
สวัสดีเพื่อน ๆ ทุกคน
วันนี้จะมาเล่าประสบการณ์การเดินทางมาเที่ยว ณ อุทยานแห่งชาติภูกระดึงจังหวัดเลย เป็นเวลา 3 วัน 2 คืนให้ทุกคนได้ฟังกัน ขอบอกไว้ก่อนเลยนี่ไม่ใช่คำแนะนำหรือรีวิวในการเดินทาง แต่ถ้าใครสามารถนำไปปรับใช้ได้ ก็ยินดีเพราะคิดว่าน่าจะมีประโยชน์พอสมควร
หลังจากได้ยินชื่อเสียงของอุทยานแห่งชาติแห่งนี้มานาน ทำให้อยากจะมาสักครั้งก่อนที่จะอายุมากไปกว่านี้ จึงนัดเพื่อนๆ 5 คนมาผจญความสนุกด้วยกัน บังเอิญว่าเพิ่งปิดเทอมเลยมีโอกาสได้มาช่วงกลาง ๆ เดือนพฤษภาคม
พวกเราจึงตัดสินใจเดินทางมาในช่วงที่เกือบจะปิดอุทยาน อุทยานจะปิดวันที่ 31 พฤษภาคม เพื่อให้ธรรมชาติได้ฟื้นฟูตัวเอง และเข้าใกล้ช่วงหน้าฝนพอ ล็อควันเรียบร้อยได้เป็น ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ จองตั๋วกันเลย
จากสภาพอากาศที่เจออยู่ที่กรุงเทพเลยคิดไว้แล้วว่าน่าจะต้องเตรียมใจกับฝนแน่ๆ แต่ในเมื่ออยากไปแล้วก็ต้องไป เสื้อฝนนี่ซื้อเตรียมไว้เลย ต้องใช้แน่นอน
GO GO GO!!!!!
เราเลือกเดินทางมากับรถทัวร์ ของบริษัท Sunbus เนื่องจากถามรีวิวเพื่อนคนที่เคยมาบอกว่ารถสภาพดี บริการประทับใจสุดๆ นี่เลยโอเคเชื่อ!!! จอง หมอชิต – ผานกเค้าโดยเลือกรอบ 22.00 น. จะได้ถึงผานกเค้าเช้าพอดี
หยิบเงินใส่กระเป๋ามา 1500 บาท สำหรับการเดินทางทริปนี้โดยไม่รวมค่ารถทั้งไปและกลับ ถ้าคุณคิดว่าพอ คุณคิดผิดค่ะ! เล่าไว้ก่อนเลยว่าของด้านบนแพงมาก นอกจากจะยิ่งสูงยิ่งหนาวแล้วยิ่งแพงด้วยจ้าพี่น้อง ก็เพราะเค้าต้องใช้ลูกหาบหาบของขึ้นไปขายน่ะสิ กิโลหนึ่งก็หลายบาทอยู่ เลยทำให้ของแพง เตรียมไว้สัก 2000 กำลังดี ไม่ขาดไม่เกิน สบายใจได้
มาถึงหมอชิต 21.10 น. รอเพื่อนไปเอาของเนื่องจากนางลืมเอาไว้บนรถ นางกลับมาพร้อมไม้เท้า นี่ก็คิดในใจ จะเอามาทำเพื่อ แก่เวอร์ ยังไม่พอ นางหยิบสายศิลป์จากการยกช่อฟ้าสร้างโบสถ์มาให้ด้วยคนละเส้น ไม่ได้ใส่ที่แขนนะ คล้องคอเลยจ้า เออ! สบายใจละ พร้อมเวอร์สำหรับการเดินป่าครั้งแรกของพวกเรา
วันแรก
ออกเดินทางจากหมอชิตตอน 22.00 น. ถึงผานกเค้าบริเวณร้านเจ๊กิม เวลา 04.40 น. เชื่อม้ะหลับตลอดทางตื่นอีกทีก็ถึงละ นี่โฆษณาไม่ได้ค่าคอมนะ มีแต่เสียตังค์ แต่เอาเถอะสบายจริงๆ ก็ล้างหน้าแปรงฟัน ทานข้าวเช้าตรงร้านเจ้แกได้เลย ตี 05.30 น. ก็ออกเดินทางด้วยรถแดง ราคาต่อรอบ 300 บาท จำนวนคนเท่าไรก็ค่อยหารกันเอง นี่มากัน 5 คนอย่างที่บอก เลยไปชวนพี่ที่เค้ามาเที่ยวนั่งไปด้วยกันอีก 4 คน ใครจะไปรู้ว่าคนที่นั่งไปด้วยกันเนี่ยสุดท้ายลุยด้วยกันทั้งภู

