เจ้ากรรมนายเวร สวมเสื้อกาวน์ใส่หมวกขาว ผู้มาพร้อมกับท่อฟีดอาหาร จะมาปิดปากให้คุณพูดไม่ได้

เวลาเจ้ากรรมนายเวรเค้าจะตามมาเอาชีวิต เค้าจะเริ่มจากการปิดปากก่อน ซึ่งบางครั้ง เจ้ากรรมนายเวร ก็มาในรูปคนในเครื่องแบบเสื้อกาวน์ บางครั้งก็เป็นหมอ บางครั้งก็เป็นพยาบาล จากคนดีๆ ที่กินอาหารเองได้ ที่พูดได้เป็นปกติ หมอ พยาบาลก็จะยัดเยียดข้อหาให้ว่า มีอาการสำลักอาหาร ใส่ท่อฟีดอาหารแล้วมีผลดี ทำให้ได้รับอาหารเพียงพอ ซึ่งล้วนเป็นคำยิ้มทั้งสิ้น ญาติคนไข้มักจะเคลิ้มเห็นดีเห็นงามจนกลับไปบอกคนป่วยว่า จำเป็นต้องใส่จริงๆ จนลืมไปว่า ก่อนมาโรงพยาบาล ผู้ป่วยพูดได้ ทานอาหารเองได้ ไม่ได้เป็นอย่างคำใส่ร้ายที่เจ้ากรรมนายเวรยัดเยียดมาให้แต่อย่างไร แต่เค้าจะมาเอาชีวิตแล้ว ยังไง เค้าจะปิดปากเรา เค้าก็มีวิธีหลอกล่อให้คนเอาท่อใส่ปากใส่คอเราจนได้หล่ะ ถ้าปิดปากเราได้สำเร็จเมื่อไหร่ ไส้เทียนแห่งชีวิตเราจะสั้นลงทันที และต่อจากนี้ เราจะขอความช่วยเหลืออะไรใครก็ไม่ได้แล้ว เพราะพูดไม่ได้ จะเจ็บกล่องเสียงมาก และอาการเจ็บมันจะแย่ลงไปเรื่อยๆ ตราบที่ยังมีท่อที่ว่าอยู่ตรงจมูก

คำประกาศสิทธิ์ของคนป่วย ครอบคลุมไปถึง สิทธิ์ในการเลือกวิธีการรักษา ถ้าคนป่วยบอกว่า เค้าไม่อยากใส่ เค้ามีสิทธิ์ในร่างกายเค้าที่จะไม่ใส่ หมอหรือพยาบาลไม่มีสิทธิ์ที่จะไปบังคับขืนใจ จับคนไข้มัดมือมัดเท้าไว้กับราวเหล็กข้างเตียงราวกับสัตว์ที่รอเข้าโรงเชือด คนป่วยคนเดียวจะไปสู้กำลังอะไรกับพยาบาลหมู่ได้ โดยมักจะกระทำในยามวิกาล ในยามที่ญาติผู้ป่วยกลับบ้านไปแล้ว และเมื่อกลับมาเยี่ยมคนไข้ใหม่ ก็จะพบกับท่อฟีดอาหาร พร้อมกับพบว่า คนดีๆ ที่เคยพูดได้ ทานอาหารเองได้ กลายเป็นคนที่พูดไม่ได้ไปแล้ว และกลืนอาหารเองไม่ได้ด้วย เนื่องจากเป็นผลจากการใส่ท่อฟีดอาหาร ต่อให้คุณไหวตัวทัน และถอดมันออกมาแล้วก็ตาม อาการสำลักอาหาร อาการเจ็บคอ อาการพูดไม่ได้ ก็จะเกิดกับคนป่วย เริ่มต้นตั้งแต่ใส่ท่อฟีดอาหารเป็นต้นไป

พอเจ้ากรรมนายเวรเค้าปิดปากเราสำเร็จ เราก็จะพูดไม่ได้ กินอาหารเองยังลำบากเลย โรงพยาบาลห่วยๆ หลายแห่ง ชอบปฏิบัติกับคนไข้ เสมือนคนไข้เป็นสัตว์เลี้ยง เวลาให้อาหารก็เอาถุงสารอาหารมาต่อกับท่อฟีดอาหาร ซึ่งมันไม่ใช่วิถีที่มนุษย์พึงกระทำกัน และคนป่วยมีสิทธิ์เต็มที่ 100% ที่จะปฏิเสธการใส่ท่อฟีดอาหาร เพราะคนป่วยก็คือคน ไม่ใช่เป็นสัตว์ที่รอคนเอาอาหารมาใส่ท่อเพื่อหล่อเลี้ยงให้มีชีวิต

