- สังคมฝรั่ง โดยเฉพาะอเมริกัน จะแยกให้ลูกนอนเดี่ยวตั้งแต่วัยเยาว์ ให้ช่วยเหลือตัวเองได้ ไม่กังวลว่าลูกจะรู้สึกกลัวผี หรืออ้างว้าง ต่างจากสังคมไทยซึ่งพ่อแม่ฟูมฟัก ทะนุถนอม นอนกอดลูก จนอายุหลายขวบก็มี เว้นแต่พวกสมัยใหม่
-เมื่อพ่อแม่อเมริกันส่งเสียให้ลูกเรียนจบแล้ว ก็ถือว่าสิ้นภาระ ลูกต้องหางานทำและหาที่อยู่ด้วยตัวเอง พ่อแม่ถ้ายังไม่หย่าร้างก็อยู่เอง โดยลูกไม่ต้องส่งเสียอุปการะเลี้ยงดู ไม่มีความผูกพันแนบแน่นเหมือนคนเอเชีย หรือคนในทวีปอื่นๆ
- ความกตัญญูรู้คุณต่อบุพการีมีเข้มข้นหรือไม่ เป็นเรื่องเฉพาะตัว โดยทั่วไป เป็นธรรมเนียมปฏิบัติว่า ลูกโตแล้วต้องช่วยตัวเอง ต้องหาทุน กู้เงิน เรียนมหาวิทยาลัยด้วยตัวเอง ทำงานได้ต้องย้ายออกจากบ้าน ดิ้นรนสร้างฐานะเอง
- อาจไปเยี่ยมพ่อแม่บ้าง ถ้าอยู่ในเมืองหรือรัฐเดียวกัน ถ้าอยู่ต่างรัฐ อาจพบกันวันรวมญาติหรือวันสำคัญเช่นคริสต์มาส แล้วแต่ความสะดวกหรือปัจจัยเกื้อหนุน ในยุคที่ลูกมีปัญหา โดนเลิกจ้าง หางานทำไม่ได้เมื่อมีวิกฤตเศรษฐกิจ อาจพึ่งพาพ่อแม่
- นั่นหมายความว่าพ่อแม่มีฐานะดี หรือยังช่วยเหลือได้ เคยมีกรณีที่ลูกชายตกงาน ยังมีเงินจ่ายชดเชยให้บ้าง ขอกลับไปอยู่บ้านพ่อแม่ เช่าห้องที่ตัวเองเคยอยู่ในวัยเด็ก แม้ไม่มีรายได้ แต่ก็จ่ายค่าเช่า ทุกอย่างเป็นเหมือนธุรกิจ เหมือนคนทั่วไป
- สายใยสัมพันธ์ของสายเลือดเดียวกันยังมีอยู่ ที่ยอมให้เช่าห้องอาศัย แต่ไม่ได้หมายความจะอยู่ตลอดไป ถ้าลูกได้งานทำ ต้องขยับขยายออกไป
พอดีเอามาจากข่าวนี้
ข่าวดังสัปดาห์ก่อนเมื่อ 2 สามี ภรรยา ชาวนิวยอร์ก ยื่นคำร้องต่อศาล สั่งให้ลูกชายอายุ 30 ปี ย้ายออกจากบ้านไปหาที่อยู่ใหม่ด้วยตัวเอง หลังจากที่ได้ยื่นโนติสให้ทราบ 5 ครั้งแล้ว แต่ลูกชายไม่ใส่ใจ อ้างว่าต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า 6 เดือน
ศาลไม่ต้องพิจารณาว่าทั้ง 2 ฝ่ายควรรอมชอม เห็นอกเห็นใจซึ่งกัน ด้วยสายใยสัมพันธ์ของพ่อแม่และลูก แต่เห็นพ้องกับคำขอของพ่อแม่ โดยอ้างว่าหลักฐานการแจ้งให้ย้ายออกจากบ้าน 5 ครั้งที่นำมาเสนอให้ศาลเห็น เพียงพอแล้ว
ฝ่ายพ่อแม่คือ นายมาร์ค และนางคริสตินา โรทอนโด ฝ่ายลูกชายคือไมเคิล วัย 30 ปี ไว้ผมยาว หนวดเครา จัดอยู่ในประเภทไม่จริงจังกับชีวิต หรือประเภทคนไม่เอาถ่าน เป็นเหตุนี้หรือไม่ที่ทำให้พ่อแม่เอือมระอา
แต่สังคมอเมริกันก็เป็นอย่างนี้
มีช่วงหนึ่งคนผู้เป็นพ่อได้แจ้งให้ไมเคิลเป็นหนังสืออย่างเป็นทางการ “หลังจากได้ปรึกษากับแม่แกแล้ว เรามีความเห็นว่าลูกต้องย้ายออกไปจากบ้านนี้ภายใน 14 วัน จะกลับมาอีกไม่ได้อย่างเด็ดขาด และพ่อกับแม่จะดำเนินมาตรการที่จำเป็น”