(ภาพผานกเค้า)
ไม่นานก็มาถึงอุทยานแห่งชาติภูกระดึงต้องจ่ายตังค์ตั้งแต่ทางเข้าเลยจ่ะ คนละ 40 บาทบรรยากาศคือดี เย็นสบาย แวดล้อมไปด้วยต้นไม้

(ขอถ่ายรูปกับป้ายอุทยาน ฯ สักนิด)
รอเวลา 07.00 น. ก็ไปจองที่พักตรงนั้นได้เลย เนื่องจาก มากัน 5 คน เจ้าหน้าที่เลยแนะนำบ้านพักให้ เป็นบ้านเอพริล6 สามารถนอนได้ 6 คนมีห้องน้ำในตัว ที่นอน หมอน ผ้าห่ม มีพร้อม ไฟฟ้ามีแค่ไฟหน้าบ้าน ไฟในบ้าน และไฟในห้องน้ำ เปิดตอน 18.00 น.-22.00 น. เท่านั้น!!! ไม่มีปลั๊กให้ใดใดทั้งสิ้น ราคาประทับใจพอได้ 1000 บาท/คืน พอขึ้นไปด้านบนคิดถูกจริง ๆ ที่เลือกนอนบ้านเป็นหลัง ใครมากรุ๊ปประมาณนี้ก็เหมาะเลย
** ปล.หากอยากถามเรื่องที่พักโทรเลยค่ะ เบอร์อุทยานฯ 042-810834 **
เอาล่ะเมื่อทุกอย่างพร้อม เราก็พร้อมก้าวเท้าขึ้นภูเลยจ้า ออกเดินทาง 07.30 น. ขอบอกไว้ก่อนทริปนี้เรามากัน 5 คน แล้วก็ได้เพื่อนตั้งแต่ร้านเจ๊กิมอย่างที่บอก อีก 4 คน เป็นพี่ ๆ ที่มาเที่ยวเหมือนกัน พี่ ๆ เค้าเคยขึ้นกันมาก่อนแล้วจำนวนรอบที่ขึ้นก็แตกต่างกันไป 6 รอบบ้าง 2 รอบบ้าง เลยยิ่งอยากรู้ข้างบนมีอะไรถึงดึงดูดใจให้พี่ ๆ กลับมาอีกครั้ง
ก่อนจะเดินขึ้นอย่าลืมเอาสัมภาระไปให้ลูกหาบแบกขึ้นนะ เพราะถ้าไม่ไหว อย่าฝืน 5555 ราคาตกกิโลกรัมละ 30 บาท โดนกันไปจ้าคนละ 5 กิโล 150 บาทตั้งแต่ยังไม่ได้ขึ้นภู อีกสิ่งหนึ่งที่ควรมีเลยก็คือ เสื้อกันฝน และถุงกันทาก หาซื้อได้ตรงร้านค้าแถวนั้นเลย มีพร้อม! ก่อนจะเดิน ห้าม ลืมหยิบไม้เท้าผู้พิชิตที่ตีนภูเด็ดขาด มันช่วยได้ดีมาก ๆ
เอาล่ะค่ะ เริ่มเดิน!!!!

เดินมาได้ 300 เมตร บอกเพื่อน มุง! กลับเถอะ อิผี เหนื่อย! นี่คือคิดมาตลอดว่าแบบว้าวว! เดินชมธรรมชาติภายใต้ร่มไม้สวยงาม ดินราบเรียบ โอ๊ยมุงคะ เนินมาละค่ะ ทางชันขึ้นประมาน 60 องศา ขานี่อุตส่าเทรนมาบ้างแล้วนะ ล้าไม่เหลือความแข็งแรง ดีนะมีคนทิ้งไม้ไผ่ผู้พิชิตไว้ข้างทางเลยหยิบมาใช้ต่อ เดินไปเดินมาสักพัก เมื่อไรจะถึงฟ้ะ ซำแรกเมื่อไรจะถึง ในใจนี่คือโอ้ยยย กุจะตายแล้วววว
แต่ปลายทางนั้นต้องมีเส้นชัยค่ะหัวหน้า ถึงแล้วพี่น้อง!!!

