สวัสดีครับเพื่อนๆชาวพันทิปทุกท่าน กระทู้นี้เป็นกระทู้ประเดิมของ จขกท. ในพันทิปเลยเลย หลังจากที่เคยเป็นแต่ผู้อ่าน วันนี้อยากเปลี่ยนบทบาทมาเป็นผู้เขียน ผู้ถ่ายทอดเรื่องราวบ้าง
เรื่องที่จะเอามาแชร์ก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัว มันเป็นเรื่องที่สามารถเกิดได้ทุกคน ทุกที่ ทุกเพศ ทุกวัย ตัวจขกท. เองก็ไม่ต่างกัน
เราเชื่อว่ามันจะมีซักช่วงเวลาในชีวิตของทุกๆคนแหละที่อาจจะมีคำถามผุดขึ้นมาในหัวเราว่าจริงๆแล้วชีวิตเรา เราต้องการอะไรกันแน่? แล้วทุกวันนี้สิ่งที่เราทำอยู่เนี่ย เราทำมันไปทำไม? เราช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาจะหยิบประสบการ์ณของผมขึ้นมาพูดเพราะมันเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านและต้องตัดสินใจของคนในหลายช่วงอายุ เพราะช่วงนี้น้องๆมัธยมปลายอยู่ในช่วงเลือกคณะ เลือกมหาลัย ส่วนเด็กมหาลัยที่เป็นปีสี่ก็อยู่ในช่วงหางานแรก ส่วนคนทำงานเองก็เป็นช่วงหางานใหม่ขณะรอโบนัสออก
เวลาที่เหมาะในการอ่านบทความนี้คงจะเป็นเวลาเช้าตรู่ของวันพร้อมที่กำลังจะเริ่มวันใหม่ด้วยทัศนคติใหม่ๆ หรือ ช่วงที่ตัวเองกำลังจะเข้านอนเตรียมพักผ่อนสำหรับวันรุ่งขึ้นที่ดีกว่า และที่สำคัญเราอยากให้ทุกคนอ่านอย่างมีสมาธิแล้วนึกตามสิ่งที่เราเล่าไปพร้อมๆกัน
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ช่วงก่อนเข้ามหาลัย
เหตุเกิดที่แอร์พอร์ตลิ้งสถานีหัวหมาก ปี 2011
เหตุผลที่เรามายืนในสถานีแอร์พอร์ตลิ้งหัวหมาก ในช่วง ม.5 อายุ 17 ปี ทั้งๆที่บ้านก็อยู่หาดใหญ่ เรียนก็เรียนมัธยมที่หาดใหญ่ คือการที่เรามาติวเข้ามหาลัยในคณะที่ตัวเองไม่ได้อยากจะเรียน ฟังแล้วอาจจะงงๆ
ถ้าจะให้อธิบายก็คือเรามาติวสอบมหาลัยเพราะอยากเข้าคณะที่เพื่อนเค้าจะไปเรียนกันทั้งๆที่เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคณะนั้นเรียนเกี่ยวกับอะไร คณะนั้นก็คือคณะรัฐศาสตร์สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหลักสูตรนานาชาติ เป็นไง ฟังแล้วดูดีเนอะ พอเห็นเพื่อนในกลุ่มเค้าคุยกันมากๆว่าคณะนี้มันอินเตอร์ มันมีหน้ามีตา ก็เลยตีตั๋วจากหาดใหญ่ไปกรุงเทพตามเพื่อนไปติวกับเค้าด้วย ซึ่งมาพักกับคอนโดพี่สาวพ่อที่อยู่แถวหัวหมาก เป็นการมากรุงเทพด้วยตัวเองครั้งแรก เสื่อผืน หมอนใบ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตึกเรียนอยู่ตรงไหนของพญาไทย แล้วพญาไทยไปยังไง รู้จากพี่สาวพ่อแค่ว่าเราต้องพอร์ตลิ้งหัวหมากนี่แหละไปลงสุดสายที่พญาไทย การเดินทางเหมือจะไม่รอดแต่ก็จับพลัดจับผลูเอาจนเจอตึกติวเตอร์ และความรู้สึกสับสนในหัวก็ก่อตัวขึ้นหลังจากได้เรียนไปแค่คาบเดียว
