ตอนนี้มีกระแสเรื่องปลาวาฬกินถุงตาย
ก็เลยมีกระแสว่าควรลดการใช้ถุง และใช้ถุงผ้า
คำว่า "ใช้ถุงผ้า" แสดงว่าถุงใบใหญ่สุด(ใบนอก)ที่ได้จากแคชเชียร์มันคือตัวปัญหา
ผมเคยนั่งทานอาหารที่ซื้อจากตลาดนัดกับเพื่อนๆ แค่ 4-5 คน
เมื่อทานเสร็จพบว่าขยะและถุงที่ได้มากถึงขนาดครึ่งถังขยะใหญ่
จึงสยองจนติดตา
ผมก็เลยแยกขยะมาประมาณ 10 ปี โดยขยะของผมจะแยกเป็นขยะอินทรีย์(พวกเศษอาหาร)
กับที่ไม่ใช่เศษอาหาร ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือถุงกับกระดาษ
พร้อมกันนั้นผมก็เริ่มลดการใช้ถุงพลาสติก คือ
ถุงชั้นนอกที่ได้เวลาจ่ายเงินแคชเชียร์
(คิดว่าตรงกับความหมายของคำว่า "ถุง" ที่กำลังมีการรณรงค์อยู่)
ราวๆ 5 ปีนี้ผมก็ลดการ "ขอ" ถุงลงมากคือได้ราวๆ 70% ที่ไม่ได้ 100% เพราะบางครั้งของมันเยอะจริงๆ
ส่วนใหญ่ผมไม่ได้ใช้ถุงผ้า คืออุ้มของไปที่รถเฉยๆ
ที่จริงผมก็ทราบว่ามีหลายคนลดการใช้ถุงเหมือนกัน
ที่แปลกคือผมไม่เคยเจอตัวเป็นๆเลย ผมมักเป็นคนเดียวในคิวที่ไม่ขอถุง
ตอนนี้มาถึงคำถามสำคัญ "ไม่ใช้ถุงแล้วขยะที่เป็นถุงลดลงไหม"
คำตอบ
ไม่พบว่าปริมาณขยะลดลงแม้แต่น้อย ที่จริงมันเพิ่มขึ้นมากด้วยซ้ำ
สาเหตุ คือ
1. ถุงชั้นนอกสุด ไม่ใช่ส่วนประกอบสำคัญของขยะที่เป็นถุง
ถุงมันแทรกซึมอยู่ในทุกอณูของสินค้าไทย ผมยกตัวอย่างเช่น เวลาซื้อสินค้าแบบบ้านๆ เช่น
สินค้าตลาดนัด ตัวอย่างเช่นน้ำพริกปลาทู เราจะได้ถุง ประมาณ 4 ถุง คือถุงใส่ปลา 1 ถุงใส่ผัก 1
ถุงใส่น้ำพริก 1 และถุงนอก 1 ดังนั้นถุงชั้นนอกคือ 25% ของทั้งหมด
ถ้าซื้อวิตามินซีชนิดกินเล่น 1 กล่อง แต่ละกล่องจะมีวิตามินเป็นเม็ดอยู่ในถุงเล็กๆ ถุงละ 1 เม็ด
ดังนั้นเราก็จะได้ถุงเล็กๆมา 100 ถุง + ถุงใบนอกอีก 1 ถุง เป็น 101 ถุง
ถ้าซื้อนมกล่อง แพ็ค 3 ก็จะได้ขยะกำจัดยากคือกล่องเปล่า 3 กล่อง และปลาสติกรัดกล่อง ซึ่งเป็นถุง
ในรูปแบบหนึ่งชนิดแข็งย่อยสลายยาก น่าจะอยู่ไปจนถึงวันสิ้นโลก อีก 1 ถุง ถุงแบบนี้ช่างแพร่หลายมาก
น้ำดื่มทุกยี่ห้อก็ใช้ถุงแบบนี้
2. คนไทยมีการคิดค้นการใช้ถุงให้มากขึ้น อย่างไม่ย่อท้อ เช่นสินค้า OTOP พวกกล้วยตาก เดิมมี 2 ถุง
ปัจจุบันมีการแพ็คแบบกล้วย 1 ใบต่อ 1 ถุง รวมแล้วได้ 22 ถุง
น้ำมะพร้าว เดิมไม่ต้องใช้ถุง ตอนนี้แพ็คใส่ถุง (ตรงนี้ผมไม่เข้าใจจริงๆ มันทั้งสกปรกทั้งไม่น่ากิน)