ซำแฮก – เหนื่อยแฮกๆสมคำล่ำลือเลยอิเวง จัดเลยจ้า โค้กกับน้ำแข็ง และแตงโม 1 ชิ้น พักกันสักครู่ เลยแวะถ่ายรูปสักหน่อย เชื่อม้ะกางเต๊นท์นอนตรงนี้เลยได้ป่ะ ไม่ขึ้นละพี่น้อง บรรยากาศก็ดีแถมมีของกินให้ด้วย นี่ถ้ามีห้องน้ำแบบด้านล่างอุทยาน ฯ จะดีมาก

แต่นี่เพิ่งจะได้แค่ 1 กิโลเมตรเท่านั้น ยังอีกเยอะ พักพอหายเหนื่อยก็เดินกันต่อเลยย
ไม่มีอะไรพิเศษเลยข้างทางมีแต่ป่า ดิน หิน และต้นไผ่ เดินกันไปเล่าเรื่องโน้น เรื่องนี้กันไป จนไม่มีอะไรจะเล่าละ เปิดเพลงเลยจ้า สนุก ๆ ท่ามกลางความเงียบของป่า เงียบเกิน! ฟังจนเปลืองแบตเปลี่ยนมาเป็นต่อเพลงแทน นอกจากจะแหกปากลั่นป่าแล้ว ยังต้องคิดเพลงอีกอิบ้า เหนื่อยคูณสองไปเลย คุณไม่ต้องอายที่จะเปล่งเสียงอันไพเราะของคุณ เพราะตอนนี้ไม่มีใครอยู่กับคุณเลย อยู่กัน 5 คน คนอื่นเค้าแซงกันไปหมดแล้ว 5555

ซำต่อไปที่คุณจะเจอก็คือ ซำบอน ซำกกกอก และซำกอซาง

ซำกอซางที่แห่งนี้แหละจะมีของกินขายเป็นที่สุดท้ายก่อนจะถึงด้านบน เพราะน่านี้ไม่มีนักท่องเที่ยวทำให้ร้านค้าปิดเป็นส่วนใหญ่ เหลือแค่ไม่กี่ซำ เลยแวะทานข้าวกันเลยละกัน เพราะไม่งั้นเที่ยงต้องหิวแน่ ๆ อาหารแนะนำคือ มาม่าผัด มาม่าต้ม เพราะอร่อยดีกินมาแล้ว ราคาเสนออยู่ที่ 45 บาท น้ำอัดลมขวดละ 25 บาท เป็นไงล่ะยังไม่ทันครึ่งทางของเริ่มแพงขึ้นแล้ว ถ้าจะแบกน้ำเป็นลิตร ๆ ขึ้นมาดื่มเอง ขอเตือนว่าอย่าเลย ใช้เงินแก้ปัญหาดีกว่า TT
กินข้าวเสร็จก็เดินต่อกันเลยยาว ๆ เป้าหมายอยู่ที่หลังแปร คือแบบเส้นทางนี้ไม่ได้ถูกทำเมื่อเพื่อพวกเราจริง ๆ เหนื่อยมาก หนักหนาสาหัส หิน ดิน โคน ปูน มีหมด เดินกันจนน่องแข็ง ยิ่งคนเท้าแบนด้วยนะ ไปตั้งแต่ซำแรกแล้ว ขนาดฝนยังไม่ตกก็ลื่นกันได้ หินก้อนที่คุณเหยียบอาจจะมั่นคง แต่อย่ามั่นใจว่าหินต่อไปจะทำให้คุณไม่ลื่น 55555
