[CR] รีวิว เที่ยวกาญจนบุรี 2 วัน 1 คืน ด้วยเงิน 700 บาท (ถ้ำกระแซ - ถนนคนเดินปากแพรก - น้ำตกเอราวัณ)

ก่อนอื่นต้องบอกว่า นี่เป็นกระทู้แรกใน pantip ของเราเลย ถ้าผิดพลาดตรงไหน ช่วยแนะนำมาได้เลยนะคะ (>人<)


Low budget Trip @ Kanjanaburi
2 วัน 1 คืน กับ เงินจำนวน 700 บาท (ไม่รวมค่าอาหาร) ❤️

และนอกจากนี่จะเป็นกระทู้แรกใน pantip นี่ก็ยังเป็นบันทึกการเดินทางครั้งแรกของเราอย่างเป็นทางการด้วยค่ะ 🎉🎉
ทริปนี้ค่อนข้างจะเร่งด่วนมาก เราใช้เวลาตัดสินใจวางแผนการเดินทาง + จองที่พัก + จัดกระเป๋า
ตอนประมาณตี1 ก่อนเดินทางตอนเช้าของวันนั้นเลย (^̮^) #มันก็จะดูมึนๆหน่อย

เราวางแผนกันไว้ว่าหลักๆแล้วเราจะไป ..
-ทางรถไฟสายมรณะ
-ถนนคนเดินปากแพรก
-น้ำตกเอราวัณ

ที่พักในครั้งนี้เราพักที่ Tara Raft Kanjanaburi guest House
พาหนะในการเดินทาง : รถไฟ , จักรยาน , รถโดยสารประจำทาง , รถ ปอ.

มาเริ่มกันเลยดีกว่าค่าาาา

Day1 ✔️
เริ่มการเดินทางด้วยรถไฟ .. เพื่อนเรา อยู่ กทม กัน เลยเริ่มเดินทางจากสถานี ธนบุรี ตอนประมาณ 07.45 ส่วนเรา ขึ้นรถไฟจากสถานีศาลายา ตอนประมาณ 8.21 เลยนัดเจอกันบนรถไฟเลยย .. ยิ้ม)

บนรถไฟจะมีอาหารเดินขายตลอด ราคาก็ไม่ได้แพง 10 บาท 20 บาท ประมาณนี้
คุณเพื่อนก็จัดก๋วยเตี๋ยวแห้งลูกชิ้น 1 ห่อ (10บาท) ปริมาณก็ตามราคา กับ สัปปะรด (20บาท) อันนี้ดูเยอะจริง

กว่าจะมาถึงตรงนี้ก็ เกือบเที่ยงละ..
ในรูปเป็นวิวจากบนรถไฟ ดูเพลินๆดีเหมือนกัน
แต่อากาศค่อนข้างร้อนใช้ได้เลย


พอถึงสถานีถ้ำกระแซ ก็เที่ยงแล้ว หิวพอดี พวกเราเลยหาอาหารทานกันแถวนั้น มีให้เลือกเยอะอยู่ มีของฝาก เสื้อผ้าขายด้วย แต่พวกเราเลือกไปทานบุฟเฟต์ข้าวแกง 59 บาทกัน รสชาติก็ตามราคา ไม่ได้ดีถึงขนาดถ้ามาอีกต้องมากินซ้ำ แต่ก็ไม่ได้แย่ ใครไม่สนใจเรื่องรสชาติเท่าไหร่ แต่เน้นปริมาณ ก็ขอแนะนำเลย ยิ้ม)

หลังทานเสร็จก็ย้อนกลับไปทางถ้ำ ว่าจะไปไหว้พระในถ้ำ แต่พอเข้าไปกลิ่นธูปแรงมาก จนต้องยอมแพ้ หนีออกมาเดินเล่นตรงทางรถไฟสายมรณะแทน

เราชวนเพื่อนเดินจากสถานีถ้ำกระแซที่2 ย้อนกลับไปถ้ำกระแซที่ 1 ทางเดินค่อนข้างน่ากลัว เพราะเป็นแผ่นเหล็กเล็กๆบางๆตรงกลาง 2 ฝั่งโล่ง ใครซุ่มซ่ามควรเลี่ยงการเดินแบบนี้ แต่เราเดินมาจนครึ่งทางแล้ว จะย้อนกลับก็ไม่ทัน เลยต้องทนเดินทั้งๆที่ใจเต้นรัวๆ  ระหว่างเดินในใจก็แอบนึกถึงหนังเรื่อง final destination ขึ้นมาว่า ถ้าสะพานขาดหละ ถ้ารถไฟมาหละ ทำไงดี (/) (°,,°) (/) แต่สุดท้ายก็เดินกันมาอย่างทุลักทุเล จนถึงอีกจุดหนึ่งได้ เราก็โดนเพื่อนบ่นตามระเบียบ ที่พาพวกมันเสี่ยงชีวิต T_T

