ชีวิต ปัญหาสุขภาพ กับทางออก

ก่อนอื่นผมต้องบอกก่อนเลยว่าผมเขียนบทความนี้ เพื่ออยากแบ่งปันสิ่งที่ดีๆในชีวิต ส่วนในประสบการณ์ที่ไม่ดีในชีวิตก็เก็บเป็นบทเรียนนำมาประยุกต์ใช้ในปัจจุบัน ในอายุเกือบจะ 30 ปี ฉะนั้นบทความนี้อาจเป็นบทความที่ยาวหน่อยและเป็นชิ้นแรกที่ผมเขียนสำเร็จ อาจเรียกว่าเรื่องเล่าก็ได้ ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านไม่มากก็น้อยและก็ควรวิเคราะห์พิจารณา แต่ก่อนอื่นผมต้องขอขอบพระคุณคุณพ่อคุณแม่ที่ให้กำเนิดเลี้ยงดูผมมา ญาติและครอบครัวของผมที่ดูแลเป็นกำลังใจให้ แพทย์ทุกๆท่านที่รักษาผมมาตั้งแต่เกิด และอาจารย์ทุกท่านที่สอนผมมา เนื่องจากเรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเรามากๆ ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้ ทุกคนต่างมีจุดแข็งและจุดอ่อน ร้อยคนก็ร้อยรูปแบบ แม้แต่ความชอบหรือความคิด บางคนแข็งแรงแต่ต้องดิ้นรนหาเลี้ยงชีพ บางคนพิการแต่มีทรัพย์มากมาย บางคนป่วยแต่ก็สามารถดำรงชีพได้ ซึ่งผมประสบมากับตนเอง ทุกคนต้องอยู่ให้ได้ในสังคม ซึ่งจุดนี้ผมมองว่าทุกส่งอย่างแม้แต่คนเราย่อมมีสองด้าน อยากให้มองที่ตนเองก่อน และเอาจุดดีของตนไปเป็นกำลังใจสู้ต่อไป อยู่ให้ได้กับปัจจุบันให้ดีที่สุด

ผมเกิดมาเป็นโรคVSD หรือ ผนังกันภายในหัวใจมีรูรั่วระหว่างห้องล่างขวาและซ้าย ซึ่งต้องทานยาประจำ และทำให้เกิดอาการเหนื่อยง่าย โชคดีที่ผมมีครอบครัวที่ดี แต่เนื่องผมเป็นคนเจ้าอารมณ์ ขี้เบื่อ อยากได้ อยากมี บางครั้งเป็นสิ่งที่ดี แต่บางครั้งมันก็หันมาทำร้ายเราได้ ในด้านดี เมื่อผมอยู่อนุบาล 1 ผมสอบในคะแนนต่ำมาก ซึ่งตอนนั้นผมอยากได้คะแนนสูงกว่านี้ จึงขอให้คุณครูช่วยสอน หลังจากนั้นผมก็ได้คะแนนดีขึ้น จนเข้าโรงเรียนที่ต้องการได้ เนื่องจากผมสอบได้ที่ 1 ทั้งด้านวิชาการและกีฬาในขณะนั้น ทำให้ผมได้คัดเลือกจากเพื่อนๆให้เป็นหัวหน้าห้องเรียน อีกอย่างผมจึงมีชื่อติดกีฬาสีของโรงเรียน แต่แล้วก็โดนคัดออก ตอนนั้นผมยังไม่เข้าใจบรรดาคุณครูว่าเป็นห่วงผม ทำให้ผมเกิดความกดดันว่าทำไมคนอื่นทำได้แล้วเราละ และช่วงนั้นผมก็ได้รู้กับเสียงดนตรีจากอาข้างบ้าน มันทำให้ใจผมสงบลงได้ ผมจึงขอให้คุณพ่อคุณแม่ซื้อเปียโน และเชิญอาข้างบ้านช่วยสอนเปียโนให้ จนกระทั้งถึงประถม 5 ผมได้ คัดเลือกไปสอบ สสวท. ทางคณิตศาสตร์ แต่ผมปฏิเสธเนื่องจากอยากสรรค์กับเพื่อนมากกว่าด้านวิชาการ แต่ก็ต้องจำใจไป เพราะครูอธิบายว่าไม่เคยมีคนทำข้อสอบได้ 99 เต็ม 100 มาก่อนเลย ผมจึงขอร้องให้คุณพ่อไปด้วย เนื่องจากมีความคิดที่ว่าจะออกจาดห้องสอบให้ไวที่สุด ในตอนนั้นผมไม่รู้ว่าคิดอย่างไร แต่มันทำให้ผมเก็บกดไม่ชอบวิชานี้ไปเลย

