ผู้หญิงถามเกย์ค่ะ ทำไมเขาต้องหรอกตัวเองด้วยคะ เราผิดเองที่ให้โอกาสเขาเข้ามาทำให้เราสับสน ช่วย Wake Up! ชะนีทีค่ะ

คือเรื่องเป็นอย่างงี้ค่ะ
มีเกย์มาจีบเรา โดยที่เราก็รู้ว่าเขาเป็นเกย์ค่ะ เขาบอกเราตั้งแต่แรก

เราดันไปตอบกระทู้เรื่องความสัมพันธ์ของเกย์กับผู้หญิงนี่แหละเมื่อนานมาแล้ว (ใช้แอคเคาท์อมยิ้ม) เราตอบดีดูจริงใจมั้ง เลยมีเกย์ติดต่อมาคุยกับเราเฉย เราไม่ได้ประกาศเปิดรับเกย์เป็นแฟนบังหน้านะคะ เราแค่พยายามตอบไปในมุมมองของเรา แถมยังบอกให้พวกเขาพยายามยอมรับตัวเอง และลองเปิดเผยกับคนรอบข้างให้ได้ดูดีกว่า ถ้าวันหนึ่งเกิดรักผู้หญิงขึ้นมาจริงๆ ก็เป็นอีกเรื่อง เราเชื่อว่าความรักมันไม่จำกัดเพศสภาพ

ช่วงนั้นที่กระทู้ยังสดๆ ร้อนๆ ติดกระทู้แนะนำ
จขกท.ยังเคยหลังไมค์มาหาเราด้วยซ้ำ
แต่เรานี่ปฏิเสธไปหมดแทบจะทันควันเลย ไม่คุยสานต่อใดใดกับใคร
แต่เวลาผ่านไปเป็นปีมั้ง มีเกย์คนหนึ่งทักมาหาเรา
บอกจุดประสงค์ว่าอยากสร้างครอบครัวกับผู้หญิงจริงๆ
ไม่รู้นึกยังไง จู่ๆ ก็ใจอ่อนยอมคุยกับพี่คนนี้ดู คิดแค่ว่าเผื่อได้เพื่อนเฉยๆ
พอคุยทำความรู้จักกัน ตอบหลังไมค์คล้ายๆ เขียนจดหมายคุยกันอยู่นาน
ตอบกันไปมาสัปดาห์ละครั้งอยู่ 2-3 เดือนเลยนะ
เค้าก็เอ่ยปากชวนไปดูหนัง แล้วให้ไอดีไลน์กับเรา
นี่ก็แอดไป และตกลงไปเจอกันจริงๆ
คือสเตปนี่เหมือนชายหญิงจีบกันอ่ะค่ะ
แต่แค่ไม่ได้มีความรู้สึกในเชิงชู้สาว

ปัจจุบันอยู่ในสถานะคนคุย เจอกันแล้ว 2 ครั้ง
ยอมให้เขาขับรถมาส่งที่บ้านตั้งแต่เจอกันครั้งแรก
เราค่อนข้างแมนๆ จริงใจนะคะ เปิดเผยเรื่องของเราเองแทบทุกอย่างเลย
พยายามจะหาคำตอบ ที่เขาเป็นคนเริ่ม

ลึกๆ เรารู้สึกแหละว่า เราไม่มีแรงดึงดูดระหว่างกันเลย
ถ้าคิดจะรอให้เป็นไปตามธรรมชาติ ปีนึงก็ไม่มีทางจะสนิทกันค่ะ
เพราะมันไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่เป็นธรรมชาติมาตั้งแต่ต้น
พอคุยทำความรู้จักก็บังเอิญมีพื้นเพที่ใกล้เคียงกัน
แต่ชีวิตเขาค่อนข้างประสบความสำเร็จกว่าเราค่ะ
ชีวิตเรายังลุ่มๆ ดอนๆ อยู่เลย

