ชีวิตผมไม่มีอะไรมากครับ ตั้งแต่ 25 ปี เป็นพนักงานประจำ เปลี่ยนงานแล้วเปลี่ยนงานเล่า บางครั้งก็ออกเพราะอารมณ์ สุดท้ายก็เดินเตะฝุ่นซมซานหางานใหม่ วนลูปอยู่แบบนี้ครับ ผ่านไป 5 ปีกับการทำงาน อย่าถามผมเรื่องความรักเลยครับ ลำพักรักตัวเองเอาให้รอดก่อน ฮ่า ๆ มาถึงตรงนี้แล้วอย่าด่าผมในใจสิครับ (ล้อเล่นนะ)
เรื่องราวมากมายที่สะสมกลายมาเป็นประสบการณ์ ดั่งสะสารควบแน่เป็นหยดน้ำ ก่อนหน้านี้เมื่อต้นปีผมเพิ่งลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการบริษัททัวร์มาครับ เอาจริง ๆ ที่ออกก็เพราะหลายเรื่อง ปน ๆ กันไป อกหัก รักคุด ผลประโยชน์ ในสไตล์ของผู้ใหญ่วัยกลางคน แต่ถ้าจะบอกว่าลาออกเพราะความรัก มันก็ฟังดูไร้ความรับผิดชอบยังไงก็ไม่รู้ ก็เลยไม่ออกครับ บวกด้วยจังหวะที่ความรู้สึกต่าง ๆ ถาโถมเข้ามา จนรู้สึกว่าสิ่งที่ทำไปกับเงินที่ได้รับตอนสิ้นเดือนมันช่างไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย ไม่ได้ว่างานประจำไม่ดีนะครับ แต่รู้สึกว่าตัวเองยังทำอะไรได้มากกว่านี้และคู่ควรกับอะไรที่ดีกว่านี้ ก็เลยตัดสินใจลาออกไป แต่ก่อนจะลาออกก็ต้องวางแผนก่อนครับ รออะไร กูเกิ้ลช่วยได้ แต่มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งบอกผมไว้เสมอว่า ‘งานดี ๆ ไม่มีประกาศตามอินเตอร์เน็ต’ ดูเหมือนจะค่อนข้างจริง
เอ้ารออะไร จะดีไม่ดี ตอนนี้กูไม่สนแล้วโว้ย ค่าผ่อนรถ โทรศัพท์ อินเตอร์เน็ต บัตรเครดิต รอเอาเข็มเสียบก้นอยู่ติด ๆ เลยจร้า ผมพูดในใจ สรุปก็มีโอกาสได้ไปเข้าสัมภาษณ์กับบริษัทฝรั่ง ผลคือ … ติดจ้รา ดีใจกระโดดโลดเต้น เงินเดือนอัพเกือบสองเท่า
แต่แล้วโชคชะตาก็ดันมาเล่นตลกกับผม ไม่รู้เห็นผมอารมณ์ไม่ดี หรือหน้าบูด หรือยังไง ทำไมต้องมาเล่นตลกกันด้วย (เกี่ยวไหม) บริษัทที่ผมจะเข้าทำงานใหม่นั้นได้ปิดตัวลง เชรี้ยยยย ลากเสียงยาว ๆ ในใจ แต่ก็พูดออกมาไม่ได้ ด้วยความที่บุคลิกเป็นคนเรียบร้อย เลยต้อง Keep Look ไว้ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่สะทบสะท้าน เพราะ แต่นแต๊น…มีแผนสำรองจร้า ด้วยประสบการณ์การลาออกอย่างบ้าคลั่งที่สั่งสมมา ทำให้เชี่ยวชาญเป็น Expert ด้านการลาออกเป็นพิเศษ สรุปแผนสองก็คือ ไปเป็นไกด์ Freelance รายได้ก็ดี แต่ติดที่ไม่ได้ชอบ แล้วก็ดันไม่รู้ด้วยว่าตัวเองชอบอะไร คือตอนนี้เป้าหมายของการทำงานก็คือเงินอย่างเดียว มันเป็นเรื่องปกติที่มนุษย์ส่วนใหญ่บนโลกนี้เค้าเป็นกัน แล้วไอช่วงที่แสนจะปั่นป่วนนี่แหละ ไม่รู้จะเอาไงดี
นี่ต้องจำใจไปเป็นไกด์จริง ๆ เหรอ ไม่ได้ชอบนะเว้ย แกจะทำได้นานแค่ไหนกัน ผมพูดกับตัวเอง แล้วเสียงสวรรค์ในหัวก็ดังขึ้นมา ‘เห้ย ทำงานที่เก่ามา แกก็ทำอย่างหนัก ไม่ได้หยุดสักวันเลยนะเว้ย ปีนึงหยุดถึง 10 วันเปล่าก็ยังไม่รู้ พักสักหน่อยดีไหม?’ เออ สรุปก็พักนั่นแหละ รออะไร ผมตอบตัวเองในใจ แล้วตอนนั้นก็ดันนึกขึ้นได้ว่าเคยสัญญว่าเราจะเขียนหนังสือ อย่างน้อยเกิดมาต้องมีหนังสือสักหนึ่งเล่มให้ได้ ฮึบ!