นั่งรอตรงถ้ำกระแซที่ 1 สักพักใหญ่ๆ รถไฟก็วนกลับมา เตรียมนั่งเข้าตัวเมืองกาญจบุรี จ่ายค่าโดยสารบนรถเลยย (^̮^)

นั่งรถไฟประมาณ ชม. นิดๆ ก็ถึงสถานีกาญจบุรี พวกเราเดินเท้ากันไปยังที่พัก เพราะดูตาม google map แล้วห่างจากสถานีไม่เกิน 1 km. ตรงนี้ใครขี้เกียจเดิน หน้าสถานีมีรถจอดรอเพียบ สามารถใช้บริการได้เลย

ที่พักของเราที่นี่คือ Tara Raft guesthouse ชอบตรงที่เตียงนอนนุ่มมากกกกกกกกก เตียงดูดสุดๆ ใครชอบที่พักแบบเตียงสบายๆ แอร์เย็นๆราคาประหยัด ก็แนะนำที่นี่เลย

เราไม่ได้ถ่ายรูปห้องพักมา แต่เป็นห้องแอร์ มีห้องน้ำในตัว ไม่มีวิวให้ดู เพราะแบบติดแม่น้ำมีคนจองเต็มแล้ว ที่พักที่นี่เราจองจาก agoda ราคา 555 บาท หาร 2 ก็เหลือคนละ 278 บาท \ (•◡•) /

ถึงในห้องพักจะไม่มีวิวให้ดู แต่ตรงที่พักก็ติดแม่น้ำแควเลย เดินออกจากห้องมาก็เห็นวิวแล้ว บรรยากาศดีมากๆ ยิ้ม

ที่เห็นด้านซ้ายของรูปคือวัดถาวรวราราม เป็นวัดกึ่งไทยกึ่งจีนหน่อย ว่าจะเข้าไปดูแต่เวลาไม่ทันเลย อดเข้าไปเลย ส่วนสะพานที่เห็นนู่น คือสะพานสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร ไม่ได้ไปตรงนั้นอีกเช่นกัน แต่ขากลับ เรานั่งรถผ่านแหละ

ภาพนี้ก็ถ่ายจากที่พักเช่นกัน ♥‿♥

หลังจากชมวิวตรงที่พัก และ พักผ่อนในห้องพัก บนเตียงแสนสบายจนพอใจแล้ว เราก็เดินออกจากที่พักกัน ไปหาร้านเช่าจักรยาน

เดินจากที่พักไม่ไกลมาก ก็เจอร้านมีทั้งจักรยาน และ มอเตอร์ไซค์ เรามากัน 4 คน ก็เช่าคนละคันเลย คันละ 50 บาท ใช้ได้ 24 ชั่วโมง แบบข้ามวันได้ 😆
ถ้าใครมาแล้วอยากไปเที่ยวไกลๆหน่อย ก็เช่ามอไซค์ไปเลย วันละ 200 บาท เท่านั้น ยิ้ม

ได้พาหนะคู่ใจแล้วก็ออกเดินทางเลยยย ~ ปั่นไปถนนคนเดินกันดีกว่า ~
ถนนคนเดินปากแพรก จะจัดทุกวันเสาร์ ตั้งแต่ตอนสี่โมงเย็น ถึงสามทุ่ม โดยประมาณ ของกินเยอะมากก เดินไปกินไปจนลืมถ่ายรูป เพราะมัวแต่ห่วงกินอยู่ 😂

ถนนเส้นนี้เป็นถนนประวัติศาสตร์ ประตูเมืองกาญจบุรีก็อยู่ตรงนี้ เวลาเดิน ถ้าลองสังเกตดีๆ ตามบ้านเรือนจะเป็นสถาปัตยกรรมแบบโบราณแนวจะวันตกผสมจีน มีร้านกาแฟ ร้านอาหารน่าสนใจ และมีเอกลักษณ์เด่นๆเยอะมาก เดินได้เพลินๆ บางบ้านหรือร้านที่สำคัญๆ จะมีป้ายที่ติดเรื่องราวตวามเป็นมาของบ้าน หรือร้าน  นั้นๆไว้ ซึ่งเราชอบตรงนี้มาก (^̮^)