ขอเกริ่นย้อนถึงตัวเราหน่อยนะคะ
เราเองเป็นผู้หญิง ชอบผู้ชายแต่ไม่เคยยอมตกลงเป็นแฟนกับใครจนอายุก็ปาไป 30 ละ
เรายอมรับว่าเรามีปัญหาแหละค่ะ เราอึดอัดกับความสัมพันธ์ชายหญิงมากกกกก
และอีกรสนิยมหนึ่งเราเป็นสาววายค่ะ สาววายยุคใต้ดิน
ยุคก่อนยุคกวาดล้างการ์ตูนวายในร้านการ์ตูน-งานสัปดาห์หนังสือ
ปัจจุบันนี่น่าจะเรียกยุคเสรีของสาววาย
ซึ่งเราค่อนข้างสัมผัสได้ถึงความพาฝัน ยัดเยียดจิ้นวาย
ขออภัยที่เราไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เราชอบจิ้นเองมากกว่า
ที่เล่ามาเพื่อจะบอกว่าเราคลั่งไคล้เกย์แบบจริงจัง
เราดูซีรี่ย์ Queer as Folk เราดูรายการ Queer Eye
เราอ่าน Rainbow Boys เราดูหนังเกย์แทบทุกเรื่อง
หนังหรือซีรี่ย์ฝรั่งที่มีความ Bromance เราจิ้นหมดถ้ามีเชื้อมาให้เรา
เราก็มีความสุขในมุมของเราแบบไม่ได้เดือดร้อนใคร

มันน่าขนลุกใช่ไหมคะ ฮาาา ที่น่าขนลุกกว่าคือ
เคยมีครั้งหนึ่งเราได้ก้าวข้ามเส้นไปจนถึงขั้นรักเกย์จริงๆ
เกย์คนนั้นลุคบอยๆ แต่ก็ออกสาวกว่าคนปัจจุบันที่คุยอยู่
นางเป็นลีดฯ คณะ หน้าตาแบบลูกเสี้ยว หล่อมากจริงๆ ฮาาา
เป็นเพื่อนคณะเดียวกัน ต่างเอก เราชอบเขาในอารมณ์เหมือนเป็นติ่งศิลปิน
เราไม่ได้เปิดเผยสารภาพออกตัวว่าชอบต่อหน้าเจ้าตัวค่ะ
แต่เราอาการออก จนเพื่อนในเอกเรารู้หมด บางคนถึงขั้นร่วมสนุกช่วยสืบข่าว
รายงานความเคลื่อนไหวของเพื่อนเกย์คนนั้นให้เราทราบ
จริงๆ อีกนิดก็ใกล้เคียงกับคำว่าสตอล์กเกอร์อยู่ละ
แค่ไม่เคยคุกคาม หรือจู่โจม ตามติดตลอดเวลาขนาดนั้น
ก็แค่ปลื้มอยู่ไกลๆ ไม่ได้ต้องการให้เขารู้ ไม่ได้อยากให้ตอบรับ
แต่เรารู้สึกผิดนะ ไม่กล้าไปตีซี้เป็นเพื่อนหรือเข้าไปมีตัวตนในชีวิตเขา
เราแค่อยากบังเอิญเจอเขาทุกวันเฉยๆ
พูดตามตรงว่าตอนนั้นมีพลังรักล้นปรี่มีความสุขมากๆ

แต่มีอยู่วันหนึ่งที่เกิดรู้ตัวว่าถลำลึกไปมากแล้วจริงๆ
เราคิดว่าเราเป็นถึงขั้น 'เชอร์รี่' ไปแล้วแหละ
เราไม่ได้รู้สึกอะไรเลยนะที่เขามีแฟนเป็นผู้ชาย มีชีวิตรักของเขาอ่ะ
แต่เรากลับมารู้สึกถึงความไกลห่างแม้จะอยู่ในห้องแคบๆ ด้วยกัน
จู่ๆ ก็รู้สึกอกหักเฉยๆ เศร้าแบบช็อคเรียนคาบต่อไปไม่รู้เรื่อง หัววิ้งค์ไปหมด
กลับหอไปร้องไห้ แถมบอกใครก็ไม่ได้ รักต้องห้าม
เพิ่งรู้ว่าตัวเองแอบรักเขาไปเกินกว่าแค่ติ่งแล้ว ก็ต้องดึงตัวเองถอยกลับมา
เลิกตามติ่งเขาไปเป็นเดือนๆ เพื่อทำใจ
แต่ก็กลับมาเป็นแฟนคลับเขาต่อได้ แฮปปี้เหมือนเดิม

