ตอนที่แล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://pantip.com/topic/37694309
***************************************************************************************************************
ซ่อนรักพรางใจ
ตอนที่ 2 คนนอกสายตา
…..เหมรัศนิ์วางช้อนส้อมในมือลงบนจานข้าวแล้วมองดูคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาให้ช้อนและส้อมจัดการปลาช่อนทอดกรอบตัวโตที่ราดด้วยน้ำพริกมะขามในจานกระเบื้องสีขาวจานใหญ่อย่างตั้งอกตั้งใจ มุมปากหยักยกขึ้นยิ้มอย่างเอ็นดูหญิงสาวตรงหน้า จะผ่านไปสักกี่ปีปณาลีก็ยังคงเป็นเด็กสาวจอมซนอยู่เช่นเดิม
“ หนูลี ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์กับไก่ทอดคลุกซอสยังรออยู่นะ สนใจมันบ้างตรงหน้านั่น ” นั่นล่ะปณาลีจึงเงยหน้าขึ้นมามองชายหนุ่มแล้วส่งยิ้มอายๆ
“ เนื้อปลามันต้องแซะนี่คะ ขอหนูลีจัดการก่อน ” แล้วเธอก็แซะเนื้อปลามาได้คำโตอย่างสมใจ สองหนุ่มสาวต่างทานอาหารกันเงียบๆเพราะลัลนาขอตัวไปเข้าห้องน้ำส่วนอคินก็ออกไปคุยโทรศัพท์กับลูกค้า
“ พี่เห็นหนูลีตั้งแต่ปีหนึ่งจนจะเรียนจบแล้ว ยังไม่เห็นหนูลีมีแฟนเลย ” ประโยคนั้นทำเอาปณาลีสำลักก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม เหมรัศนิ์จึงรีบส่งกระดาษเช็ดปากให้
“ หนูลี ยังไม่เจอคนที่ชอบน่ะค่ะ ” แก้มใสแดงระเรื่อขึ้น
“ คนมาจีบเยอะแยะไม่ชอบสักคนเลยเหรอ ” เหมรัศนิ์หันไปตักกับข้าวจึงไม่ทันเห็นประกายตาหวานของปณาลีที่มองมายังตัวเองก่อนแวบหายไปเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมา
“ แล้วถ้าชอบคนที่เขาไม่สนใจ เขาจะชอบหนูลีไหมล่ะคะ ” น้ำเสียงติดจะสั่นน้อยๆของหญิงสาวตอบมาแต่ชายหนุ่มก็ไม่ทันได้เอะใจอะไร
“ พี่เชื่อว่าต้องมีสักครั้งที่โชคชะตาหรือโอกาสจะเป็นของเรา ” เขายิ้มบางๆ “ เปิดใจให้หนุ่มสักคนบ้าง พี่สงสารพวกหนุ่มนักศึกษาที่ตามเราต้อยๆตั้งแต่ยังไม่ถอดป้ายชื่อเฟรชชี่ ” เท่านั้นล่ะปณาลีก็หัวเราะเสียงดัง
ผ่านไปสักครู่ลัลนาก็กลับเข้ามาแล้วนั่งลงเก้าอี้ข้างชายหนุ่ม สองคนต่างดูแลเอาอกเอาใจซึ่งกันและกันจนปณาลีอดยิ้มตามไม่ได้ บรรยากาศในห้องอาหารไทยดูจะเป็นสีชมพูไปหมดจนนึกอยากแกล้ง