ผมเริ่มต้นเขียนหนังสือ ช่วงนั้นคือบ้าอ่านหนังสือพัฒนาตัวเองมาก มีกี่เล่มก็ซื้อมาเท่าที่กระเป๋าสตางค์จะอำนวย โชคดีเป็นคนอ่านไว อ่านครบทุกหน้าจร้า แต่ดูเหมือนว่าแค่อ่านอย่างเดียวมันไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้นเป็นรูปธรรมเลย บางครั้งก็ได้แค่เอาความรู้เหล่านั้นมามะโนเป็นปุยนุ่นไว้ซุกหน้าเวลาเพลียกับปัญหาต่าง ๆ เออ…อย่างน้อยก็ยังดีล่ะวะ ยังดีกว่าเอาหน้าไปซุกกับโขดหินที่ชะอำ(เกี่ยวไหมชะอำ) ตอนแรกก็เขียนอืด ๆ ออด ๆ เขียนได้ดี ได้เยอะ แต่ไม่สนุกเลย ไม่รู้ทำไม คือตอนเขียนก็รู้สึกว่าเขียนดี แต่เอาเป็นว่าไม่น่าสนใจ ก็เลยทิ้งแมร่ง 100 กว่าหน้า A4 Font 14pt… ฮ่า ๆ หลังจากนั้นก็ไม่ได้แตะอีกเลย
หลังจากนั้นก็มีเสียงตามมาหลอกหลอนผมทุกวัน ‘เขียนหนังสือได้แล้ว’ มันมีจริง ๆ นะ แล้วทุกวันด้วย กูเลยตอบไปในใจว่า เออ รู้แล้ว ตอบแบบนี้มาเป็นพันครั้ง แต่ก็ไม่เริ่มเขียนสักที 555 กระทั่งเห็นพี่คนหนึ่งออกหนังสือมา คือแบบว่าดีอ่ะ มีหนังสือของตัวเองด้วย พอได้อ่านข้างในก็เลยรู้สึกมีไฟ หลังจากนั้นก็เขียนเลย บวกกับจังหวะที่ว่างงานไม่มีอะไรทำ ก็เลยเขียนแค่อย่างเดียว เขียนอย่างเดียวจริง ๆ เลย เขียนอย่างบ้าคลั่ง ไม่กินข้าวกินน้ำ หมักหมมกับการพิมพ์หน้าคอมอยู่วันละมากกว่า 12 ชม สุดท้าย เชร้ด 10 วันหนังสือเสร็จ พิมพ์ออกมาได้ 280 หน้า คือ มหัศจรรย์พันล้านแปด
ต่อตอน 2 นะครับ
เชรี้ย! บ่น ตอนที่ 2
อ้าว! แล้วจะเอาไงต่อกับหนังสือล่ะครับ? ผมถามตัวเองในใจ
ก็ขายสิครับ รออะไร อันนี้ก็ตอบตัวเองอีกนั่นแหละ
หลังจากนั้นผมก็ตัดสินใจทำทุกอย่างเอง คำนำ สารบัญ หน้าปก ลืมบอกไป ตอนแรกจะเขียนหนังสือพัฒนาตัวเอง แต่ด้วยไม่อาจยับยังความครื้นเครงในหัวใจ หนังสือเลยออกมาเป็นนิยาย ไม่ใช่นิยายธรรมดาด้วยนะ นิยายวายแนวพัฒนาตัวเอง จะเรียกว่าอะไรดีล่ะ มั่วตั้วไปหมด แต่โดยรวมถือว่าโคตรสนุก ครั้นจะส่งไปสำนักพิมพ์ก็เกรงใจ กลัวเค้าจะหาหมวดที่วางให้ไม่ถูก ลำพังจะให้สร้างหมวดหนังสือใหม่ขึ้นมาบนโลกก็กระไรอยู่ ก็เลยพิมพ์ขายเองเลยครับ รออะไร ประกาศในเฟส พรีออเดอร์ และก็ต้องตกใจ สามวันผ่านไป…เชรี้ย…ไม่มียอดสั่งเลย…ตับห่านฝรั่งเศสเอ้ย!(คำอุทานฟังดูแพงมาก)