แล้วพักหลัง พอคนเริ่มรู้เรื่องที่เราชอบเขาเยอะขึ้น
มันก็จะมีผู้หวังดีที่เราไม่ต้องการ เราไม่ค่อยโอเคเลยที่มีคนมองความรักของเราเป็นเรื่องตลก สุดท้ายก็เอาเรื่องไปบอกเจ้าตัว ซึ่งพอเขาเริ่มรู้ เขาคงจะหลอนนะคะ ทั้งที่ปีหลังๆ เราแทบไม่ได้เจอเขาเลย เพราะยากจะบังเอิญเจอ มันต้องเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ ละ ไม่ใช่แบบตั้งใจให้เป็นความบังเอิญ ฮาาา แต่สุดท้ายก็ยังจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง ได้รวบรวมความกล้าไปขอถ่ายรูปรับปริญญากับเค้า มีเพื่อนที่รู้จักพาไป ถ่ายกันสามคน ไม่ได้ถ่ายคู่ด้วย แค่นั้นเราก็ฟินแล้ว มิสชันคอมพลีท เรียบจบก็จากกันไปใช้ชีวิต และทำงานในสายของตัวเอง จึงห่างหายไม่ได้ข่าวเขาอีกเลย แล้วเราก็ใช้ชีวิตเรื่อยๆ เรียบๆ ของเรามา รักไม่ยุ่งมุ่งทำแต่งาน พับความคิดจะรักเกย์ อยู่กับความจริง

แต่บอกตามตรงนะคะ ตั้งแต่หลวมตัวไปเจอพี่เกย์คนล่าสุดที่คุยกันอยู่ในปัจจุบันนี้
เรารู้สึกถอนหายใจถี่มากเลยค่ะ ยังไม่ได้หลงรักเขาอะไรหรอกนะคะ
เขาก็ดูรวมๆ โอเคหมด เราเองเป็นตัวของตัวเอง แต่ก็ระวังตัว ระวังใจอยู่เยอะเหมือนกัน
ด้วยความเป็นผู้หญิงเนี่ยมันจะคิดข้ามชอตไปไกลมากๆ
เราคิดเยอะ เผื่อใจไว้เยอะมากเลยนะ คิดถึงทุกความเป็นไปได้เอาไว้หมดแล้ว
ว่าเราจะรับได้มั้ยถ้าเรื่องจะเป็นแบบนั้นแบบนี้
เราโอเค ถ้าเป็น Friend with Benefit แล้วมันเวิร์ค
แต่ก็ไม่ถึงกับจะยอมให้ได้ทุกอย่าง ใช้ประโยชน์จากเรา แล้วทิ้งขว้างได้
อย่างน้อยต้องมีหัวจิตหัวใจให้กันบ้างนิดนึง
เราโอเคด้วยซ้ำ ถ้าจะเป็นแบบเรื่องสั้นญี่ปุ่นเรื่อง คิระคิระ เป็นประกาย

อารมณ์ตอนนี้ แม้แต่เราดูหนังด้วยกัน เรายังรู้สึกอึดอัด
เวลาเราจิ้นความรักลูกผู้ชาย Bromance เราก็เกรงใจเขาไปหมด
เราไม่สามารถเมาท์ได้เลย เหมือนเขาไม่อยากให้เราพูดถึงความสัมพันธ์ของเกย์
ชวนดูหนังเกย์ก็ไม่ดูกับเรา เราไม่กล้าถามเรื่องชีวิตเกย์ของเขาเลย
ตอนนี้เหมือนมีแต่เราที่เปิดเผยให้เขารู้จักตัวตนทุกอย่างอยู่ฝ่ายเดียว

เดตสมมติครั้งล่าสุด ก่อนลงจากรถเรารวบรวมความกล้าเปิดประเด็นขึ้นมา
ว่าจริงๆ เขากำลังคิดอะไรอยู่ เขาอึดอัดใจบ้างรึเปล่า เพราะเราเนี่ยกังวลไปหมด
รู้สึกตัวเองทำตัวไม่ถูกว่า เราต้องอยู่ตรงไหนเหรอ
ถ้าคิดจะเป็นพาร์ทเนอร์กันจริงๆ ก็ต้องกล้าจะพูดคุยตกลงกันไปเลยสิ
แต่สุดท้ายเราก็ไม่กล้าถามทุกอย่างที่อยากถามออกไปค่ะ
แค่นี้เขาก็คงคิดว่าเราเริ่มเยอะแล้วล่ะมั้ง มันอาจจะไวเกินกว่าจะถามอะไรลึกๆ

ไม่รู้ว่าเรากำลังทำบ้าอะไรกันอยู่
เราอยากให้มันเกิดจุด conflict ไวไว จะถอยหรือไปต่อ
ไม่ได้ต้องการคำตอบว่าตอนนี้เราสถานะไหน
แค่อยากรู้ว่าเขามีแผนการอะไรต่อไปในอนาคต มันตรงกับเรามั้ย
จะใช้เวลาสร้างความสัมพันธ์กันนานแค่ไหน เวิร์คไม่เวิร์คจะคุยปรับจูนกันยังไง