หลังจากหาของอร่อยๆทานกันที่ถนนคนเดินปากแพรก จนพอใจแล้ว พวกเราก็ยังไม่หยุด ขอปั่นจักรยานมาหาร้านขนมทานเล่นต่อเลย

ร้านนี้ชื่อว่า “10 o’clock cafe” ร้านตกแต่งสวยมาก ตั้งแต่หน้าร้าน ในร้านยิ่งไม่ต้องพูดถึงดูดีมาก แม้แต่ในห้องน้ำยังเป็นมุมอาร์ตๆ คือสามารถถ่ายรูปได้แทบทุกตารางนิ้วในร้านเลย

อันนี้เป็นทางเดินเข้าห้องน้ำ สวยงามอีกเช่นกัน
ส่วนด้านในห้องน้ำจะมี กราฟิตี้ สวยๆอีกเพียบ 😻

บรรยากาศด้านในร้าน ตามผนังก็จะมีนาฬิกามากมาย น่าจะเป็น concept ของร้านตามชื่อ มีเพลง jazz เบาๆเปิดให้ฟังตอนทานขนมเพลินๆ
ในแผ่นเมนูอาหาร ขนม ก็ดูน่าแปลกตาดี ชอบตรงที่เป็นรูปวาด มีเมนูใหัเลือกเยอะพอควรเลย ในใจนี่อยากกินทั้งอาหารทั้งขนม แต่เพิ่งทานข้าวที่ถนนคนเดินมา ก็ขอทานขนมอย่างเดียวก่อนดีกว่า

ที่เราสั่งมาเป็น blueberry chesse cake แบบ homemade เรารู้สึกว่าแพงนะ 90 บาท เลยสั่งหารกับเพื่อนคนละครึ่ง แต่พอได้ลองชิมแล้ว เออไม่แพงก็ได้ เพราะอร่อยอ่ะ (✿´‿`) ส่วนเมนูน้ำ ก็ถือว่าผ่านค่า อร่อยเช่นกัน
คราวหน้าถ้ามากาญจนบุรีอีกจะมาที่นี่อีกแน่นอนน

ทานขนมเสร็จก็แวะเซเว่น ตุนขนมไว้เป็นมื้อเช้า แล้วปั่นจักรยานกลับที่พัก เตรียมนอนเก็บแรง เพราะ พรุ่งนี้เช้าจะรีบตื่น ปั่นจักรยานไป ท่ารถ บขส. เพื่อ ต่อรถไปน้ำตกเอราวัณ กันน !!

---------------------------------------------------------
Day2 ✔️
วันนี้เราตื่นกันแต่เช้า (แต่ไม่เช้ามาก)
หลังทานมื้อเช้าเสร็จ ก็ปั่นจักรยานคู่ใจ ไปจอดที่ ท่ารถ บขส. กาญจบุรี
แล้วหารถประจำทางที่จะพาไปน้ำตกเอราวัณ เป็นรถสีแดงๆ มีพัดลมหมุนๆข้างบน ค่ารถโดยสารอยู่ที่ 50 บาท เราได้นั่งข้างหน้ารถ เบาะอยู่หลังคนขับพอดี เลยถือโอกาสนี้ถ่ายรูปวิวจากมุมของคนขับไว้หน่อย (~˘▾˘)~

ภาพระหว่างทาง.. ❤️

นั่งรถใช้เวลาประมาณ ชั่วโมงครึ่ง
ในที่สุดเราก็มาถึงแล้ว “น้ำตกเอราวัณ”
ค่าเข้าอยู่ที่ 100 บาท
นักเรียน นักศึกษา ถ้านำบัตรมา แสดงบัตรสามารถลดได้เหลือ 50 บาท งับ

จากป้ายอุทยานตรงนี้ เราต้องเดินเข้าไปประมาณ 500 เมตร จึงจะถึงน้ำตกชั้นที่ 1
ตรงบริเวณแถวป้ายอุทยานนี้เราสามารถเลือกที่จะนั่งรถกอล์ฟของอุทยานเข้าไปได้ แต่เสียตัง น่าจะ 30 บาท/ คน (เราไม่แน่ใจ) แต่สำหรับเราเดินดีกว่า .. สบายๆอยู่แล้วว

