอื่น
จาก 2 ข้อข้างบน อาจจะดูแหวกแนว แต่สรุปได้ว่า เวลาอาจไม่ได้เป็นเส้นตรง เราอาจเกิดชาติหน้าในอดีต หรือ ในต่างดาวได้
ขอบคุณครับที่อ่าน