แต่ผมไม่ยอมแค่นั้นหรอก ผมยังสปอยหนังสือ เรื่อย ๆ แชร์ซ้ำ ๆ วน ๆ จนมือหงิก แต่ดีที่ไม่ถึงกับง่อย จนมีเหยื่อหลงกล (เอ้ย! เรียกแบบนั้นไม่ได้ดิ) ต้องเรียกผู้มีอุปการคุณ สรุปก็ขายได้ 40 เล่ม และที่ตกใจกว่านี้ ผมขายเล่มละ 500 เฮ้ย

ขายได้เว้ย! เสร็จตูเลย(ล้อเล่นนะครับ) ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก จริง ๆ แล้วการพิมพ์หนังสือเองต้นทุนมันสูงน่ะครับ ราคาก็เลยสูงไปด้วย ตกแล้วกำไรก็น่าจะประมาณเล่มละ 300 บาท ก็เลยมีเงินผ่อนรถเดือนนั้น รอดไปอีกเดือนสิเรา ไม่ใช่รอดธรรมดาด้วยนะ รอดอย่างหวุดหวิด แต่ปัญหามันไม่ใช่แค่เรื่องผ่อนรถหรอกนะครับ มันยังมีอะไรมากกว่านั้น
เมื่อปลายปีที่แล้วผมจองตั๋วเครื่องบินไปกลับ ไทย-ญี่ปุ่นเอาไว้ ประมาณว่า ช่วงนั้นเงินดีและมีแนวโน้มที่จะรวย เพราะเป็นคนที่มี Mindset ดี แต่ก็งงทำไมไม่รวยเหมือนดั่งใจสักที ก็เลยต้องจลนีหนีออกจากงาน เพื่อไปตามทางสวรรค์ สวรรค์จริง ๆ เจ้าหน้าที่บัตรเครดิตโทรตามทุกวัน เว้นวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดราชการ แต่ถ้าโทรได้ มันก็คงจะโทรมา อย่างน้อยมองโลกในแง่ดีเข้าไว้ ก็ยังมีคนเป็นห่วงเป็นใยเรานะ เอาใจใส่จังเลย แต่ขอเถอะอย่าโทรมาเวลาขับรถ เพราะการห่วงใยของคุณ อาจทำให้ผมมอดม้วยมรณาบนท้องถนนได้ (กูยังไม่อยากตาย โว้ย!!!) ยังมีความฝัน ยังมีสิ่งที่อยากทำ จะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิต ถ้าเกิดมาต้องตายตอนนี้ แล้วพบว่าแมร่งไม่ได้สร้างเชี้ยไรเลย แถมตายเพราะโดนทวงบัตรเครดิตอีก คงจะหลอกหลอนไปถึงชาติหน้า
ผมนั่งกลุ้มครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ได้แต่มีคำถามอยู่ภายในใจเป็นหมื่นล้านคำ พูดให้เธอฟังไม่ได้สักคำ ไปญี่ปุ่น 10 วันมันต้องใช้ไงสักเท่าไหร่ว่ะ? ผมถามตัวเอง แต่ก็ไม่ได้คำตอบใด ๆ กลับมา และก็มีข้อความเด้งเข้ามาในขณะเดียวกัน
P: “เตรียมเงินด้วยนะครับ คนละ 3-4 หมื่น” ข้อความจากเพื่อนในกลุ่มแชต
ค่าโรงแรม 12,000 แชร์ห้องกับเพื่อน ค่าชิงคันเซนอีกประมาณ 12,000 ที่แน่ ๆ 24,000 ปลิวออกไปโลกอนาคตแล้ว
เจอกันตอน 3 ครับ เป็นไงกันบ้างครับฟังผมบ่น
มีอะไรคอมเม้นต์ได้เลยนะครับ แล้วเจอกัน จุ๊บุ
เชรี้ย! บ่น