“ โอ้ย อิจฉาคนกำลังจะแต่งงานกัน ” ปณาลีเอ่ยเสียงใสพร้อมกรอกตาไปมา ลัลนาจึงหันมามองตาโตพร้อมกับหน้าแดง
“ อ้าว หนูลีรู้ซะแล้ว นินาตั้งใจจะบอกอยู่เชียว ” ลัลนาลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินมาโอบเพื่อนรักจากข้างหลัง ปณาลีจึงหัวเราะเสียงดังอีกรอบ
“ หนูลีมีสายสืบนะจะบอกให้ ” เจ้าตัวยิ้มกริ่ม
“ สายสืบที่ชื่ออคินน่ะสิ ” เหมรัศนิ์เอ่ยยิ้มๆ พูดถึงอคินเจ้าตัวก็กลับเข้ามาพอดีจึงเลิกคิ้วสงสัยกับสายตาทั้งสามคู่ เขาเหล่ตามองท่าทางแต่ละคนก่อนจะถึงบางอ้อ
“ ไม่อยู่แป๊ปเดียวนินทาฉันแน่เลย ถ้าให้เดาก็เรื่องงานแต่งสินะ ” อคินโคลงหัวเบาๆก่อนจะนั่งลงเก้าอี้ข้างๆปณาลี
อคินหันไปมองใบหน้าหวานของลัลนาอย่างเอ็นดูก่อนจะมองใบหน้าอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ ฉันเซอร์ไพรส์ไปแล้ว หนูลีตื่นเต้นสุดๆเลยล่ะ ” น้ำเสียงของอคินรื่นเริงก่อนจะชักชวนทุกคนทานอาหารต่อ
ระหว่างที่สองหนุ่มสาวต่างมีออร่าความสุขโอบล้อมรอบตัว หัวใจของคนๆหนึ่งกลับมีไอเย็นที่ค่อยๆเกาะหนึบเข้าไปทีละน้อยจนรู้สึกชาวาบไปทั้งหัวใจ
“ โอเคมั้ย… ” อคินกระซิบถามคนนั่งเงียบอยู่ข้างๆ ปณาลีจึงหันมายิ้มให้เล็กน้อย
“ ดีแล้วค่ะพี่คิน ” เสียงสั่นพร่าตอบกลับมา ก่อนจะหันไปมองภาพตรงหน้าอีกครั้ง “ ลีมีความสุขมากค่ะ… ”
…..ลมหนาวช่วงปลายปียังคงทำหน้าที่ตามฤดูกาลได้เป็นอย่างดีในความรู้สึกของปณาลี มือบางวางปากกาหมึกดำที่กำลังวาดลายเส้นบนกระดาษลงชั่วคราวเมื่อกลีบดอกไม้แห้งบางชนิดปลิวลงมาตกลงตรงหน้า เมื่อหยิบขึ้นมาดูก็อมยิ้มเมื่อเห็นว่าเป็นกลีบของดอกกุหลาบสีขาวบริสุทธิ์ที่แห้งจนเกือบเป็นสีน้ำตาลแล้ว เธอจึงปล่อยมือให้สายลมพัดพากลีบดอกไปเช่นเดิมแล้วเงยหน้าขึ้นมองดูรอบกายเพื่อเป็นการพักสายตา
“ ปณาลี… ” เสียงทุ้มนุ่มจากข้างหลังทำให้เจ้าตัวหันไปมองก่อนจะยิ้มแล้วลุกขึ้นสวัสดี
“ สวัสดีค่ะท่านรองปรัชญ์ ” รองคณบดี ปรัชญ์ เศรษฐภูมิ หนุ่มร่างสูงใหญ่วัยสามสิบต้นๆใบหน้าคมสัน เขายิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าระอาใจ