เดินขึ้นมาเรื่อย ๆ จะพบ ซำกกหว้า บรรยากาศเงียบเหงา วังเวง น่ากลัวมาก พวกเราเลยวิ่งเลยจ้า เดินผ่านได้แต่อย่าหันกลับไปมอง นี่คือคติเมื่อผ่านซำนี้ ด้วยความที่พวกเราหลอนกันไปเอง 5555 เดินขึ้นต่อมาเรื่อย ๆ จะเป็นซำกกไผ่ แล้วก็ซำกกโดน บริเวณซำกกโดนจะมีห้องน้ำให้เข้า ใครปวดนิดหน่อยก็เข้าเถอะ เพราะหลังจากนี้สาหัส กว่าทางที่ผ่านมาหลายเท่า บริเวณนี้จะมีที่พักของพี่ทหารที่ประจำอุทยาน ฯ อยู่ด้วย ปลอดภัยหายห่วง แค่เราพักแปบเดียว พี่ลูกหาบก็แซงเราแล้วจ้า อย่างว่าพี่เค้าชินสนาม เราแค่มือสมัครเล่น หนูไม่ไหวแล้ววว TT

เมื่อคุณเดินขึ้นไปเรื่อย ๆ จะพบซำแคร่ เป็นที่พักเล็ก ๆ มีแคร่เต็มไปหมดสมชื่อ
มาค่ะ ณ จุด ๆ นี้ ให้เดินกลับก็ไม่ได้ เดินต่อไปเท่านั้น เส้นทางหลังจากนี้จะเป็นการปีนหิน ที่ชันขึ้นเรื่อย ๆ โหดมากสำหรับพวกเรา ใช้เวลาในช่วงนี้นานมาก เพราะเนื่องจากต้องปีนขึ้นบันได และทางชันจริงๆ แต่คุณไม่ต้องห่วงอีกไม่นานคุณก็ถึงหลังแปรแล้ว ระยะทางไม่ไกล แต่ใช้เวลาพอ ๆ กับช่วงที่ไกล ๆ เลยแหละ
ความรู้สึกแรกที่ขึ้นมาถึงหลังแปรได้คือ เย้! กุถึงเส้นชัยละโว้ยยยย แต่ใครจะไปรู้คุณต้องเดินเท้าบนทางราบอีก 3.5 กิโลเมตร เพื่อไปให้ถึงบริเวณที่พัก ซึ่งเค้าเรียกกันว่า “วังกวาง”

ทางเดินไปวังกวางนี่ร้อนใช่เล่นเนื่องจากจะไม่มีต้นไม้บังแดดเลย เดินไปเดินมาฝนดันตกอีก โอ้วววววว เสื้อฝนจ๋า กางมันออกมา แล้วคุณเชื่อไหม พวกเราต้องเดินตากฝนไปจนถึงที่พัก ระยะทาง 3 กิโลเมตรกว่า ๆ บรรเทิงเลยทีนี้ 5555 แต่ต้นไม้สวยดี อารมณ์ประมาณเดินผ่านป่าสน จะมีต้นไม่ใหญ่ ๆ เป็นช่วงๆ

และแล้วก็เดินทางมาจนถึง วังกวาง เวลา 14.30 น. รวมเวลาทั้งสิ้น 7 ชั่วโมง รวมเวลาตีป้อมบนภูไป 1 ชั่วโมง ที่พักกลางเขาจะเป็นทุ่งหญ้ากว้าง ๆ เหมาะสำหรับกางเต็นท์มาก ๆ ในน่าเทศกาลสามารถรองรับได้ถึง 5000 คน แต่วันนี้ไม่รู้ขึ้นมาบนภูถึง 50 คนหรือเปล่า 55555 พอมาถึงก็เช็คอินเลยจ้า โดยการยื่นบัตรประชาชน และแนบบัตรที่ซื้อตั้งแต่ทางเข้าอุทยาน ฯ เลย อย่าให้หายเลยนะเก็บไว้ให้ดี

( บัตรเข้าอุทยาน ฯ )
หลังจากนั้นก็ไปที่พักกันเลย บ้านเอพริล 6 ของพวกเรา บรรยากาศดีมาก แต่ค่อนข้างเดินไปไกลนิดหน่อย ถ้าจะไปกินข้าว เพราะมันอยู่คนละทางกัน แต่ยังไงก็เดินถึงกันได้สบาย ๆ ระหว่างทางบนภูกระดึงนี้ให้ระวังไว้เลย ทาก พร้อมจะโจมตีคุณทุกเมื่อ!