เรื่องราวมากมายที่สะสมกลายมาเป็นประสบการณ์ ดั่งสะสารควบแน่เป็นหยดน้ำ ก่อนหน้านี้เมื่อต้นปีผมเพิ่งลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการบริษัททัวร์มาครับ เอาจริง ๆ ที่ออกก็เพราะหลายเรื่อง ปน ๆ กันไป อกหัก รักคุด ผลประโยชน์ ในสไตล์ของผู้ใหญ่วัยกลางคน แต่ถ้าจะบอกว่าลาออกเพราะความรัก มันก็ฟังดูไร้ความรับผิดชอบยังไงก็ไม่รู้ ก็เลยไม่ออกครับ บวกด้วยจังหวะที่ความรู้สึกต่าง ๆ ถาโถมเข้ามา จนรู้สึกว่าสิ่งที่ทำไปกับเงินที่ได้รับตอนสิ้นเดือนมันช่างไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย ไม่ได้ว่างานประจำไม่ดีนะครับ แต่รู้สึกว่าตัวเองยังทำอะไรได้มากกว่านี้และคู่ควรกับอะไรที่ดีกว่านี้ ก็เลยตัดสินใจลาออกไป แต่ก่อนจะลาออกก็ต้องวางแผนก่อนครับ รออะไร กูเกิ้ลช่วยได้ แต่มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งบอกผมไว้เสมอว่า ‘งานดี ๆ ไม่มีประกาศตามอินเตอร์เน็ต’ ดูเหมือนจะค่อนข้างจริง
เอ้ารออะไร จะดีไม่ดี ตอนนี้กูไม่สนแล้วโว้ย ค่าผ่อนรถ โทรศัพท์ อินเตอร์เน็ต บัตรเครดิต รอเอาเข็มเสียบก้นอยู่ติด ๆ เลยจร้า ผมพูดในใจ สรุปก็มีโอกาสได้ไปเข้าสัมภาษณ์กับบริษัทฝรั่ง ผลคือ … ติดจ้รา ดีใจกระโดดโลดเต้น เงินเดือนอัพเกือบสองเท่า
แต่แล้วโชคชะตาก็ดันมาเล่นตลกกับผม ไม่รู้เห็นผมอารมณ์ไม่ดี หรือหน้าบูด หรือยังไง ทำไมต้องมาเล่นตลกกันด้วย (เกี่ยวไหม) บริษัทที่ผมจะเข้าทำงานใหม่นั้นได้ปิดตัวลง เชรี้ยยยย ลากเสียงยาว ๆ ในใจ แต่ก็พูดออกมาไม่ได้ ด้วยความที่บุคลิกเป็นคนเรียบร้อย เลยต้อง Keep Look ไว้ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่สะทบสะท้าน เพราะ แต่นแต๊น…มีแผนสำรองจร้า ด้วยประสบการณ์การลาออกอย่างบ้าคลั่งที่สั่งสมมา ทำให้เชี่ยวชาญเป็น Expert ด้านการลาออกเป็นพิเศษ สรุปแผนสองก็คือ ไปเป็นไกด์ Freelance รายได้ก็ดี แต่ติดที่ไม่ได้ชอบ แล้วก็ดันไม่รู้ด้วยว่าตัวเองชอบอะไร คือตอนนี้เป้าหมายของการทำงานก็คือเงินอย่างเดียว มันเป็นเรื่องปกติที่มนุษย์ส่วนใหญ่บนโลกนี้เค้าเป็นกัน แล้วไอช่วงที่แสนจะปั่นป่วนนี่แหละ ไม่รู้จะเอาไงดี
นี่ต้องจำใจไปเป็นไกด์จริง ๆ เหรอ ไม่ได้ชอบนะเว้ย แกจะทำได้นานแค่ไหนกัน ผมพูดกับตัวเอง แล้วเสียงสวรรค์ในหัวก็ดังขึ้นมา ‘เห้ย ทำงานที่เก่ามา แกก็ทำอย่างหนัก ไม่ได้หยุดสักวันเลยนะเว้ย ปีนึงหยุดถึง 10 วันเปล่าก็ยังไม่รู้ พักสักหน่อยดีไหม?’ เออ สรุปก็พักนั่นแหละ รออะไร ผมตอบตัวเองในใจ แล้วตอนนั้นก็ดันนึกขึ้นได้ว่าเคยสัญญว่าเราจะเขียนหนังสือ อย่างน้อยเกิดมาต้องมีหนังสือสักหนึ่งเล่มให้ได้ ฮึบ!