3.ภาครัฐไม่มีนโยบาย ตรงนี้มีคนพูดเยอะแล้วขอไม่พูด
สรุปก็คือ การไม่ขอถุงพลาสติก ไม่ช่วยอะไรมาก
แต่ควรทำไหม
ผมคิดว่าควร มันเป็นรูปแบบหนึ่งของการฝึกนิสัย
แต่ในปัญหาทั้งหลายผมพบข้อดีอย่างหนึ่ง
คือการลดถุงไม่ได้ขึ้นกับผู้บริโภค เราไม่ต้องรณรงค์มาก
มันขึ้นกับผู้ผลิตมากกว่า ถ้าจะลดการใช้ถุงจริงๆ อาจบังคับได้เป็น mass
เช่นห้ามการใช้ถุงแบบพลาสติกรัด ซึ่งมีในสินค้าแทบทุกประเภท
ไม่ส่งเสริมสินค้า OTOP ที่มีบรรจุภ้ณฑ์แบบเน้นถุง (เช่นกล้วยตาก 22 ถุง)
แถม
การแยกขยะก็เป็นอะไรที่ได้เรียนรู้มาก ทั้งต้องอ่านและต้องวิจัยเอง
สำหรับขยะอินทรีย์ ประสบการณ์ที่ผมได้มาคือการแก้กลิ่นเหม็น
ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของการหมักขยะในเมือง แบบหมักในถัง
ผมเคยอ่านพบว่าอาจารย์ท่านหนึ่งให้ใส่ใบไม้แห้งลงไป ผมก็ลองดู
แต่พบว่าช่วยได้ประมาณ 20%
ในที่สุดผมพบว่าเพียงวางถังให้ถูกท่า ก็ลดกลิ่นได้ถึง 80%
คือวางแบบถังซ้ายและถีบมันทุกวัน เพื่อลดภาวะ Anaerobic
มีใครไม่ขอถุงพลาสติกเวลาช็อปไหม อยากอธิบายว่าการ "ไม่ใช้" ถุงพลาสติก สำคัญแต่ไม่ได้ช่วยอะไรมาก!!
ก็เลยมีกระแสว่าควรลดการใช้ถุง และใช้ถุงผ้า
คำว่า "ใช้ถุงผ้า" แสดงว่าถุงใบใหญ่สุด(ใบนอก)ที่ได้จากแคชเชียร์มันคือตัวปัญหา
ผมเคยนั่งทานอาหารที่ซื้อจากตลาดนัดกับเพื่อนๆ แค่ 4-5 คน
เมื่อทานเสร็จพบว่าขยะและถุงที่ได้มากถึงขนาดครึ่งถังขยะใหญ่
จึงสยองจนติดตา
ผมก็เลยแยกขยะมาประมาณ 10 ปี โดยขยะของผมจะแยกเป็นขยะอินทรีย์(พวกเศษอาหาร)
กับที่ไม่ใช่เศษอาหาร ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือถุงกับกระดาษ
พร้อมกันนั้นผมก็เริ่มลดการใช้ถุงพลาสติก คือถุงชั้นนอกที่ได้เวลาจ่ายเงินแคชเชียร์
(คิดว่าตรงกับความหมายของคำว่า "ถุง" ที่กำลังมีการรณรงค์อยู่)
ราวๆ 5 ปีนี้ผมก็ลดการ "ขอ" ถุงลงมากคือได้ราวๆ 70% ที่ไม่ได้ 100% เพราะบางครั้งของมันเยอะจริงๆ
ส่วนใหญ่ผมไม่ได้ใช้ถุงผ้า คืออุ้มของไปที่รถเฉยๆ
ที่จริงผมก็ทราบว่ามีหลายคนลดการใช้ถุงเหมือนกัน
ที่แปลกคือผมไม่เคยเจอตัวเป็นๆเลย ผมมักเป็นคนเดียวในคิวที่ไม่ขอถุง
ตอนนี้มาถึงคำถามสำคัญ "ไม่ใช้ถุงแล้วขยะที่เป็นถุงลดลงไหม"