เราเองตอนนี้ชีวิตยังไม่มั่นคง กำลังพยายามเติบโตในหน้าที่การงาน
ยังไงไม่สามารถวางแผนมีครอบครัวแน่ๆ ในอีก 5 ปีข้างหน้า
แต่เขาพร้อมทุกอย่างแล้ว อายุมากกว่าเรา 10 ปี เราเลยกลัวว่าเขาจะรีบรึเปล่า
คำตอบที่พอจะได้มา คือเป็นเพื่อนพี่น้องกันไปก่อน น่าจะชิวกว่าเราอีก

แต่เป็นเพื่อนกัน มันยังมีเรื่องให้คุยกันทุกวันนะ เล่าสู่กันฟังแทบทุกอย่าง
แต่เขากับเราแทบไม่คุยกันเลย สัปดาห์นึงบางทีอ่านแล้วยังไม่ตอบก็มี
บางทีต้องพยายามเปลี่ยนเรื่องคุยจนกว่าเขาจะตอบ
จนหลังๆ เราก็ปล่อย ไม่ได้เซ้าซี้ ไม่คุยก็ไม่คุย ไม่อยากทำตัวน่ารำคาญ
เขาแทบไม่สื่อสารอะไรให้เรารู้เลย เป็นเกย์เนิร์ดๆ แมนๆ ที่ดูจะไม่เข้าใจผู้หญิงเอาซะเลย
เขาสุภาพ ใจดี แต่ไม่ได้ละเอียดอ่อนอย่างที่ตัวเขาเองคิดว่าเขาเป็น
เราค่อนข้างเซนสิทีฟกันคนละเรื่อง

อย่างเราไม่แต่งตัว จริงๆ ก็แต่งนะแค่ไม่เวอร์
เขาก็บอกว่าเราไม่ได้ขี้เหร่ ให้เรารู้จักแต่งหน้าแต่งตัวหน่อย
เราเลยถามว่าเราต้องสวยเพื่อเขาด้วยเหรอ คือแค่มาดูหนังกันเอง
เราก็แต่งตัวตามกาลเทศะนะ ถ้าออกงานต้องสวยเราก็ต้องแต่งเต็ม
แต่แต่งหน้าเยอะแล้วเราดูแก่ง่ายมาก แต่ผิวเราก็ไม่ดีพอจะไม่แต่งหน้าออกจากบ้านได้นะ
เราชี้แจงไป เขาก็รับฟังนะ เหมือนจะเข้าใจมากขึ้น นี่ก็ยังดีที่ถามที่บอกกัน

แต่เราก็แอบคิดในใจเหมือนกัน ที่เขากล้ามาวิจารณ์ว่าเราไม่เป็นผู้หญิงมากพอ
คือถ้าเราเพอร์เฟ็กผู้ชายรุมจีบ สวยเลือกได้ขนาดนั้น ถามจริงว่าเราจะมาคุยกับเขาทำไม
นี่เราก็คอนทัวร์หน้านะ ไล่มิติ แค่แต่งแบบไม่แต่ง เขาดูไม่ออกเอง เหมือนพวกผู้ชายเลย
อากาศร้อนหน้าเราก็ละลายหมดละ ไม่ได้เติม แล้วความงามก็ต้องใช้เงินจ้ะ
เรายอมรับตอนนี้เราลำบากอยู่ กำลังดิ้นรนให้ชีวิตดีขึ้น
ครีมอย่างมากใช้เจลว่านหางจระเข้

เราก็แมนๆ ลุยๆ ทำอะไรไม่เคยพึ่งใครมาตลอด ไม่คิดจะเกาะใคร
แต่เหมือนเราแอบอยากหนีจากปัญหาที่บ้านเราตอนนี้
พอมีคนเข้ามาเราก็หวังว่าจะเป็นที่พึ่งให้เราได้เท่านั้นเอง