ผมเริ่มต้นเขียนหนังสือ ช่วงนั้นคือบ้าอ่านหนังสือพัฒนาตัวเองมาก มีกี่เล่มก็ซื้อมาเท่าที่กระเป๋าสตางค์จะอำนวย โชคดีเป็นคนอ่านไว อ่านครบทุกหน้าจร้า แต่ดูเหมือนว่าแค่อ่านอย่างเดียวมันไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้นเป็นรูปธรรมเลย บางครั้งก็ได้แค่เอาความรู้เหล่านั้นมามะโนเป็นปุยนุ่นไว้ซุกหน้าเวลาเพลียกับปัญหาต่าง ๆ เออ…อย่างน้อยก็ยังดีล่ะวะ ยังดีกว่าเอาหน้าไปซุกกับโขดหินที่ชะอำ(เกี่ยวไหมชะอำ) ตอนแรกก็เขียนอืด ๆ ออด ๆ เขียนได้ดี ได้เยอะ แต่ไม่สนุกเลย ไม่รู้ทำไม คือตอนเขียนก็รู้สึกว่าเขียนดี แต่เอาเป็นว่าไม่น่าสนใจ ก็เลยทิ้งแมร่ง 100 กว่าหน้า A4 Font 14pt… ฮ่า ๆ หลังจากนั้นก็ไม่ได้แตะอีกเลย
หลังจากนั้นก็มีเสียงตามมาหลอกหลอนผมทุกวัน ‘เขียนหนังสือได้แล้ว’ มันมีจริง ๆ นะ แล้วทุกวันด้วย กูเลยตอบไปในใจว่า เออ รู้แล้ว ตอบแบบนี้มาเป็นพันครั้ง แต่ก็ไม่เริ่มเขียนสักที 555 กระทั่งเห็นพี่คนหนึ่งออกหนังสือมา คือแบบว่าดีอ่ะ มีหนังสือของตัวเองด้วย พอได้อ่านข้างในก็เลยรู้สึกมีไฟ หลังจากนั้นก็เขียนเลย บวกกับจังหวะที่ว่างงานไม่มีอะไรทำ ก็เลยเขียนแค่อย่างเดียว เขียนอย่างเดียวจริง ๆ เลย เขียนอย่างบ้าคลั่ง ไม่กินข้าวกินน้ำ หมักหมมกับการพิมพ์หน้าคอมอยู่วันละมากกว่า 12 ชม สุดท้าย เชร้ด 10 วันหนังสือเสร็จ พิมพ์ออกมาได้ 280 หน้า คือ มหัศจรรย์พันล้านแปด
ต่อตอน 2 นะครับ
เชรี้ย! บ่น ตอนที่ 2
อ้าว! แล้วจะเอาไงต่อกับหนังสือล่ะครับ? ผมถามตัวเองในใจ
ก็ขายสิครับ รออะไร อันนี้ก็ตอบตัวเองอีกนั่นแหละ
หลังจากนั้นผมก็ตัดสินใจทำทุกอย่างเอง คำนำ สารบัญ หน้าปก ลืมบอกไป ตอนแรกจะเขียนหนังสือพัฒนาตัวเอง แต่ด้วยไม่อาจยับยังความครื้นเครงในหัวใจ หนังสือเลยออกมาเป็นนิยาย ไม่ใช่นิยายธรรมดาด้วยนะ นิยายวายแนวพัฒนาตัวเอง จะเรียกว่าอะไรดีล่ะ มั่วตั้วไปหมด แต่โดยรวมถือว่าโคตรสนุก ครั้นจะส่งไปสำนักพิมพ์ก็เกรงใจ กลัวเค้าจะหาหมวดที่วางให้ไม่ถูก ลำพังจะให้สร้างหมวดหนังสือใหม่ขึ้นมาบนโลกก็กระไรอยู่ ก็เลยพิมพ์ขายเองเลยครับ รออะไร ประกาศในเฟส พรีออเดอร์ และก็ต้องตกใจ สามวันผ่านไป…เชรี้ย…ไม่มียอดสั่งเลย…ตับห่านฝรั่งเศสเอ้ย!(คำอุทานฟังดูแพงมาก)
