2 เดือน กับการเป็นแม่นมของ "แมวจร"

ที่บริษัทฯ เรามักจะมีแมวจรเข้ามาทักทายอยู่บ่อยๆ ค่ะ
เราและเพื่อนๆ ก็ช่วยกันเลี้ยง พาไปทำหมัน พาไปหาหมอบ้างเมื่อมันป่วย
แต่สำหรับตัวล่าสุด ที่ตอนนี้เพื่อนได้รับไปเลี้ยงและได้ชื่อว่า "ย้งยี้"

(ภาพปัจจุบันที่อ้วนท้วนสมบูรณ์ ไม่ได้เป็นแมวจรแล้วนะจ๊ะ)
เรื่องมีอยู่ว่านางย้งยี้ เป็นแมวที่ขี้อ้อนมาก และนางมักจะมาทักทายพวกเราแถวลานจอดรถ
เราตั้งใจว่าจะพาไปทำหมัน แต่อยู่ๆ นางก็ท้องซึ่งท้องแรกก็ไม่รู้ว่าไปคลอดลูกไว้ที่ไหน
พอคลอดเสร็จก็ตกลงกันว่าจะพาไปทำหมัน แค่คิดยังไม่ได้ลงมือนางก็ท้องอีกแล้ว


หลังจากที่นางคลอดครอกนี้เสร็จเรียบร้อยปัญหาก็เกิด
เมื่อเพื่อนเราไปเจอนางย้งยี้ เดินอ่อนระโหยโรยแรงออกมาจากโกดังเก็บของในบริษัท
และที่สำคัญมีเลือดไหลออกทางช่องคลอด ด้วยความที่ตกใจมากกลัวนางจะเป็นอะไร
เราก็รีบพาไปหาหมอแบบเร่งด่วน ปรากฏว่านางเป็นมดลูกอักเสบ และต้องรีบผ่าตัด


ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องผ่าตัด แต่อยู่ที่ลูกแมวอยู่ตรงไหน เราต้องรีบกลับไปหาลูกแมว
จากข้อมูลสุดท้ายที่เราได้มาคือเพื่อนเห็นย้งยี้เดินออกมาจากโกดัง แน่นอนที่สุดลูกแมวต้องอยู่ในนี้
ตอนพักเที่ยงเรายอมไม่กินข้าวเที่ยง แล้วก็ไปรบกวนเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ มาช่วยกันตามหาแมว
ลูกแมวเพิ่งคลอดน่าจะประมาณ 2 วัน มันไม่สามารถร้องส่งเสียงได้
แล้วโกดังก็กว้างมากมี 2 ชั้น ใช้คนหาประมาณ 20 คน ใช้เวลาหาประมาณ 3 ชม. (พักเที่ยง พักเบรค ตอนเย็น)
สุดท้ายก็เจอลูกแมวทั้งหมด อยู่ในลังเล็กๆ และมีถึง 5 ตัว
เราผู้ไม่เคยเลี้ยงแมวมาก่อน แต่ยังดีที่เลี้ยงน้องหมาอยู่ ก็เลยต้องรับอาสาเป็นแม่นมแมว
และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เราได้เจอกัน เราย้ายจากลังที่นางย้งยี้ไปคลอดไว้ มาอยู่อีกลังนึงบนออฟฟิศ


เรื่องลูกแมวเรารู้แค่ 2 อย่างจริงๆ คือ ต้องกินนมแพะ และต้องกกไฟตลอด
วิ่งไปร้านหมออีกครั้งไปซื้อนมแพะ โชคดีมากหมอให้คำแนะนำเรื่องการป้อนนม
ช่วง 2 สัปดาห์แรกต้องป้อนทุกๆ 2 ชม. และต้องกระตุ้นการขับถ่าย
และที่สำคัญหมอพูดออกมาว่า "ถ้าผ่านเดือนแรกไปได้ เด็กๆ จะรอด"
แค่คำนี้ทำให้เรารู้สึกฮึดสู้ เอาสิเป็นไงเป็นกัน เลี้ยงลูกแมว 5 ตัว จะยากแค่ไหนก็ต้องผ่านไปให้ได้
วีคแรกก็ตะกุกตะกักนิดหน่อย ตรงที่ต้องป้อนนมบ่อยๆ และที่สำคัญต้องพาเจ้าตัวจิ๋ว 5 ตัว
เดินทางไป-มา ระหว่างบ้านกับออฟฟิศ เพราะไม่มีใครป้อนนม และเราก็ไม่ไว้ใจใคร