เจ้ากรรมนายเวรบางครั้ง ก็ติดตามไปถึงที่บ้านด้วย หลังจากปิดปากเราที่โรงพยาบาลได้แล้ว ต่อให้หนีออกจากโรงพยาบาลไปได้ เจ้ากรรมนายเวรก็จะไม่ยอมให้ถอดท่อฟีดอาหาร เพื่อให้กลับไปฟีดอาหารเหมือนให้อาหารสัตว์ต่อที่บ้าน พร้อมทั้งจัดหาพยาบาลประจำบ้าน ไปตรวจสอบถึงบ้านว่า ท่อฟีดอาหารที่ใส่ไว้ในคอ ยังอยู่ดีหรือไม่ ถ้าหลุดออกมา พยาบาลประจำบ้านก็จะจัดแจงใส่ให้ใหม่ พร้อมทั้งเซ็นต์เอกสารอะไรสักอย่างที่มีคำว่ามรณะด้วยก่อนกลับบ้านไป ราวกับว่า คนไข้ที่มีท่อฟีดอาหารกลับไปใช้ที่บ้าน จะคงมีอายุขัยอีกไม่นานนัก ตามสถิติการรักษาที่โรงพยาบาลเก็บข้อมูลไว้ รักษาให้คนตายคงง่ายกว่ารักษาให้คนรอด ประหยัดงบ ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้เยอะด้วยสิ นี่คือทางออกของโรงพยาบาลที่ต้องเอาตัวรอดในวิถีสามสิบบาทรักษาทุกโรคแล้วไม่รอด คุณอย่าไปคิดเลย ของถูกและดีไม่มีจริงหรอก ไม่เชื่อไปกินอาหารที่ฟู้ดแลนด์ดูสิ แล้วจะรู้ว่า ของกินที่นั่นไม่ถูกเลย

บทสรุปของผู้ป่วยใส่ท่อฟีดอาหาร ผมไม่เคยเห็นสถิติหรอก ว่าอัตราการตาย หรือ ระยะเวลาการมีชีวิตหลังใส่ท่อฟีดอาหารจะยาวนานแค่ไหน แต่ผมว่า โรงพยาบาลห่วยๆ มันมีสถิติเรื่องนี้อยู่แน่นอน หากญาติสนิท มิตรสหาย พ่อแม่ พี่น้อง ของคุณ กำลังโดนโรงพยาบาลจับใส่ท่อฟีดอาหารแล้วหล่ะก้อ พึงระวังไว้ว่า เจ้ากรรมนายเวร ที่จะมาปิดปากให้เค้าพูดไม่ได้ บางครั้งก็มาในรูปแบบคนใส่เสื้อกาวน์ คนใส่หมวกสีขาว เหมือนกัน ต่อให้มีอาการสำลักอาหาร กินไม่ได้ พูดไม่ได้ มนุษย์ก็ยังเป็นมนุษย์ ที่ใช้ปากตัวเองทานอาหาร ดีกว่า เอาท่อฟีดอาหารมาสอดใส่จมูกแหย่ลงไปในกระเพาะแน่นอน

ขอประกาศสิทธิ์ของผู้ป่วยไว้ ณ ที่นี้แล้วกันครับ ต่อให้คนใส่เสื้อกาวน์หมวกสีขาว จะยิ้มอย่างไรก็ตามว่า การใส่ท่อฟีดอาหารไม่เป็นผลดีกับผู้ป่วยเลย และผู้ป่วยมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธการใส่ท่อฟีดอาหารได้ตลอดเวลา การบังคับขืนใจผู้ป่วยใส่ท่อฟีดอาหารจนสำเร็จ ถือว่ามีความผิดร้ายแรง ในข้อหาทำให้สูญเสียความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ว่าคุณเป็นคนรักษา แล้วคุณจะทำอะไรกับผู้ป่วยได้ครับ บาปกรรมมีจริง แล้ววันหนึ่งกรรมที่คุณกระทำไว้จะตอบสนองคุณเอง

ท่อฟีดอาหาร อาจจะมีประโยชน์กับคนป่วยแค่เพียงน้อยนิด ผมไม่รู้หรอก เพราะไม่เคยเห็นสถิติการรอดตายของผู้ใส่ท่อฟีดอาหาร ว่าอยู่ได้ยาวนานแค่ไหน และไม่รู้ว่าระบบสาธารณสุขของประเทศไทยเราเคยศึกษาเรื่องนี้ไว้หรือเปล่า อย่าเก็บตัวเลขเฉพาะคนที่มีลมหายใจอยู่ ให้แสดงตัวเองคนที่เสียชีวิตหลังจากใส่ท่อฟีดอาหารให้ดูด้วย คนป่วย ญาติคนป่วยจะได้มีข้อมูลตัดสินใจ ว่าจำเป็นหรือไม่ ที่จะให้คนป่วยใส่ท่อฟีดอาหาร ไม่ใช่สักแต่ว่า ใส่ท่อฟีดอาหารแล้วดูแลสะดวกดี จะใส่อะไรเข้าไปในตัวคนไข้ก็ง่าย แค่กรอกๆ ลงสายยางลงไป ถ้าคิดได้แค่นั้น ก็เลิกทำอาชีพนี้ไปเถอะครับ ไปทำอย่างอื่นที่เป็นพิษเป็นภัยกับคนอื่นน้อยๆ จะดีกว่า ความเป็นมนุษย์ ไม่ได้อยู่ที่มีชีวิตอยู่ต่อไปเท่านั้น การมีอาหารตกถึงท้อง อาจจะไม่ใช่สิ่งที่คนป่วยอยากได้ที่สุด แต่การเคารพความเป็นมนุษย์ที่ มนุษย์พึงมีให้แก่กัน และจรรยาบรรณในวิชาชีพ น่าจะตอบได้ดีที่สุด ถึงความจำเป็นในการใส่ท่อฟีดอาหารให้กับผู้ป่วยที่ยังมีสติสัมปชัญญะเป็นปกติ และการใช้กำลังบังคับใส่ท่อฟีดอาหาร มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับจับผู้หญิงขึงพืดเพื่อข่มขืนแต่ประการใด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่