แต่ผมไม่ยอมแค่นั้นหรอก ผมยังสปอยหนังสือ เรื่อย ๆ แชร์ซ้ำ ๆ วน ๆ จนมือหงิก แต่ดีที่ไม่ถึงกับง่อย จนมีเหยื่อหลงกล (เอ้ย! เรียกแบบนั้นไม่ได้ดิ) ต้องเรียกผู้มีอุปการคุณ สรุปก็ขายได้ 40 เล่ม และที่ตกใจกว่านี้ ผมขายเล่มละ 500 เฮ้ย
เมื่อปลายปีที่แล้วผมจองตั๋วเครื่องบินไปกลับ ไทย-ญี่ปุ่นเอาไว้ ประมาณว่า ช่วงนั้นเงินดีและมีแนวโน้มที่จะรวย เพราะเป็นคนที่มี Mindset ดี แต่ก็งงทำไมไม่รวยเหมือนดั่งใจสักที ก็เลยต้องจลนีหนีออกจากงาน เพื่อไปตามทางสวรรค์ สวรรค์จริง ๆ เจ้าหน้าที่บัตรเครดิตโทรตามทุกวัน เว้นวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดราชการ แต่ถ้าโทรได้ มันก็คงจะโทรมา อย่างน้อยมองโลกในแง่ดีเข้าไว้ ก็ยังมีคนเป็นห่วงเป็นใยเรานะ เอาใจใส่จังเลย แต่ขอเถอะอย่าโทรมาเวลาขับรถ เพราะการห่วงใยของคุณ อาจทำให้ผมมอดม้วยมรณาบนท้องถนนได้ (กูยังไม่อยากตาย โว้ย!!!) ยังมีความฝัน ยังมีสิ่งที่อยากทำ จะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิต ถ้าเกิดมาต้องตายตอนนี้ แล้วพบว่าแมร่งไม่ได้สร้างเชี้ยไรเลย แถมตายเพราะโดนทวงบัตรเครดิตอีก คงจะหลอกหลอนไปถึงชาติหน้า
ผมนั่งกลุ้มครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ได้แต่มีคำถามอยู่ภายในใจเป็นหมื่นล้านคำ พูดให้เธอฟังไม่ได้สักคำ ไปญี่ปุ่น 10 วันมันต้องใช้ไงสักเท่าไหร่ว่ะ? ผมถามตัวเอง แต่ก็ไม่ได้คำตอบใด ๆ กลับมา และก็มีข้อความเด้งเข้ามาในขณะเดียวกัน
P: “เตรียมเงินด้วยนะครับ คนละ 3-4 หมื่น” ข้อความจากเพื่อนในกลุ่มแชต
ค่าโรงแรม 12,000 แชร์ห้องกับเพื่อน ค่าชิงคันเซนอีกประมาณ 12,000 ที่แน่ ๆ 24,000 ปลิวออกไปโลกอนาคตแล้ว
เจอกันตอน 3 ครับ เป็นไงกันบ้างครับฟังผมบ่น
มีอะไรคอมเม้นต์ได้เลยนะครับ แล้วเจอกัน จุ๊บุ