เมื่อจะใกล้เวลาเปิดเทอมประถม6 กลางดึกขณะที่ผมหลับอยู่ก็ตื่นขึ้นมากระทันหันพร้อมความปวดหัวอย่างมาก คุณพ่อคุณแม่รีบพาผมไปส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดและเล่าให้หมอฟังว่าผมเกิดอาการเกร็ง ร้องเสียงดัง คุณพ่อจึงเอานิ้วไปง้างปากจนนิ้วเป็นแผล แพทย์สันนิฐานว่าผมเป็นลมชัก ผมยังงงกับอาการที่เกิด คุณพ่อคุณแม่จึงปรึกษาน้าที่เป็นพยาบาลเพื่อติดต่อหาแพทย์เฉพาะทางเพื่อรักษา และทานยาเป็นประจำจนถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งช่วงนั้นผมพึ่งปรับตัวได้กับโรคVSD ที่ไม่ทำอะไรเกินความสามารถตนเอง กับประถม 6 ที่กำลังจะเปิดเทอม ที่จะปรับตัวเข้าหาเพื่อนอย่างไรดี ผมสละสิทธิ์การเป็นเป็นหัวหน้าห้องเรียน และเริ่มห่างจากเพื่อนๆ จนกระทั่งมัธยม 1 ผมเกิดทั้ง อาการ เบลอ เวียนหัว อารมณ์แปรปรวน ทำลายข้าวของเสียหาย จนต้องเรียนสองวันหยุดวัน และสอบตกเกือบทุกวิชา ซึ่งผมเป็นคนชินยา และ แพ้ยาง่าย จึงต้องเปลี่ยนยาหลายครั้ง ช่วงนั้นเหมือนกับหน้ามือเป็นหลังมือ จนกระทั้งมาปรับยาได้ในช่วง มัธยม 4  ผมเริ่มชินกับอาการ เพื่อนๆ ก็เข้าใจและให้กำลังใจผม ครูก็คอยดูแลผม คุณพ่อคุณแม่และครอบครัวห่วงใยและเป็นกำลังใจให้ ผมก็เริ่มปรับตัวได้กับการเรียนและกิจกรรมต่างๆ ทำให้ชีวิตดีขึ้น และเมื่อผมจะเข้ามหาวิทยาลัย ผมจึงขอให้พี่มามาช่วยสอนในส่วนที่ไม่เข้าใจ จนทำได้ แต่ในวันสอบ O-Net ผมเกิดอาการชัก หงจนปวดหัวไปหมด คุณพ่อคุณแม่ และครู รวมทั้งเพื่อนๆก็เป็นห่วง วันนั้นผมบอกว่าขอยาแก้ปวด และให้คุณพ่อไปส่ง ผมจะไปสอบ ซึ่งในวันนั้นก็ทำได้ตามที่ผมคาดไว้ และสุดท้ายก็ได้เข้าคณะสถาปัตยกรรมที่ผมต้องการ แต่ผมไม่ได้คิดเลยว่าหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไร ที่ต้องอดหลับอดนอน

และเมื่อผมเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้วนั้น ทำให้ผมคิดว่า สิ่งที่มันผ่านไปแล้วมันเล็ก มาเริ่มต้อนใหม่กับสิ่งใหม่ๆที่จะเข้ามา ซึ่งตอนนั้นผมต้องไปอยูหอพัก ผมได้สร้างสัมพนธ์ที่ดีกับเพื่อนใหม่ๆ เพื่อนๆก็เข้าใจกับสิ่งที่ผมเป็น ผมเรียนไปทำกิจกรรมไป จนกระทั่งปี2 มันทำให้ผมนอนไม่พอ และเกิดอาการเหนื่อยง่าย จึงสงสัยตนเองและไปพบแพทย์ที่รักษา VSD แพทย์ตรวจพบรอยรั่วที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ควรได้รับการผ่าตัดปิดรูรั่วเพื่อป้องกันการหลับตายไม่รู้ตัว ขณะนั้นที่ต้องรักษาโรคลมชักไปพร้อมกัน แพทย์บอกว่าจะทำให้เกิดความเครียดสูง และอาจต้องงดยากันชัก ซึ่งเป็นการผ่าตัดใหญ่ มีอาจารย์แพทย์และนักศึกษาแพทย์มากมากมายเข้ามาดูแลผม ในขณะนั้นผมตัดสินใจลาพักการการศึกษา และทำเรื่องขอย้ายคณะไปวิศวกรรมจากรองอธิการบดีฝ่ายวิชาการมหาวิทยาลัย ซึ่งมันอาจเป็นการข้ามขั้นตอนแต่ก็ได้ย้ายสำเร็จ ตอนนั้นผมคิดแค่ว่าหากยังอดหลับอดนอน แล้วเป็นแบบนี้คงไม่ดีแน่ ส่วนทางด้านสุขภาพผมไม่คิดอะไรมากแล้วเหมือนมันเป็นส่วนหนึ่งของตัวเรา เป็นห่วงแค่บุคคนรอบข้าง โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ ที่จะเป็นห่วงเราขนาดไหน เราเจ็บเขาเป็นสิบเป็นมากมาย สายใยนี้ตัดไม่ขาด ผมคิดแค่ว่าเมื่อทีมแพทย์ผ่าตัด ผมจะมีกำลังใจให้ดีที่สุด แล้วผมก็ทำได้โดยไม่ต้องหยุดยากันชัก ฟื้นตัวเร็ว แล้วอีกหนึ่งสิ่งที่ได้เรียนรู้คือ น้องเตียงข้างๆผม ที่ผมคุยด้วย 2-3 วันก่อนผ่าตัด ไม่รอดแล้ว ที่ผ่างตัดพร้อมกัน ทุกสิ่งไม่เที่ยงแท้