จนวีคแรกผ่านไป ก็พาเจ้าลูกแมวทั้ง 5 ไปตรวจสุขภาพครั้งแรก (เป็นห่วง + บ้าเห่อ)
และก็ได้ชื่อตามนี้ค่ะ ตั้งตามสี และก็คิดว่าจำง่ายที่สุด






ยอมรับว่าการดูแลลูกแมวเป็นเรื่องยากมาก แต่ก็บอกตัวเองว่าต้องทำให้ได้
หลังจากกินนมแพะแบบกระป๋องมา 1 วีค จากนั้นก็เปลี่ยนมากิน KMR เพราะคิดว่าดีที่สุดสำหรับลูกแมว
ขออนุญาตยืมภาพมาจากเน็ตนะคะ ราคาแพงแต่ถ้าดียังไงก็สู้ เพราะอยากให้พวกหนูแข็งแรง
เด็กๆ กินนมเก่งมากค่ะ เราใช้เลี้ยงไปทั้งหมด 6 กระป๋อง


จากนั้นก็ซื้อไซริงค์ 5 อัน ขวดนม 5 อัน สำลี ชุดสำหรับชงนม และกระตุ้นฉี่ และที่สำคัญคือหลอดไฟ และถุงน้ำร้อน
ต้องแบกของพวกนี้ไปกลับบ้าน ออฟฟิศทุกวัน และที่สำคัญชุดชงนมเราจะล้างและนึ่งฆ่าเชื้อทุกวันตอนเย็น
เข้าสู่วีคที่ 2 เด็กๆ เริ่มรู้เรื่องขึ้น จะมีแค่ลาเต้ตัวเดียวที่ยังสำลักนมอยู่ แต่ก็อาศัยความใจเย็นค่อยๆ ป้อนนม
โทรไปปรึกษาหมอ หมอบอกว่าถ้าน้องสำลักนม โอกาสรอดน้อยมาก
เราก็ร้องไห้ทุกวันเลย ก็พยายามพูดกับลาเต้ว่า ถ้าหนูอยากอยู่รอดหนูต้องช่วยแม่นะลูก
ลาเต้ก็จะเป็นตัวเดียวที่ไม่ค่อยได้ดูดขวดนม เพราะยังควบคุมเรื่องจังหวะการดูดเองไม่ได้
แต่ตอนนี้ลาเต้ก็กลายเป็นแมวตัวใหญ่ และน่าจะใหญ่กว่าตัวอื่นๆ ด้วย
ภาพลาเต้น้อย ตอนนี้ไปเป็นสาวสุพรรณ กับมอคค่าเรียบร้อยแล้ว 2 ตัวนี้ได้ไปอยู่บ้านเดียวกัน



อยากจะบอกว่ากลายเป็นคนโรคจิตนิดๆ ต้องสังเกตพัฒนาการ ต้องดูสีอึ สีฉี่
ต้องมีวินัยในตัวเองมาก ตั้งนาฬิกาปลุกทุกๆ 2 ชม. ชงนมก็ต้องวัดอุณหภูมิ
หลังเด็กๆ กินนมเสร็จก็ต้องไล่ลม โชคดีที่หมอแนะนำให้ทามหาหิงส์ เด็กๆ ก็เลยไม่ท้องอืด
ต้องใช้สำลีชุบน้ำอุ่นเช็ดตัว เช็ดตา เช็ดปาก เพื่อให้ตัวสะอาด และมดจะได้ไม่มายุ่ง
แต่จะช่วง 3 วันแรกที่เอามาเลี้ยง เด็กๆ ไม่อึเลย ก็ต้องแบกไปหาหมอ แต่หมอก็บอกว่ายังกินได้น้อยอยู่ ไม่อึถือเป็นเรื่องปกติ
ตอนนี้เริ่มรู้สึกหลงรักเด็กๆ จนหมดหัวใจ แต่ก็ต้องเริ่มปฏิบัติการหาบ้านให้เด็กๆ
เพราะคิดว่าตัวเองไม่สามารถเลี้ยงแมว 5 ตัว ในเวลาเดียวกันได้แน่ๆ