( ไม่ได้ถ่ายภาพบ้านพักมาแต่สามารถเข้าไปดูในเว็บไซต์อุทยาน ฯ ได้ )
แต่นาทีนี้หิวไม่ไหวแล้ว เลยกินข้าวกันเลยตั้งแต่บ่ายสาม อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ตอนแรกว่าของจะแพงขึ้นเรื่อย ๆ ของข้างบนนี้แพงมาก ๆ แต่เหนือของแพง ยังมีน้ำใจคนที่ให้ราคามากกว่าข้าว เราแวะกินข้าวที่ร้านภูกระดึง คุณป้าเจ้าของร้านใจดีมาก ให้คำแนะนำต่าง ๆ ได้ดี มีการให้นามบัตรมาด้วยบอกว่าถ้าไปเดินป่า แล้วเจอช้าง โทรได้เลยค่ะลูก เดี๋ยวจะมีทหารไปรับ เพราะบนนี้สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือ พวกเราเอง 5555 ล้อเล่น! คือ ช้าง แป๋น ๆ
[CR] บันทึกไม่ลับภูกระดึงหน้าฝน 2018
วันนี้จะมาเล่าประสบการณ์การเดินทางมาเที่ยว ณ อุทยานแห่งชาติภูกระดึงจังหวัดเลย เป็นเวลา 3 วัน 2 คืนให้ทุกคนได้ฟังกัน ขอบอกไว้ก่อนเลยนี่ไม่ใช่คำแนะนำหรือรีวิวในการเดินทาง แต่ถ้าใครสามารถนำไปปรับใช้ได้ ก็ยินดีเพราะคิดว่าน่าจะมีประโยชน์พอสมควร
หลังจากได้ยินชื่อเสียงของอุทยานแห่งชาติแห่งนี้มานาน ทำให้อยากจะมาสักครั้งก่อนที่จะอายุมากไปกว่านี้ จึงนัดเพื่อนๆ 5 คนมาผจญความสนุกด้วยกัน บังเอิญว่าเพิ่งปิดเทอมเลยมีโอกาสได้มาช่วงกลาง ๆ เดือนพฤษภาคม
พวกเราจึงตัดสินใจเดินทางมาในช่วงที่เกือบจะปิดอุทยาน อุทยานจะปิดวันที่ 31 พฤษภาคม เพื่อให้ธรรมชาติได้ฟื้นฟูตัวเอง และเข้าใกล้ช่วงหน้าฝนพอ ล็อควันเรียบร้อยได้เป็น ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ จองตั๋วกันเลย
จากสภาพอากาศที่เจออยู่ที่กรุงเทพเลยคิดไว้แล้วว่าน่าจะต้องเตรียมใจกับฝนแน่ๆ แต่ในเมื่ออยากไปแล้วก็ต้องไป เสื้อฝนนี่ซื้อเตรียมไว้เลย ต้องใช้แน่นอน
GO GO GO!!!!!
เราเลือกเดินทางมากับรถทัวร์ ของบริษัท Sunbus เนื่องจากถามรีวิวเพื่อนคนที่เคยมาบอกว่ารถสภาพดี บริการประทับใจสุดๆ นี่เลยโอเคเชื่อ!!! จอง หมอชิต – ผานกเค้าโดยเลือกรอบ 22.00 น. จะได้ถึงผานกเค้าเช้าพอดี
หยิบเงินใส่กระเป๋ามา 1500 บาท สำหรับการเดินทางทริปนี้โดยไม่รวมค่ารถทั้งไปและกลับ ถ้าคุณคิดว่าพอ คุณคิดผิดค่ะ! เล่าไว้ก่อนเลยว่าของด้านบนแพงมาก นอกจากจะยิ่งสูงยิ่งหนาวแล้วยิ่งแพงด้วยจ้าพี่น้อง ก็เพราะเค้าต้องใช้ลูกหาบหาบของขึ้นไปขายน่ะสิ กิโลหนึ่งก็หลายบาทอยู่ เลยทำให้ของแพง เตรียมไว้สัก 2000 กำลังดี ไม่ขาดไม่เกิน สบายใจได้
มาถึงหมอชิต 21.10 น. รอเพื่อนไปเอาของเนื่องจากนางลืมเอาไว้บนรถ นางกลับมาพร้อมไม้เท้า นี่ก็คิดในใจ จะเอามาทำเพื่อ แก่เวอร์ ยังไม่พอ นางหยิบสายศิลป์จากการยกช่อฟ้าสร้างโบสถ์มาให้ด้วยคนละเส้น ไม่ได้ใส่ที่แขนนะ คล้องคอเลยจ้า เออ! สบายใจละ พร้อมเวอร์สำหรับการเดินป่าครั้งแรกของพวกเรา