หลังจากนั้น ทั้งตัวพ่อและแม่ได้หาคำปรึกษาจากทนาย และยอมยืดเวลาให้อีก 30 วันเพื่อให้ไมเคิลย้ายออก ไม่อย่างนั้นจะดำเนินคดีตามกฎหมาย ฟ้องศาลรวมแล้ว แม้ได้แจ้งให้ออกจากบ้าน 5 ครั้ง ไมเคิลยังดื้อแพ่ง สุดท้าย พ่อยอมควักกระเป๋าจ่ายให้ 1,100 ดอลลาร์เพื่อเป็นค่าขนย้าย ให้หาที่เช่า แถมยังบอกว่าให้ขายอะไรที่แลกเป็นเงินได้ จะได้ไม่เป็นภาระในการขนย้ายไปอยู่ที่ใหม่
“ลูกควรขายสิ่งที่เป็นภาระ เช่นเครื่องเสียงสเตอริโอ เครื่องมือ เครื่องใช้ต่างๆ รวมทั้งอาวุธบางอย่างที่มีอยู่ เพราะสถานที่อยู่ใหม่ไม่น่าจะมีที่ให้เก็บของพวกนั้น”ที่สุดแสบคือคำแนะนำว่า “ข้างนอกมีงานให้ทำ แม้แต่คนอย่างลูกซึ่งมีประวัติการทำงานดูไม่ดี ก็ยังจะหางานทำ หาเงินเองได้ ดังนั้น ต้องหางานให้ได้ ลูกต้องทำงาน จะอยู่แบบนี้ไม่ได้” นี่เป็นคำแนะนำของพ่อ ซึ่งดูเหมือนยังห่วงใยเล็กน้อย
เส้นตายที่กำหนดไว้ล่าสุดคือ 30 มีนาคมที่ผ่านมา จากนั้นพ่อได้แจ้งให้ไมเคิลย้ายรถยนต์ที่ชำรุดให้ออกไปพ้นจากบริเวณที่อยู่อาศัย พร้อมกับทรัพย์สินอื่นๆ มีข้อเสนอที่จะซ่อมรถให้ใช้การได้เพื่อขนย้ายสิ่งของด้วย แต่ไมเคิลก็ไม่ใส่ใจ
สุดท้ายคนผู้เป็นพ่อต้องยื่นคำร้องต่อศาล ขับไล่ลูกให้ออกจากบ้าน ไมเคิลยื่นคำร้องแย้งให้ศาลไม่รับคำฟ้อง มีข้ออ้างต่อศาลซึ่งน่าจะทำให้พ่อแม่โกรธหนักขึ้น
https://mgronline.com/daily/detail/9610000051562
สังคมอเมริกันเลี้ยงลูกแบบนี้ จริงไหมครับ เอามาใช้กับเมืองไทยบ้างจะเป็นยังไง
-เมื่อพ่อแม่อเมริกันส่งเสียให้ลูกเรียนจบแล้ว ก็ถือว่าสิ้นภาระ ลูกต้องหางานทำและหาที่อยู่ด้วยตัวเอง พ่อแม่ถ้ายังไม่หย่าร้างก็อยู่เอง โดยลูกไม่ต้องส่งเสียอุปการะเลี้ยงดู ไม่มีความผูกพันแนบแน่นเหมือนคนเอเชีย หรือคนในทวีปอื่นๆ
- ความกตัญญูรู้คุณต่อบุพการีมีเข้มข้นหรือไม่ เป็นเรื่องเฉพาะตัว โดยทั่วไป เป็นธรรมเนียมปฏิบัติว่า ลูกโตแล้วต้องช่วยตัวเอง ต้องหาทุน กู้เงิน เรียนมหาวิทยาลัยด้วยตัวเอง ทำงานได้ต้องย้ายออกจากบ้าน ดิ้นรนสร้างฐานะเอง
- อาจไปเยี่ยมพ่อแม่บ้าง ถ้าอยู่ในเมืองหรือรัฐเดียวกัน ถ้าอยู่ต่างรัฐ อาจพบกันวันรวมญาติหรือวันสำคัญเช่นคริสต์มาส แล้วแต่ความสะดวกหรือปัจจัยเกื้อหนุน ในยุคที่ลูกมีปัญหา โดนเลิกจ้าง หางานทำไม่ได้เมื่อมีวิกฤตเศรษฐกิจ อาจพึ่งพาพ่อแม่
- นั่นหมายความว่าพ่อแม่มีฐานะดี หรือยังช่วยเหลือได้ เคยมีกรณีที่ลูกชายตกงาน ยังมีเงินจ่ายชดเชยให้บ้าง ขอกลับไปอยู่บ้านพ่อแม่ เช่าห้องที่ตัวเองเคยอยู่ในวัยเด็ก แม้ไม่มีรายได้ แต่ก็จ่ายค่าเช่า ทุกอย่างเป็นเหมือนธุรกิจ เหมือนคนทั่วไป