คำตอบ
ไม่พบว่าปริมาณขยะลดลงแม้แต่น้อย ที่จริงมันเพิ่มขึ้นมากด้วยซ้ำ
สาเหตุ คือ
1. ถุงชั้นนอกสุด ไม่ใช่ส่วนประกอบสำคัญของขยะที่เป็นถุง
ถุงมันแทรกซึมอยู่ในทุกอณูของสินค้าไทย ผมยกตัวอย่างเช่น เวลาซื้อสินค้าแบบบ้านๆ เช่น
สินค้าตลาดนัด ตัวอย่างเช่นน้ำพริกปลาทู เราจะได้ถุง ประมาณ 4 ถุง คือถุงใส่ปลา 1 ถุงใส่ผัก 1
ถุงใส่น้ำพริก 1 และถุงนอก 1 ดังนั้นถุงชั้นนอกคือ 25% ของทั้งหมด
ถ้าซื้อวิตามินซีชนิดกินเล่น 1 กล่อง แต่ละกล่องจะมีวิตามินเป็นเม็ดอยู่ในถุงเล็กๆ ถุงละ 1 เม็ด
ดังนั้นเราก็จะได้ถุงเล็กๆมา 100 ถุง + ถุงใบนอกอีก 1 ถุง เป็น 101 ถุง
ถ้าซื้อนมกล่อง แพ็ค 3 ก็จะได้ขยะกำจัดยากคือกล่องเปล่า 3 กล่อง และปลาสติกรัดกล่อง ซึ่งเป็นถุง
ในรูปแบบหนึ่งชนิดแข็งย่อยสลายยาก น่าจะอยู่ไปจนถึงวันสิ้นโลก อีก 1 ถุง ถุงแบบนี้ช่างแพร่หลายมาก
น้ำดื่มทุกยี่ห้อก็ใช้ถุงแบบนี้
2. คนไทยมีการคิดค้นการใช้ถุงให้มากขึ้น อย่างไม่ย่อท้อ เช่นสินค้า OTOP พวกกล้วยตาก เดิมมี 2 ถุง
ปัจจุบันมีการแพ็คแบบกล้วย 1 ใบต่อ 1 ถุง รวมแล้วได้ 22 ถุง
น้ำมะพร้าว เดิมไม่ต้องใช้ถุง ตอนนี้แพ็คใส่ถุง (ตรงนี้ผมไม่เข้าใจจริงๆ มันทั้งสกปรกทั้งไม่น่ากิน)
3.ภาครัฐไม่มีนโยบาย ตรงนี้มีคนพูดเยอะแล้วขอไม่พูด
สรุปก็คือ การไม่ขอถุงพลาสติก ไม่ช่วยอะไรมาก
แต่ควรทำไหม
ผมคิดว่าควร มันเป็นรูปแบบหนึ่งของการฝึกนิสัย
แต่ในปัญหาทั้งหลายผมพบข้อดีอย่างหนึ่ง
คือการลดถุงไม่ได้ขึ้นกับผู้บริโภค เราไม่ต้องรณรงค์มาก
มันขึ้นกับผู้ผลิตมากกว่า ถ้าจะลดการใช้ถุงจริงๆ อาจบังคับได้เป็น mass
เช่นห้ามการใช้ถุงแบบพลาสติกรัด ซึ่งมีในสินค้าแทบทุกประเภท
ไม่ส่งเสริมสินค้า OTOP ที่มีบรรจุภ้ณฑ์แบบเน้นถุง (เช่นกล้วยตาก 22 ถุง)
แถม
การแยกขยะก็เป็นอะไรที่ได้เรียนรู้มาก ทั้งต้องอ่านและต้องวิจัยเอง
สำหรับขยะอินทรีย์ ประสบการณ์ที่ผมได้มาคือการแก้กลิ่นเหม็น
ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของการหมักขยะในเมือง แบบหมักในถัง
ผมเคยอ่านพบว่าอาจารย์ท่านหนึ่งให้ใส่ใบไม้แห้งลงไป ผมก็ลองดู
แต่พบว่าช่วยได้ประมาณ 20%
ในที่สุดผมพบว่าเพียงวางถังให้ถูกท่า ก็ลดกลิ่นได้ถึง 80%
คือวางแบบถังซ้ายและถีบมันทุกวัน เพื่อลดภาวะ Anaerobic