การเมืองเป็นเรื่องไกลตัว.....หรือเปล่า

เคยไหมเวลาที่เราโพสต์ หรือเราพูดถึงเรื่องการเมือง มักจะมีคนมาพูดตักเตือนหรือเหน็บแนมว่า อย่าไปพูดเรื่องการเมืองเลย เอาเวลาไปทำมาหากินดีกว่า จริงๆ ตัวผมเองก็เคยคิดอย่างนี้นะ แต่ผมว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น

ผมว่าเพราะเราถูกปลูกฝังให้คิดกันอย่างนี้ ให้เชื่อฝังหัวมาแบบนี้ เราเลยเมินเฉยไม่สนใจต่อผู้มีอำนาจ มองว่าเป็นเรื่องไกลตัว ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย

เพราะการที่เราวางเฉย เราไม่ใส่ใจมันทำให้ผู้มีอำนาจ หรือผู้ที่อยู่ในวงอำนาจทั้งหลายย่ามใจ และคิดว่าอย่างไรเสียเขาเหล่านั้นก็สามารถที่จะคุมเกมอยู่ จะทำอะไรก็ได้ เพราะอะไรล่ะ ก็เพราะเจ้าของอำนาจที่แท้จริงอย่างพวกเราไม่ใส่ใจ

เราหลงลืมหรือเราไม่ได้ตระหนักกันเลยหรือว่า งบประมาณภาครัฐทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นถนนหนทาง สาธารณูปโภค รวมถึงเงินเดือนข้าราชการทั้งหลาย คือส่วนหนึ่งของเงินรายได้ของเราทุกคน ถึงแม้ว่าคนรายได้น้อยบางคนจะไม่ได้เสียภาษีเงินได้ส่วนบุคคล แต่ภาษีมูลค่าเพิ่มจากการใช้จ่ายก็คือส่วนหนึ่งของรายได้รัฐเช่นกัน

ผมเอยก็เคยมีอคติที่ไปดูหมิ่นดูแคลนคนที่ออกมาประท้วง ออกมาเรียกร้องในเรื่องความเป็นธรรมต่างๆ นานาในสมัยก่อนว่า ทำไมไม่เอาเวลาไปทำมาหากิน ทำไมไม่เอาเวลาไปพัฒนาตัวเอง ตอนนั้นผมเคยคิดอย่างนี้จริงๆ

ณ ขณะนั้นผมไม่เคยตระหนักรู้เลยว่า การใช้จ่ายของรัฐบาลผ่านนโยบายการอุดหนุนในรูปแบบต่างๆ มันมีผลกับชีวิตของคนทุกคน มีผลว่ารูปแบบของโครงสร้างทางสังคมว่ามันจะมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร กล่าวในที่นี้คงจะยาว แต่ผมเพิ่งมาเรียนรู้ว่า เพราะเราถูกสอนมาให้หลีกห่างจากการเมือง ให้เราสงบเสงี่ยมเจียมตัว เชื่องเป็นลูกหมานี่แหละ ที่ทำให้ช่องว่างของรายได้และโอกาสของคนในสังคมมันฉีกห่างขึ้นเรื่อยๆ เหมือนทุกวันนี้ และจะยังเป็นแบบนี้ต่อไป ถ้าเรายังไม่มีการเปลี่ยนแปลง

สิทธิของพลเมืองคนหนึ่งในฐานะผู้จ่ายภาษี ควรได้รับความเคารพพอๆ กับนักธุรกิจรายใหญ่ คนทำงานเป็นลูกจ้างธรรมดาๆ ก็ควรได้รับเกียรติในฐานะปัจเจกชนไม่ต่างจากราชการหรือแม้แต่นายกรัฐมนตรี สิทธิในการพูด การถกเถียงกันด้วยเหตุผลควรจะมีอยู่ในสังคม และทุกคนควรได้รับข้อมูลข่าวสารอย่างรอบด้าน ไม่ใช่เฉพาะกับสิ่งที่ผู้นำหรือผู้มีอำนาจเห็นควรจะให้รับรู้

ผมไม่เชื่อในสังคมที่ทุกคนต้องเห็นพ้องต้องกันไปเสียทุกเรื่อง ความสามัคคีไม่ได้หมายถึงสงบราบเรียบจนเห็นต่างไม่ได้ และในทำนองเดียวกันการที่คนเห็นต่างและถกเถียงกันด้วยเหตุผลไม่ควรจะถูกมองว่าหัวแข็งหรือก้าวร้าว การวิพากษ์วิจารณ์หรือตำหนิประเทศตัวเองไม่ควรถูกมองว่าไม่รักชาติ หรือไล่ให้ไปอยู่ประเทศอื่น

ผมเป็นคนที่มีลูก ผมอยากให้ลูกได้อยู่ในสังคมที่ดี เท่าเทียม หรืออย่างน้อยก็ให้มีความเหลื่อมล้ำน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ถ้าสมมติว่าลูกผมโชคดีอยู่ในสถานะที่ดีในสังคม แต่คนส่วนใหญ่ยังลำบากและยากจน ผมว่ามันก็คงไม่ใช่สังคมที่น่าอยู่นักในแง่ของสวัสดิภาพและการหาฉันทามติร่วมของสังคม
ผมมีความเชื่อแบบนี้และคิดฝันว่าจะได้เห็นว่าสังคมแบบนี้จะเกิดขึ้นกับเมืองไทย ภายในชั่วชีวิตของผม

นี่แหละสาเหตุว่าทำไมเราต้องสนใจการเมืองต้องมีส่วนร่วมกับการเมือง

ปล.ผมชอบคำว่า Active Citizen หรือพลเมือง มากกว่า ประชาชนหรือราษฎรนะ พลเมืองคือพลังของเมือง มันบอกความหมายในตัวของมันชัดเจนดี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่