- สายใยสัมพันธ์ของสายเลือดเดียวกันยังมีอยู่ ที่ยอมให้เช่าห้องอาศัย แต่ไม่ได้หมายความจะอยู่ตลอดไป ถ้าลูกได้งานทำ ต้องขยับขยายออกไป
พอดีเอามาจากข่าวนี้
ข่าวดังสัปดาห์ก่อนเมื่อ 2 สามี ภรรยา ชาวนิวยอร์ก ยื่นคำร้องต่อศาล สั่งให้ลูกชายอายุ 30 ปี ย้ายออกจากบ้านไปหาที่อยู่ใหม่ด้วยตัวเอง หลังจากที่ได้ยื่นโนติสให้ทราบ 5 ครั้งแล้ว แต่ลูกชายไม่ใส่ใจ อ้างว่าต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า 6 เดือน
ศาลไม่ต้องพิจารณาว่าทั้ง 2 ฝ่ายควรรอมชอม เห็นอกเห็นใจซึ่งกัน ด้วยสายใยสัมพันธ์ของพ่อแม่และลูก แต่เห็นพ้องกับคำขอของพ่อแม่ โดยอ้างว่าหลักฐานการแจ้งให้ย้ายออกจากบ้าน 5 ครั้งที่นำมาเสนอให้ศาลเห็น เพียงพอแล้ว
ฝ่ายพ่อแม่คือ นายมาร์ค และนางคริสตินา โรทอนโด ฝ่ายลูกชายคือไมเคิล วัย 30 ปี ไว้ผมยาว หนวดเครา จัดอยู่ในประเภทไม่จริงจังกับชีวิต หรือประเภทคนไม่เอาถ่าน เป็นเหตุนี้หรือไม่ที่ทำให้พ่อแม่เอือมระอา แต่สังคมอเมริกันก็เป็นอย่างนี้
มีช่วงหนึ่งคนผู้เป็นพ่อได้แจ้งให้ไมเคิลเป็นหนังสืออย่างเป็นทางการ “หลังจากได้ปรึกษากับแม่แกแล้ว เรามีความเห็นว่าลูกต้องย้ายออกไปจากบ้านนี้ภายใน 14 วัน จะกลับมาอีกไม่ได้อย่างเด็ดขาด และพ่อกับแม่จะดำเนินมาตรการที่จำเป็น”
หลังจากนั้น ทั้งตัวพ่อและแม่ได้หาคำปรึกษาจากทนาย และยอมยืดเวลาให้อีก 30 วันเพื่อให้ไมเคิลย้ายออก ไม่อย่างนั้นจะดำเนินคดีตามกฎหมาย ฟ้องศาลรวมแล้ว แม้ได้แจ้งให้ออกจากบ้าน 5 ครั้ง ไมเคิลยังดื้อแพ่ง สุดท้าย พ่อยอมควักกระเป๋าจ่ายให้ 1,100 ดอลลาร์เพื่อเป็นค่าขนย้าย ให้หาที่เช่า แถมยังบอกว่าให้ขายอะไรที่แลกเป็นเงินได้ จะได้ไม่เป็นภาระในการขนย้ายไปอยู่ที่ใหม่
“ลูกควรขายสิ่งที่เป็นภาระ เช่นเครื่องเสียงสเตอริโอ เครื่องมือ เครื่องใช้ต่างๆ รวมทั้งอาวุธบางอย่างที่มีอยู่ เพราะสถานที่อยู่ใหม่ไม่น่าจะมีที่ให้เก็บของพวกนั้น”ที่สุดแสบคือคำแนะนำว่า “ข้างนอกมีงานให้ทำ แม้แต่คนอย่างลูกซึ่งมีประวัติการทำงานดูไม่ดี ก็ยังจะหางานทำ หาเงินเองได้ ดังนั้น ต้องหางานให้ได้ ลูกต้องทำงาน จะอยู่แบบนี้ไม่ได้” นี่เป็นคำแนะนำของพ่อ ซึ่งดูเหมือนยังห่วงใยเล็กน้อย
เส้นตายที่กำหนดไว้ล่าสุดคือ 30 มีนาคมที่ผ่านมา จากนั้นพ่อได้แจ้งให้ไมเคิลย้ายรถยนต์ที่ชำรุดให้ออกไปพ้นจากบริเวณที่อยู่อาศัย พร้อมกับทรัพย์สินอื่นๆ มีข้อเสนอที่จะซ่อมรถให้ใช้การได้เพื่อขนย้ายสิ่งของด้วย แต่ไมเคิลก็ไม่ใส่ใจ
สุดท้ายคนผู้เป็นพ่อต้องยื่นคำร้องต่อศาล ขับไล่ลูกให้ออกจากบ้าน ไมเคิลยื่นคำร้องแย้งให้ศาลไม่รับคำฟ้อง มีข้ออ้างต่อศาลซึ่งน่าจะทำให้พ่อแม่โกรธหนักขึ้น
https://mgronline.com/daily/detail/9610000051562