“ บอกให้เรียกแค่อาจารย์ก็พอ ไม่เคยเชื่อฟังกันเลยนะปณาลี ” ปรัชญ์ดุมาอย่างนั้นปณาลีจึงทำหน้าแหย
“ โธ่ หนูให้เกียรติอาจารย์เลยนะคะ อ้อ! อาจารย์เรียกหนูมีอะไรจะใช้หรือเปล่าคะ ” ปณาลีถามด้วยแววตาสุกใส
“ เห็นนั่งอยู่ตั้งนานแล้วเลยลงมาดูเสียหน่อย อากาศเย็นขึ้นแล้วเดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก ” ปรัชญ์พูดอย่างนั้นปณาลีจึงก้มมองดูนาฬิกาข้อมือแล้วอุทานลั่น
“ ห้าโมงเย็นแล้ว! หนูต้องกลับแล้วล่ะค่ะอาจารย์ ” เห็นท่าทางลนลานเก็บข้าวของแล้วปรัชญ์ก็ยิ้มอ่อนโยน
“ ผมก็จะกลับพอดี คุณกลับพร้อมผมเลยละกัน ” ปรัชญ์รวบรัดเสียเลย ปณาลีจึงหันมาปฏิเสธ
“ อุ้ย! ไม่ดีหรอกค่ะอาจารย์ หนูกลับเองได้ค่ะไม่รบกวนอาจารย์หรอกค่ะ ” แต่แล้วปณาลีก็ต้องหน้าม่อยลง
“ บ้านอยู่ตรงข้ามกันนี่เองจะได้ไม่เสียเวลา เมื่อก่อนก็ยังกลับด้วยกันได้นี่ ” ปรัชญ์พูดเสียงขรึมแต่ในใจแอบขำท่าทางก้มหน้าก้มตานั้น
“ เมื่อก่อนกับตอนนี้มันไม่เหมือนกันนี่คะ ” ปณาลีอ้อมแอ้มตอบแต่สุดท้ายก็ต้องยื่นมือไปรับกุญแจรถแล้วเดินคอตกไปนั่งรอที่รถยนต์คันงามของปรัชญ์
ระหว่างทางกลับบ้านปรัชญ์ก็ชวนพูดคุยเรื่องการเรียนและเรื่องทั่วไปกับหญิงสาวที่นั่งข้างกาย
“ สรุปแล้วเรียนจบปุ๊ปก็จะไปทำงานกับอคินเลย ก็ดีนะ ” น้ำเสียงปรัชญ์สบายๆ
“ ค่ะ พี่คินอุตส่าห์ให้โอกาสหนูลีก็ต้องทำให้ดีสมกับที่คินไว้ใจ ” เสียงใสมีประกายความสุข ปรัชญ์จึงเอื้อมมือไปโยกศีรษะได้รูปเบาๆก่อนจะกลับมาแตะเกียร์เมื่อได้สัญญาณไฟเขียว
“ ออกจากรั้วมหา’ลัยไปแล้วสังคมภายนอกก็กว้างขึ้น ต้องดูแลตัวเองให้ดีๆอย่าให้คุณพ่อคุณแม่ต้องห่วงล่ะ ”
ปรัชญ์เอ่ยเตือนด้วยความหวังดีด้วยความรู้สึกห่วงใยเพราะปณาลีต้องสูญเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่เพิ่งจบมัธยมปลายแล้วใช้ชีวิตอยู่กับ ปกรณ์ พี่ชายที่อายุห่างกันเกือบห้าปีตามลำพัง นับว่ายังโชคยังดีที่พ่อแม่ของทั้งสองพี่มีเงินประกันและเงินชดเชยของบริษัทที่ทำงานทิ้งไว้ให้ใช้จ่ายภาระต่างๆ ปกรณ์ที่เพิ่งเรียนจบและทำงานเป็นสถาปนิกมือใหม่งานน้อยตอนนั้นจึงไม่ต้องลำบากเรื่องหาเงินส่งเสียน้องสาวเรียนมากนัก