อยากให้นึกสภาพในห้องเรียน จะมีเด็กนักเรียนจากสถาบันชั้นนำในกรุงเทพนั่งอยู่ด้านหน้า และก็มีเด็กตัวดำๆผอมๆหัวหยิกละใส่แว่นสีทองนั่งเอ๋อๆอยู่ข้างหลังคนเดียว เพราะเพื่อนมันเรียนเซคอื่น ในจังหวะที่ครูถามว่า “สงครามเย็นเกิดขึ้นเพราะอะไร” เด็กกว่าครึ่งห้องยกมือพร้อมแย่งกันตอบ ดูเหมือนเด็กในห้องนี้จะดูเข้าใจดีว่าชีวิตเค้าต้องการอะไร และทำไมมานั่งอยู่ที่ห้องนี้ ละมันเกิดอะไรกับกูวะ ทั้งๆที่วิชาแนะแนวของโรงเรียนก็ไม่เคยขาด ทำแบบทดสอบตัวเองวัดความถนัดก็ไม่เคยเลี่ยง ทำไมเรายังไม่เจออะไรที่มันตรงกับเราสักที
ความรู้สึกของขาไปสถานีพญาไทยในแต่ละวันคือ “นี่กูกำลังจะไปเรียนอะไร เรียนทำไมวะ” และความรู้สึกกลับมาสถานีหัวหมากในแต่ละวันคือ “นี่กูเรียนอะไรมาวะ เกิดอะไรกับชีวิตกูเนี่ย”
เป็นอยู่แบบนี้ได้สักสามสี่วัน ก็เลิกไปเรียนทั้งๆที่คอสนึงคือ 14 วัน แต่ไปเดินเล่นแถวสยามทั้งวันแทน
นับว่าเป็นครั้งแรกที่เราเสียทั้งเงินที่พ่อแม่หามา รวมทั้งเสียเวลาตัวเราไปปล่าวๆโดยไม่ได้อะไรกลับมาเลย
[แชร์ประสบการ์ณชีวิต] เป็นกำลังใจให้กับใครก็ตามที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านของชีวิต
เรื่องที่จะเอามาแชร์ก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัว มันเป็นเรื่องที่สามารถเกิดได้ทุกคน ทุกที่ ทุกเพศ ทุกวัย ตัวจขกท. เองก็ไม่ต่างกัน
เราเชื่อว่ามันจะมีซักช่วงเวลาในชีวิตของทุกๆคนแหละที่อาจจะมีคำถามผุดขึ้นมาในหัวเราว่าจริงๆแล้วชีวิตเรา เราต้องการอะไรกันแน่? แล้วทุกวันนี้สิ่งที่เราทำอยู่เนี่ย เราทำมันไปทำไม? เราช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาจะหยิบประสบการ์ณของผมขึ้นมาพูดเพราะมันเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านและต้องตัดสินใจของคนในหลายช่วงอายุ เพราะช่วงนี้น้องๆมัธยมปลายอยู่ในช่วงเลือกคณะ เลือกมหาลัย ส่วนเด็กมหาลัยที่เป็นปีสี่ก็อยู่ในช่วงหางานแรก ส่วนคนทำงานเองก็เป็นช่วงหางานใหม่ขณะรอโบนัสออก
เวลาที่เหมาะในการอ่านบทความนี้คงจะเป็นเวลาเช้าตรู่ของวันพร้อมที่กำลังจะเริ่มวันใหม่ด้วยทัศนคติใหม่ๆ หรือ ช่วงที่ตัวเองกำลังจะเข้านอนเตรียมพักผ่อนสำหรับวันรุ่งขึ้นที่ดีกว่า และที่สำคัญเราอยากให้ทุกคนอ่านอย่างมีสมาธิแล้วนึกตามสิ่งที่เราเล่าไปพร้อมๆกัน