หลังจากนั้นผมก็ได้ย้ายมาอยู่คณะวิศวกรรม และอาศัยประสบการณ์ช่วงอยู่คณะสถาปัตยกรรมเป็นประสบการณ์ ผมได้เข้ากลุ่มต่างๆได้อย่างง่ายดายรวมถึงการมีแฟนเป็นคนแรก ผมได้ทำกิจกรรมมากมาย โดยไม่ได้คาดคิด ตลอดที่ผมเรียนอยูที่คณะนี้ผมจบใน 3ปี โดยเรียนไป กิจรรมไป โดยไม่มากน้อยเกินไป โดยการเรียนผมไม่ได้สนใจว่านได้เกรดอะไรขอให้จบพอ จึงได้ A ยัน F รวมทั้งการเป็นกรรมการชมรมต่างๆ ส่วนเรื่องแฟนก็กันด้วยดีหลังจากจบปริญญาตรี เนื่องจากทั้งผมและเธอยังไม่พร้อมซึ่งกันและกัน และผมต้องขอบคุณอาจารย์ทุกๆท่านที่เข้าใจและให้โอกาสผมได้มีส่วนช่วยงาน จนถึงปัจจุบันนี้ และหลังจากผมจบปริญญาตรี ผมก็ได้เข้าทำงานในบริษัทที่ต้องการ ขณะนั้นผมได้ชินกับยาอีกครั้ง และปรับยาใหม่ทำให้เกิดอาการเหมอลอย ซึ่งทำได้ครึ่งปีจึงออกจากบริษัท และสมัครเรียนต่อปริญญาโท ผมเรียนไปจนจบปีหนึ่ง และเริ่มทำวิทยานิพนธ์ อาการเริ่มกำเริบอีกครั้ง ผมทนจนสอบวิทยานิพนธ์ครั้งที่2ได้ เหลือเพียงบทวิเคราะสุดท้าย แต่เมื่อไปพบแพทย์อีกครั้งและปรับยาใหม่ อาการไม่สมดุล  ผมจึงคิดว่า เป็นประสบการณ์ปริญญาโทแล้วกัน จึงลาออกจากปริญญาโท สุขภาพมาก่อน และขณะผมเรียนปริญญาโท ผมได้มาทำงานกับครอบครัวด้วย และมีแนวคิดว่าจะขยายสาขา แต่ผมยังไม่มีประสบการณ์มากพอ จึงทำให้เกิดการไม่เป็นระบบ และรับพนักงานมากเกินไป มีแค่เพื่อนที่เคยเรียนมาด้วยกันที่รับระบบนี้ได้เพียงคนเดียวและทำงานอยู่ถึงปัจจุบัน  ทำให้เป็นการสูญเสียโดยไม่จำเป็น และเป็นประสบการณ์อีกอย่างของผม ซึ่งปัจจุบันผมก็ได้ทำงานกับครอบครัวเป็นธุรกิจ