วันแรก
ออกเดินทางจากหมอชิตตอน 22.00 น. ถึงผานกเค้าบริเวณร้านเจ๊กิม เวลา 04.40 น. เชื่อม้ะหลับตลอดทางตื่นอีกทีก็ถึงละ นี่โฆษณาไม่ได้ค่าคอมนะ มีแต่เสียตังค์ แต่เอาเถอะสบายจริงๆ ก็ล้างหน้าแปรงฟัน ทานข้าวเช้าตรงร้านเจ้แกได้เลย ตี 05.30 น. ก็ออกเดินทางด้วยรถแดง ราคาต่อรอบ 300 บาท จำนวนคนเท่าไรก็ค่อยหารกันเอง นี่มากัน 5 คนอย่างที่บอก เลยไปชวนพี่ที่เค้ามาเที่ยวนั่งไปด้วยกันอีก 4 คน ใครจะไปรู้ว่าคนที่นั่งไปด้วยกันเนี่ยสุดท้ายลุยด้วยกันทั้งภู
(ภาพผานกเค้า)
ไม่นานก็มาถึงอุทยานแห่งชาติภูกระดึงต้องจ่ายตังค์ตั้งแต่ทางเข้าเลยจ่ะ คนละ 40 บาทบรรยากาศคือดี เย็นสบาย แวดล้อมไปด้วยต้นไม้
(ขอถ่ายรูปกับป้ายอุทยาน ฯ สักนิด)
รอเวลา 07.00 น. ก็ไปจองที่พักตรงนั้นได้เลย เนื่องจาก มากัน 5 คน เจ้าหน้าที่เลยแนะนำบ้านพักให้ เป็นบ้านเอพริล6 สามารถนอนได้ 6 คนมีห้องน้ำในตัว ที่นอน หมอน ผ้าห่ม มีพร้อม ไฟฟ้ามีแค่ไฟหน้าบ้าน ไฟในบ้าน และไฟในห้องน้ำ เปิดตอน 18.00 น.-22.00 น. เท่านั้น!!! ไม่มีปลั๊กให้ใดใดทั้งสิ้น ราคาประทับใจพอได้ 1000 บาท/คืน พอขึ้นไปด้านบนคิดถูกจริง ๆ ที่เลือกนอนบ้านเป็นหลัง ใครมากรุ๊ปประมาณนี้ก็เหมาะเลย
** ปล.หากอยากถามเรื่องที่พักโทรเลยค่ะ เบอร์อุทยานฯ 042-810834 **
เอาล่ะเมื่อทุกอย่างพร้อม เราก็พร้อมก้าวเท้าขึ้นภูเลยจ้า ออกเดินทาง 07.30 น. ขอบอกไว้ก่อนทริปนี้เรามากัน 5 คน แล้วก็ได้เพื่อนตั้งแต่ร้านเจ๊กิมอย่างที่บอก อีก 4 คน เป็นพี่ ๆ ที่มาเที่ยวเหมือนกัน พี่ ๆ เค้าเคยขึ้นกันมาก่อนแล้วจำนวนรอบที่ขึ้นก็แตกต่างกันไป 6 รอบบ้าง 2 รอบบ้าง เลยยิ่งอยากรู้ข้างบนมีอะไรถึงดึงดูดใจให้พี่ ๆ กลับมาอีกครั้ง
ก่อนจะเดินขึ้นอย่าลืมเอาสัมภาระไปให้ลูกหาบแบกขึ้นนะ เพราะถ้าไม่ไหว อย่าฝืน 5555 ราคาตกกิโลกรัมละ 30 บาท โดนกันไปจ้าคนละ 5 กิโล 150 บาทตั้งแต่ยังไม่ได้ขึ้นภู อีกสิ่งหนึ่งที่ควรมีเลยก็คือ เสื้อกันฝน และถุงกันทาก หาซื้อได้ตรงร้านค้าแถวนั้นเลย มีพร้อม! ก่อนจะเดิน ห้าม ลืมหยิบไม้เท้าผู้พิชิตที่ตีนภูเด็ดขาด มันช่วยได้ดีมาก ๆ
เอาล่ะค่ะ เริ่มเดิน!!!!
เดินมาได้ 300 เมตร บอกเพื่อน มุง! กลับเถอะ อิผี เหนื่อย! นี่คือคิดมาตลอดว่าแบบว้าวว! เดินชมธรรมชาติภายใต้ร่มไม้สวยงาม ดินราบเรียบ โอ๊ยมุงคะ เนินมาละค่ะ ทางชันขึ้นประมาน 60 องศา ขานี่อุตส่าเทรนมาบ้างแล้วนะ ล้าไม่เหลือความแข็งแรง ดีนะมีคนทิ้งไม้ไผ่ผู้พิชิตไว้ข้างทางเลยหยิบมาใช้ต่อ เดินไปเดินมาสักพัก เมื่อไรจะถึงฟ้ะ ซำแรกเมื่อไรจะถึง ในใจนี่คือโอ้ยยย กุจะตายแล้วววว
แต่ปลายทางนั้นต้องมีเส้นชัยค่ะหัวหน้า ถึงแล้วพี่น้อง!!!