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ช่วงก่อนเข้ามหาลัย
เหตุเกิดที่แอร์พอร์ตลิ้งสถานีหัวหมาก ปี 2011
เหตุผลที่เรามายืนในสถานีแอร์พอร์ตลิ้งหัวหมาก ในช่วง ม.5 อายุ 17 ปี ทั้งๆที่บ้านก็อยู่หาดใหญ่ เรียนก็เรียนมัธยมที่หาดใหญ่ คือการที่เรามาติวเข้ามหาลัยในคณะที่ตัวเองไม่ได้อยากจะเรียน ฟังแล้วอาจจะงงๆ
ถ้าจะให้อธิบายก็คือเรามาติวสอบมหาลัยเพราะอยากเข้าคณะที่เพื่อนเค้าจะไปเรียนกันทั้งๆที่เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคณะนั้นเรียนเกี่ยวกับอะไร คณะนั้นก็คือคณะรัฐศาสตร์สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหลักสูตรนานาชาติ เป็นไง ฟังแล้วดูดีเนอะ พอเห็นเพื่อนในกลุ่มเค้าคุยกันมากๆว่าคณะนี้มันอินเตอร์ มันมีหน้ามีตา ก็เลยตีตั๋วจากหาดใหญ่ไปกรุงเทพตามเพื่อนไปติวกับเค้าด้วย ซึ่งมาพักกับคอนโดพี่สาวพ่อที่อยู่แถวหัวหมาก เป็นการมากรุงเทพด้วยตัวเองครั้งแรก เสื่อผืน หมอนใบ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตึกเรียนอยู่ตรงไหนของพญาไทย แล้วพญาไทยไปยังไง รู้จากพี่สาวพ่อแค่ว่าเราต้องพอร์ตลิ้งหัวหมากนี่แหละไปลงสุดสายที่พญาไทย การเดินทางเหมือจะไม่รอดแต่ก็จับพลัดจับผลูเอาจนเจอตึกติวเตอร์ และความรู้สึกสับสนในหัวก็ก่อตัวขึ้นหลังจากได้เรียนไปแค่คาบเดียว
อยากให้นึกสภาพในห้องเรียน จะมีเด็กนักเรียนจากสถาบันชั้นนำในกรุงเทพนั่งอยู่ด้านหน้า และก็มีเด็กตัวดำๆผอมๆหัวหยิกละใส่แว่นสีทองนั่งเอ๋อๆอยู่ข้างหลังคนเดียว เพราะเพื่อนมันเรียนเซคอื่น ในจังหวะที่ครูถามว่า “สงครามเย็นเกิดขึ้นเพราะอะไร” เด็กกว่าครึ่งห้องยกมือพร้อมแย่งกันตอบ ดูเหมือนเด็กในห้องนี้จะดูเข้าใจดีว่าชีวิตเค้าต้องการอะไร และทำไมมานั่งอยู่ที่ห้องนี้ ละมันเกิดอะไรกับกูวะ ทั้งๆที่วิชาแนะแนวของโรงเรียนก็ไม่เคยขาด ทำแบบทดสอบตัวเองวัดความถนัดก็ไม่เคยเลี่ยง ทำไมเรายังไม่เจออะไรที่มันตรงกับเราสักที
ความรู้สึกของขาไปสถานีพญาไทยในแต่ละวันคือ “นี่กูกำลังจะไปเรียนอะไร เรียนทำไมวะ” และความรู้สึกกลับมาสถานีหัวหมากในแต่ละวันคือ “นี่กูเรียนอะไรมาวะ เกิดอะไรกับชีวิตกูเนี่ย”
เป็นอยู่แบบนี้ได้สักสามสี่วัน ก็เลิกไปเรียนทั้งๆที่คอสนึงคือ 14 วัน แต่ไปเดินเล่นแถวสยามทั้งวันแทน
นับว่าเป็นครั้งแรกที่เราเสียทั้งเงินที่พ่อแม่หามา รวมทั้งเสียเวลาตัวเราไปปล่าวๆโดยไม่ได้อะไรกลับมาเลย