เราว่าเขาค่อนข้างเป็นคนโลกสวยมากๆ ส่วนเราเป็นผู้หญิงที่มีความคิดอ่านเป็นผู้ชาย
ลุคเราเรียบร้อย แต่เป็นคนหัวขบถ อ่อนนอกแข็งในพอสมควร
เราว่าด้วยทัศนคติ ถ้าไม่น่าจะไปด้วยกันได้จริงๆ เราก็คงเทแหละ
หรือบางทีตอนนี้เขาก็อาจกำลังพิจารณาจะเลิกคุยกับเราอยู่ก็ได้
แต่เพราะเราเหมือนยังเป็นตัวเลือกเดียวของกันและกัน เลยยังไม่ได้ตัดขาดกันไป
ตอนนี้เรารอเค้าเป็นฝ่ายคุย ถ้าคุยมาก็คุยแหละ ถ้าไม่ชวนก็จะไม่สานต่อ

ตัวเราชอบการถกกันตรงๆ แบบฝรั่ง
ถึงต่างคนต่างคิดต่างมีเหตุผลเราจะเคารพ
แม้ความคิดจะแตกต่าง ขอแค่ต้องเคลียร์ตกลงกันแล้วจบ
ส่วนเขาเท่าที่เราสังเกตน่าจะชอบเลี่ยงการปะทะ
ไม่ยอมแสดงความคิดเห็นแบบตรงไปตรงมา
ไม่ยอมรับความแตกต่างทางความคิดเท่าไหร่
มี 'สเตอริโอไทป์' มองอะไรด้านเดียว และโลกสวยเอามากๆ
แต่ด้วยความเก่งธุรกิจ และบ้านก็ค่อนข้างมีตังค์มั้ง
ทุกอย่างมันก็ง่ายสำหรับเขา สามารถแก้ปัญหาทุกอย่างด้วยเงิน
ส่วนเราเคยชินกับการแก้ปัญหาด้วยการลงมือทำอย่างยากลำบาก

เท่าที่ทราบที่บ้านเขาเป็นผู้หญิงหมด
เขาสนิทกับแม่ มีพี่สาว 2 คน
เขาเป็นลูกชายคนเล็กคนเดียว คงจะถูกกดดันให้มีทายาทมั้งนะ
เค้าเองไม่ชอบเลี้ยงสัตว์ด้วยซ้ำ ไม่รู้นึกยังไงอยากมีลูก
แฟนหนุ่มเป็นตัวเป็นตนน่าจะไม่มี
น่าจะแค่เปลี่ยนคู่นอนไปเรื่อยๆ เพราะเขาแคร์สังคมรอบข้างเขา
มีเพื่อนสนิทส่วนมากเป็นผู้ชายแท้ เพราะเรียนชายล้วนมา
ซึ่งเขาบอกเห็นเพื่อนเค้ามีลูกกันก็อยากมีบ้างไรงี้

ตอนนี้เราแค่รู้สึกไม่เข้าใจ ไม่มั่นใจในความสัมพันธ์นี้เลย
เราว่าเราไม่ได้คาดหวังให้มันเวิร์คเลยทันทีนะ แต่ก็อดคิดไม่ได้อ่ะค่ะ
ช่วยบอกเราหน่อย ว่าเราควรปล่อยให้มันดำเนินแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ
หรือเราควรคุยยังไงกับเขาดี หรือควรจะพอเถอะ
เราไม่กล้าปรึกษาใคร เพราะคงไม่มีใครเข้าใจเราที่ตัดสินใจทำแบบนี้ตั้งแต่แรก
เราเองอาจเหมือนจะไม่เสียอะไรเลย ณ ตอนนี้ แต่มีความเสี่ยงเสียใจนะ
ยังไม่ถึงขั้นไปสุดทาง หรือวางแผนมีครอบครัว ตอนนั้นสิถึงจะยากที่จะถอยกลับละ

หรือว่าเราควรตะล่อมให้เขารู้ตัว
ว่าทุกอย่างที่มันยากอยู่ตอนนี้ ก็เพราะเขาไม่ยอมรับตัวเองนี่แหละ
พาเราสับสนไปด้วยเลยเนี่ย ยังดีที่เขาไม่ไปหลอกจีบผู้หญิงโดยไม่บอกความจริง
เราเองยังพร้อมเป็นเพื่อนเป็นน้องที่ดีให้เขานะ และยังหวังดีอยากให้เขาเจอผู้ชายดีๆ
แต่ก็สงสัยว่า เราล่ะเป็นอะไรสำหรับเขาเนี่ยตอนนี้ อนาคตอยู่ตรงไหนกัน เฮ้อ

*แก้ไขคำผิด
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าเราเข้าใจคุณมากๆ