น้ำตกชั้นแรก มีชื่อว่า “ไหลคืนรัง”
ตรงชั้น 1-2 นี้เราสามารถนำอาหารเข้ามาทานได้

ส่วนชั้นที่สอง ชื่อว่า “วังมัจฉา” ระยะทางไม่ได้ไกลจากชั้นแรกเลย เดินมาได้แบบสบายๆชิวๆ

ก่อนจะเดินขึ้นน้ำตกชั้น ที่ 3 จะมีจุดฝากอาหาร คือห้ามนำอาหารเข้าไป ส่วนขวดน้ำ เราจะต้องจ่ายเงิน 20 บาท เพื่อมัดจำขวดน้ำ แล้วตอนลงถึงจะมาเอาคืนได้ น่าจะมีจุดประสงค์ไม่ให้นักท่องเที่ยวเอาขยะไปทิ้งข้างบน

น้ำตกชั้นที่ 3 นี้มีชื่อว่า “ผาน้ำตก” ก็จะดูเป็น ผา แบบในรูปนี้เลยย สวยงาม
ระหว่างทางเดิน ก็จะมีจุดชมวิวสวยๆ ให้พักผ่อนบ้าง (ในชั้นแรกๆ) 😊

รูปทางเดิน (ชั้นแรกๆ) ที่ยังดูดีอยู่ 😂

ประมาณ ชั้น 4 ขึ้นไป เส้นทางจะลำบากขึ้นเรื่อยๆ และค่อนข้างลื่น .. จะได้ฟีลเหมือนเดินป่าจริงๆมากขึ้น

ตรงนี้ไม่แน่ใจว่าชั้นอะไร แต่น้ำค่อนข้างใสเลยทีเดียว มองเห็นได้เป็นสีฟ้ามรกต และเห็นปลาว่ายไปมาได้ชัดเจน

มองเห็นแม้แต่รากต้นไม้ ☼.☼
ในใจเราอยากเอาขาลงไปจุ่ม จะได้ให้ฟีลแบบทำสปา ปลา แต่คุณเพื่อน กลัวปลา !!!
เลยอด ไม่เล่นตรงนี้ก็ได้ เดินต่อไป go go go ~

ชั้น 4 ที่มีชื่อว่า “อกผีเสื้อ” เห็นมีนักท่องเที่ยวไปเล่น สไลด์เดอร์เล่นน้ำตกตรงนี้ด้วยน่าสนุก

เราก็เดินมาถึงชั้น 5 ที่มีชื่อว่า “เบื่อไม่ลง” ชั้นนี้มีนักท่องเที่ยวเล่นน้ำค่อนข้างเยอะ และน้ำตกก็ดูใส และสวยงามดี

รูปภาพบรรยากาศนักท่องเที่ยวที่มาเล่นชั้น 5
แต่เราไม่เล่น จึงเดินหน้าต่อไป 😚

เส้นทางต่อจากนี้ เพื่อไปชั้น 6-7 จะค่อนข้างลำบากมากหน่อยๆ มีการปีนป่ายโขดหิน โหนเกี่ยวต้นไม้ เดินลุยน้ำบ้างประปราย

หลังจากถ่ายรูปป้ายว่าทางนี้คือทางเดินไปชั้น7นะ เราไม่ได้ถ่ายรูปทางเดินต่อเลย เพราะ ทางเดินค่อนข้างโหด ต้องใช้สติไปกับการปีนป่ายต้นไม้ หาทางดูแลรักษากล้องให้ไม่เป็นรอย และไม่ให้ตัวเองลื่นล้ม 😂

ชั้น6 ที่มีชื่อว่า “ดงพฤษภา” เราไม่ได้เข้าไป เพราะอยากรีบไปชั้น7 แล้ว แต่ได้ยินคนแถวนั้นบอกว่า ชั้น6ไม่ค่อยมีอะไร เป็นป่าตามชื่อเรียกของมันเลย

พวกเราเดินทางกันอย่างทุลักทุเล ไปสู่ชั้นที่ 7 “ภูผาเอราวัณ”

ในที่สุดเรา ก็มาถึงกันซะที ถ่ายรูปคุณเพื่อนไว้เป็นที่ระลึกซะหน่อย

น้ำค่อนข้างใสเลยแหละ ปีนขึ้นไปเล่นข้างบนอีกหน่อยดีกว่า ~

พอถึงตรงนี้คุณเพื่อนก็ ถอดเสื้อเล่นน้ำกันแล้ว ~
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่