ซำแฮก – เหนื่อยแฮกๆสมคำล่ำลือเลยอิเวง จัดเลยจ้า โค้กกับน้ำแข็ง และแตงโม 1 ชิ้น พักกันสักครู่ เลยแวะถ่ายรูปสักหน่อย เชื่อม้ะกางเต๊นท์นอนตรงนี้เลยได้ป่ะ ไม่ขึ้นละพี่น้อง บรรยากาศก็ดีแถมมีของกินให้ด้วย นี่ถ้ามีห้องน้ำแบบด้านล่างอุทยาน ฯ จะดีมาก
แต่นี่เพิ่งจะได้แค่ 1 กิโลเมตรเท่านั้น ยังอีกเยอะ พักพอหายเหนื่อยก็เดินกันต่อเลยย
ไม่มีอะไรพิเศษเลยข้างทางมีแต่ป่า ดิน หิน และต้นไผ่ เดินกันไปเล่าเรื่องโน้น เรื่องนี้กันไป จนไม่มีอะไรจะเล่าละ เปิดเพลงเลยจ้า สนุก ๆ ท่ามกลางความเงียบของป่า เงียบเกิน! ฟังจนเปลืองแบตเปลี่ยนมาเป็นต่อเพลงแทน นอกจากจะแหกปากลั่นป่าแล้ว ยังต้องคิดเพลงอีกอิบ้า เหนื่อยคูณสองไปเลย คุณไม่ต้องอายที่จะเปล่งเสียงอันไพเราะของคุณ เพราะตอนนี้ไม่มีใครอยู่กับคุณเลย อยู่กัน 5 คน คนอื่นเค้าแซงกันไปหมดแล้ว 5555
ซำต่อไปที่คุณจะเจอก็คือ ซำบอน ซำกกกอก และซำกอซาง
ซำกอซางที่แห่งนี้แหละจะมีของกินขายเป็นที่สุดท้ายก่อนจะถึงด้านบน เพราะน่านี้ไม่มีนักท่องเที่ยวทำให้ร้านค้าปิดเป็นส่วนใหญ่ เหลือแค่ไม่กี่ซำ เลยแวะทานข้าวกันเลยละกัน เพราะไม่งั้นเที่ยงต้องหิวแน่ ๆ อาหารแนะนำคือ มาม่าผัด มาม่าต้ม เพราะอร่อยดีกินมาแล้ว ราคาเสนออยู่ที่ 45 บาท น้ำอัดลมขวดละ 25 บาท เป็นไงล่ะยังไม่ทันครึ่งทางของเริ่มแพงขึ้นแล้ว ถ้าจะแบกน้ำเป็นลิตร ๆ ขึ้นมาดื่มเอง ขอเตือนว่าอย่าเลย ใช้เงินแก้ปัญหาดีกว่า TT
กินข้าวเสร็จก็เดินต่อกันเลยยาว ๆ เป้าหมายอยู่ที่หลังแปร คือแบบเส้นทางนี้ไม่ได้ถูกทำเมื่อเพื่อพวกเราจริง ๆ เหนื่อยมาก หนักหนาสาหัส หิน ดิน โคน ปูน มีหมด เดินกันจนน่องแข็ง ยิ่งคนเท้าแบนด้วยนะ ไปตั้งแต่ซำแรกแล้ว ขนาดฝนยังไม่ตกก็ลื่นกันได้ หินก้อนที่คุณเหยียบอาจจะมั่นคง แต่อย่ามั่นใจว่าหินต่อไปจะทำให้คุณไม่ลื่น 55555
เดินขึ้นมาเรื่อย ๆ จะพบ ซำกกหว้า บรรยากาศเงียบเหงา วังเวง น่ากลัวมาก พวกเราเลยวิ่งเลยจ้า เดินผ่านได้แต่อย่าหันกลับไปมอง นี่คือคติเมื่อผ่านซำนี้ ด้วยความที่พวกเราหลอนกันไปเอง 5555 เดินขึ้นต่อมาเรื่อย ๆ จะเป็นซำกกไผ่ แล้วก็ซำกกโดน บริเวณซำกกโดนจะมีห้องน้ำให้เข้า ใครปวดนิดหน่อยก็เข้าเถอะ เพราะหลังจากนี้สาหัส กว่าทางที่ผ่านมาหลายเท่า บริเวณนี้จะมีที่พักของพี่ทหารที่ประจำอุทยาน ฯ อยู่ด้วย ปลอดภัยหายห่วง แค่เราพักแปบเดียว พี่ลูกหาบก็แซงเราแล้วจ้า อย่างว่าพี่เค้าชินสนาม เราแค่มือสมัครเล่น หนูไม่ไหวแล้ววว TT