ตัวคุณเองก็สับสน ลึกๆ แล้วคุณกำลังจะหลงรักเขาไม่งั้นคงไม่คาดหวังให้มีการพูดคุยปรับตัวเข้าหากัน แต่สมองสั่งว่า “รักไม่ได้” ด้วยเพราะคุณเป็นทั้งสาววายและเคยผ่านความเป็นเชอรี่คุณถึงยั้งใจไว้ระดับหนึ่งเผื่อไว้สำหรับความเป็นไปไม่ได้

สิ่งที่เขาทำกับคุณ (หรือจะเรียกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย) มันเป็นการแสดงความรักของคนที่ไม่ได้รักค่ะ ดูแลเอาใจใส่ตามหน้าที่พื้นฐานที่สุภาพบุรุษพึงกระทำต่อสุภาพสตรีเท่านั้น ไม่มีความพิเศษ ไม่รัก ไม่เกลียด

คุณยังเป็น “คนอื่น” สำหรับเขา เขาไม่เปิดเผยความเป็นส่วนตัวกับคุณเพราะเขาไม่รู้สึกถึงความเป็นพวกเดียวกันเหมือนแก็งค์เพื่อนสาวเม้ามอย และไม่ได้อยากรับทราบตัวตนของคุณเหมือนคนเป็นแฟนกันด้วยค่ะ มันเลยออกมาในแบบมีหรือไม่มีคุณก็ได้ ถ้ามีผู้หญิงคนไหนรับในสิ่งที่เขาเป็นได้แบบคุณแต่คาดหวังในตัวเขาน้อยกว่าคุณ เขาก็ไป

เขาคบคุณเพื่อหวังผลประโยชน์ทางสังคมในแง่การสร้างครอบครัว เป็นเฟอร์นิเจอร์ที่ชื่อว่าภรรยา เป็นเครื่องจักรผลิตลูก เป็นรูมเมท

ตอนนี้เขายังไม่แสดงท่าทีอะไรเพราะพวกคุณเจอกันเฉพาะในเวลาที่พร้อมเจอ แต่อีกหน่อยถ้าแต่งกันไปพวกคุณต้องใช้ชีวิตด้วยกันตลอด ไม่ว่าอยากหรือไม่อยากเห็นหน้าก็ต้องตื่นมาเจอกัน ถึงตอนนั้นเขารำคาญคุณแน่ค่ะ รำคาญที่ต้องมานั่งฟังเรื่องเล่าของคุณทั้งที่ไม่อยากทราบ จะไปมีความสัมพันธ์กับผู้ชายก็ทำไม่ได้เหมือนตอนนี้เพราะสถานะสามีและพ่อมันค้ำคอ

ตัดความคิดเรื่องอยู่ไปก็รักกันออกไปได้เลย เพราะถ้ามีเสี้ยวหนึ่งที่รักหรือด้วยความเมตตาเอ็นดูบ้างเขาจะให้ความสนิทสนมกว่านี้ เมื่อความอึดอัดมันสะสมแน่นอนว่าต้องล้นออกมาในรูปแบบความสัมพันธ์ที่แย่กว่าตอนนี้ และคนเดียวที่เขาจะเอาความเลวร้ายไปลงด้วยได้ก็คือคุณ เพราะไม่ว่าจะเพื่อน แม่ พี่สาว ลูก และผู้คนในชีวิตส่วนตัวของเขา คุณคือคนเดียวที่เขาไม่ได้รัก

ทั้งหมดที่ว่ามาเราคงไม่ฟันธงว่าคุณควรทำยังไงต่อเพราะเราไม่รู้ว่าคุณต้องการอะไรจากความสัมพันธ์นี้ อาจจะเป็นความรักหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่คิดว่าคุณ “หวัง” ไม่น้อยถึงได้ยังสู้ไม่ถอยและพยายามปรับจูนหาทางออก

อยากฝากบอกไว้แค่ว่าการพยายามประคับประคองความสัมพันธ์เป็นสิ่งดีแต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของความจริง ไม่ต้องห่วงค่ะอะไรที่มันแปลกปลอม ไม่ถูกที่ ไม่ถูกคน ใจไม่มีให้กันเดี๋ยวก็ผลักกันออกเองตามธรรมชาติ คุณเองอยู่อย่างภาคภูมิมา 30 กว่าปีคงจัดการกับชีวิตต่อจากนี้ได้ถ้าคิดจะทำ

ใช้สติมาก นะคะ โชคดีค่ะ เป็นกำลังใจให้คุณต่อจากนี้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่