หลังจากลาออกจากปริญญาโท ผมก็ได้บวชเรียน 2 สัปดาห์ ตอนนั้นผมได้สติปัญญา ได้คิด ได้ไตร่ตรอง ได้ทำ และต้องขอบพระคุณพระอาจารย์ที่ได้ให้คำสอน เตือนสติ ให้คิด ให้ทำ ให้คิดถึงพ่อแม่ จนถึงปัจจุบันเมื่อผมคิดถึงคำสอนพระอาจารย์ ทำให้อารมณ์เบาลงได้ หลังจากลาสิขา มา 3 เดือน ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ดีมาก ทำงานกับครอบครัว อย่างมีเหตุผล แต่หลังจากนั้นอาการก็กำเริบขึ้นอีกครั้งเมื่อเกิดการทำงานหนักและต้องตากแดดคุมงาน ซึ่งครั้งนี้ เกิดทั้งการทำลายข้าวของ และไม่สนใจว่าตนเองว่าตนเองจะเป็นอย่างไร แต่หลังจากนั้นก็เกิดอาการร้องไห้ เกิดอาการอย่างนี้ สลับกับ อาการชัก เหมือนเดิม แต่รุนแรงกว่าที่เคยเป็น และเกิดการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยเป็นระยะ จึงไปปรึกษาแพทย์ แพทย์จึงวินิจัยว่าเป็นไบโพล่าด้วย  จึงปรับยาอีกครั้ง  ระหว่างนั้นโชคดีที่ผมเคยเรียนเปียโน ผมจึงพอจะควบคุมด้วยเสียงดนตรีได้เป็นการคลายเคลียด จึงสังเกตตนเองว่าสามารถควบคุมได้ด้วยเสียงดนตรีจนถึงปันปัจจุบัน จึงทำเป็นงานอดิเรก เปิดเพลงฟังก่อนนอน ผมจึงมาทบทวนตนเอง คนคว้า และปรึกษาคุณน้าว่าอาการเหล่านี้เกี่ยวข้องกันอย่างไร จึงได้ว่า คลื่นสมองควบคุมทุอย่างในร่างกาย แต่ละคนเกิดอาการต่างกัน บางคนเกิดอาการชักแต่ไม่เกิดอารมม์ บางคนหายจากอาการชักเป็นอาการเหมอ บางคนหายจากอาการชักเป็นก้าวร้าว ซึ่งยังมีอีกมากมาย รวมถึงจิตเวชด้วย ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมีระหว่างแพทย์ คนไข้ และครอบครัว ปรับตัวเข้าหากัน เป็นกำลังใจให้กัน  ผมจึงเข้าใจและพยามปรับตัวว่าทำอย่างไรให้อยุ่ได้ในชีวิตประจำวัน

สุดท้ายนี้ ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น ผมเป็นคนหนึ่งที่ อยากได้ อยากมี ผมจึงปรับตัวใหม่ ไม่จำเป็นต้องคิดไรมาก คิดเพียงว่า สุขภาพเราทำได้เท่าไร ขอเพียงมีเป้าหมายในชีวิต ไม่จำเป็นต้องเก่งเท่าผู้อื่น ทำอะไรได้เท่าคนอื่น มองส่วนดีของตนเองและประสบการณ์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ วางแผนชีวิต การนอนให้เป็นเวลา หางานอดิเรกทำที่มีความสุขที่ไม่ส่งผลเสียต่อคนอื่น เช่น อาสาสอนหนังสือ เล่นเปียโน หรือการบริจาค เป็นต้น ไม่ทำอะไรที่เกินตัว เช่น การสรรค์สรรค์เกินความจำเป็น การขับรถ อะไรควรไม่ควรเพราะไม่ใช่เราคนเดียวที่เดือดร้อน แต่ยังมีคนรอบข้างด้วย ซี่งสิ่งที่พอดีของแต่ละคนนั้นก็ต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเรื่องงาน ชีวิต หรือสุขภาพ ผมจึงคิดว่ากว่า 90 % ทั่วโลกไม่มีใครไม่เคยเจอปัญหา ต่างกันที่ว่าเป็นปัญหาเรื่องอะไร ซึ่งเรื่องที่ผมกล่าวถึงเป็นปัญหาสุขภาพ ทุกๆปัญหามีทางออกและทางแก้ไข ที่สำคัญดือเป้าหายและกำลังใจ โดยปัญหาสุขภาพที่ผมกล่าวมานั้นคือโรคลมชักและVSD เพียงเข้าใจและเอาใจใส่ดูแลสุภาพให้ดี และประมาณ 20% ของคนในโลกเป็นโรคลมชัก และเมื่อผู้ป่วยมีอาการเกร็ง ให้อยู่ในที่อากาบริสุทธ์ไม่แออัด จัดให้อยู่ในท่าที่ไม่อันตราย หรือถ้าผู้ป่วยมีอาการเกร็งเกิน20นาที ควรส่งโรงพยาบาล และแม้กระทั่งโรคอื่นๆ ก็ควรให้ผู้ป่วยอยูในที่อากาศบริสุทธ์เช่นกัน อีกสิ่งหนึ่งที่ได้ค้นคว้าและกับตนเองคือเสียงดนตรีตรีที่ชอบโดยเฉพาะเพลงคลาสสิก ซึ่งจะทำให้เซลล์สมองส่วนการรับรู้ของอารมณ์ของจิตใจ ทำให้สงบลง รวมทั้งบุคคลทั่วไปด้วย ยกเว้นคนที่เป็น musicogenic epilepsy ซึ่งเป็นส่วนน้อยมาก ดั้งนั้นเราควรมองตนเอง ก่อนมองผู้อื่น และอยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุด
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่