เมื่อคุณเดินขึ้นไปเรื่อย ๆ จะพบซำแคร่ เป็นที่พักเล็ก ๆ มีแคร่เต็มไปหมดสมชื่อ
มาค่ะ ณ จุด ๆ นี้ ให้เดินกลับก็ไม่ได้ เดินต่อไปเท่านั้น เส้นทางหลังจากนี้จะเป็นการปีนหิน ที่ชันขึ้นเรื่อย ๆ โหดมากสำหรับพวกเรา ใช้เวลาในช่วงนี้นานมาก เพราะเนื่องจากต้องปีนขึ้นบันได และทางชันจริงๆ แต่คุณไม่ต้องห่วงอีกไม่นานคุณก็ถึงหลังแปรแล้ว ระยะทางไม่ไกล แต่ใช้เวลาพอ ๆ กับช่วงที่ไกล ๆ เลยแหละ
ความรู้สึกแรกที่ขึ้นมาถึงหลังแปรได้คือ เย้! กุถึงเส้นชัยละโว้ยยยย แต่ใครจะไปรู้คุณต้องเดินเท้าบนทางราบอีก 3.5 กิโลเมตร เพื่อไปให้ถึงบริเวณที่พัก ซึ่งเค้าเรียกกันว่า “วังกวาง”
ทางเดินไปวังกวางนี่ร้อนใช่เล่นเนื่องจากจะไม่มีต้นไม้บังแดดเลย เดินไปเดินมาฝนดันตกอีก โอ้วววววว เสื้อฝนจ๋า กางมันออกมา แล้วคุณเชื่อไหม พวกเราต้องเดินตากฝนไปจนถึงที่พัก ระยะทาง 3 กิโลเมตรกว่า ๆ บรรเทิงเลยทีนี้ 5555 แต่ต้นไม้สวยดี อารมณ์ประมาณเดินผ่านป่าสน จะมีต้นไม่ใหญ่ ๆ เป็นช่วงๆ
และแล้วก็เดินทางมาจนถึง วังกวาง เวลา 14.30 น. รวมเวลาทั้งสิ้น 7 ชั่วโมง รวมเวลาตีป้อมบนภูไป 1 ชั่วโมง ที่พักกลางเขาจะเป็นทุ่งหญ้ากว้าง ๆ เหมาะสำหรับกางเต็นท์มาก ๆ ในน่าเทศกาลสามารถรองรับได้ถึง 5000 คน แต่วันนี้ไม่รู้ขึ้นมาบนภูถึง 50 คนหรือเปล่า 55555 พอมาถึงก็เช็คอินเลยจ้า โดยการยื่นบัตรประชาชน และแนบบัตรที่ซื้อตั้งแต่ทางเข้าอุทยาน ฯ เลย อย่าให้หายเลยนะเก็บไว้ให้ดี
( บัตรเข้าอุทยาน ฯ )
หลังจากนั้นก็ไปที่พักกันเลย บ้านเอพริล 6 ของพวกเรา บรรยากาศดีมาก แต่ค่อนข้างเดินไปไกลนิดหน่อย ถ้าจะไปกินข้าว เพราะมันอยู่คนละทางกัน แต่ยังไงก็เดินถึงกันได้สบาย ๆ ระหว่างทางบนภูกระดึงนี้ให้ระวังไว้เลย ทาก พร้อมจะโจมตีคุณทุกเมื่อ!
( ไม่ได้ถ่ายภาพบ้านพักมาแต่สามารถเข้าไปดูในเว็บไซต์อุทยาน ฯ ได้ )
แต่นาทีนี้หิวไม่ไหวแล้ว เลยกินข้าวกันเลยตั้งแต่บ่ายสาม อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ตอนแรกว่าของจะแพงขึ้นเรื่อย ๆ ของข้างบนนี้แพงมาก ๆ แต่เหนือของแพง ยังมีน้ำใจคนที่ให้ราคามากกว่าข้าว เราแวะกินข้าวที่ร้านภูกระดึง คุณป้าเจ้าของร้านใจดีมาก ให้คำแนะนำต่าง ๆ ได้ดี มีการให้นามบัตรมาด้วยบอกว่าถ้าไปเดินป่า แล้วเจอช้าง โทรได้เลยค่ะลูก เดี๋ยวจะมีทหารไปรับ เพราะบนนี้สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือ พวกเราเอง 5555 ล้อเล่น! คือ ช้าง แป๋น ๆ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น