เราบอกเพื่อนๆ ทุกคนเลยว่า 2 เดือนนี้งดเที่ยว งดสังสรรค์ เพราะเราต้องทุ่มเวลาให้ลูกแมว
เราจะต้องผ่านช่วง 1 เดือนแรกไปให้ได้ แต่ก็อยากจะบอกว่าเด็กๆ น่าจะรับรู้ได้ถึงความรัก
ตั้งแต่เลี้ยงมาไม่เคยป่วย ไม่เคยท้องเสีย ถึงเวลานอนก็นอน ถึงเวลากินก็จะตื่นมากินโดยอัตโนมัติ


เราเลี้ยงลูกแมวในกล่อง และตะกร้ามา 1 เดือนเต็มๆ จนเด็กเริ่มโต และได้เวลาต้องย้ายที่
โชคดีที่เลี้ยงหมามาตั้งแต่เป็นเบบี๋เช่นกัน ก็เลยมีคอกหมา เอาไว้ให้เด็กจิ๋วได้หัดเดิน
ถึงเวลาได้ฝึกใช้กระบะทราย เริ่มให้เล่นของเล่น เริ่มให้กินอาหารเปียก แล้วก็เริ่มจำเสียงเราได้

อาหารเปียกให้กิน Royal canin kitten ค่ะ พอใกล้จะ 2 เดือนก็เปลี่ยนมาเป็นแบบเม็ดแช่น้ำ







เริ่มกินอาหารเปียกแล้ว ฝึกให้กินน้ำหลังกินอาหาร แต่ก็ยังมีบางตัวที่ยังไม่เลิกกินนมจากขวด




ภาพที่อยู่ในกล่องคือออฟฟิศนะคะ ส่วนในคอกคือที่บ้าน ทำแบบนี้เกือบ 2 เดือน



พอครบ 2 เดือน ก็พาไปฉีดวัคซีนเข็มแรก และถ่ายพยาธิ ใกล้เวลาที่จะต้องส่งมอบเด็กๆ ให้กับแม่ใหม่แล้ว
ใจมันก็จะหายๆ นิดนึง นอนร้องไห้ทุกวันเลย แต่โชคดีที่อเมริกาโน่เป็นแมวดำ ไม่มีใครต้องการ เราก็เลยได้เลี้ยงต่อไป
ดูหน้าตอนฉีดวัคซีนครั้งแรก มันก็จะอึนๆ หน่อย



บ้านใหม่ที่เด็กๆ ไปอยู่กันเป็นบ้านของเพื่อนเราในออฟฟิศนี่ล่ะค่ะ
ช่วยกันรับไปเลี้ยง แต่ละคนก็ดูแลกันเป็นอย่างดี ตอนนี้ก็โตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันหมดแล้วค่ะ
ลืมบอกไปว่าครอกนี้ มีลาเต้ตัวเดียวที่เป็นผู้หญิง ที่เหลือเป็นเด็กผู้ชายหมดเลย






อยากจะบอกว่าทุกครั้งที่พาเด็กๆ 4 ตัว ไปส่งมอบให้กับบ้านใหม่ จะร้องไห้อยู่ 3 วัน
มันเป็นความรู้สึกที่ผูกพันมาก ไม่อยากจะเชื่อว่าแค่ 2 เดือน จะทำให้เราหลงรักเด็กๆ ได้ขนาดนี้


เราเอาเด็กจิ๋วมาเลี้ยงกับหมาที่บ้าน 2 ตัว ก็เลยสนิทกัน
จากที่อเมริกาโน่ตัวเล็กกว่าพี่ๆ ตอนนี้กลายมาเป็นยักษ์ใหญ่
และอเมริกาโน่ก็กลายมาเป็นลูกบ้านนี้และมีพี่เป็นหมาโดยปริยาย





แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่