ปรัชญ์เองก็รู้สึกเสียใจกับการสูญเสียพี่ชายและพี่สาวที่ตนเคารพไปไม่น้อยเพราะตั้งแต่เขาย้ายกลับมาอยู่เมืองไทยหลังจากเรียนจบปริญญาโทที่เมืองนอกก็ต้องอยู่ตัวคนเดียวแบบไร้ญาติก็ว่าได้จนเมื่อครอบครัวที่อยู่บ้านหลังตรงกันข้ามเข้ามาทำความรู้จักและไปมาหาสู่กันเป็นประจำ เขารู้จักและสนิทสนมกับคนในบ้านนั้นตั้งแต่ปกรณ์ยังเรียนปริญญาด้วยซ้ำและสองพี่น้องยังเคยเข้ามาก่อกวนในบ้านให้เขาสดชื่นไม่ต้องรู้สึกโดดเดี่ยวตลอดมา
“ ตอนเราอยู่มัธยมยังเคยมาอ้อนพี่ปรัชญ์ไปรับไปส่งที่โรงเรียนอยู่เลย ตอนนี้มาทำเขินอายไปได้ ”
“ โธ่ แต่ตอนนี้หนูลีเป็นนักศึกษานะคะ แล้วพี่ปรัชญ์ก็เป็นอาจารย์เป็นถึงท่านรองที่หนุ่มที่สุดแล้วด้วย ” ปณาลียิ้มหวาน
“ กลายเป็นว่าเราก็ต้องเป็นคนแปลกหน้ากันเวลาอยู่มหาวิทยาลัย ” ปรัชญ์ถอนหายใจ
“ พี่ปรัชญ์อย่างอนน๊า อีกไม่กี่เดือนหนูลีก็เรียนจบแล้วเราก็กลับมามุ้งมิ้งกันเหมือนเดิมได้แล้วนะ ” ยื่นมือไปสะกิดแขนเสื้อเชิ้ตของชายหนุ่มเหมือนแมว
“ ไม่ต้องเลย มุ้งมิ้งอะไรล่ะโตเป็นสาวแล้ว เดี๋ยวก็ถูกปล้ำเสียหรอก ” ปรัชญ์ทำเสียงดุแต่ปณาลีกลับหัวเราะ
“ ไม่เอาอ่ะ คนแก่หนูลีไม่ชอบ ” สาวน้อยทำหน้าย่น
“ ต้องหนุ่มๆแบบคู่หมั้นเพื่อนรักเราน่ะเหรอ ” ปรัชญ์พูดขึ้นลอยๆ
“ พี่ปรัชญ์รู้! ” ปณาลีตกใจเสียงดัง
“ โอ้ย สายตาหวานเยิ้มขนาดนั้นพี่เป็นผู้ใหญ่แล้วดูออกหรอกน่ะ ถือว่านินาเองก็ใจกว้างนะที่ไม่ถือสาเรื่องแบบนี้ ”
“ หนูลีเป็นเพื่อนที่แย่ใช่ไหมคะ เป็นผู้หญิงไม่ดี ” ปณาลีหงอยลงทันที
“ อ่ะ ถึงบ้านพี่ละ เดี๋ยวลงไปเปิดประตูรั้วให้ทีรีโมตเจ๊งยังไม่ซ่อมเลย ” ปณาลีก็หันมาทำหน้ายู่ก่อนจะเปิดประตูรถลงไป
เมื่อปรัชญ์จอดรถเรียบร้อยแล้วก็เดินมาส่งปณาลีที่บ้านฝั่งตรงข้าม ปณาลีจึงชวนทานข้าวเย็นด้วยซึ่งเขาก็ไม่ปฏิเสธ
“ แล้วนี่นายอ้อมจะกลับมาวันไหน ” หลังจากได้ข้าวผัดกุ้งคนละจานปรัชญ์ก็ถามถึงพี่ชายของปณาลี
“ ก่อนปีใหม่สักสองสามวันค่ะ ใกล้ปิดงานตกแต่งรีสอร์ทแล้ว ”
“ คราวก่อนจะไปบอกพี่ว่าหลังโปรเจกนี้แล้วก็พักยาวเลยนี่ ”
“ ใช่ค่ะ ทีนี้พี่อ้อมก็พาหนูลีไปเที่ยวได้แล้ว ” ปณาลีร่าเริงขึ้นมาทันที
“ นั่นไง เดี๋ยวก็สอบตกหรอก ” ปรัชญ์ทำเสียงดุแต่ปณาลีหรือจะกลัว
ปรัชญ์อยู่เป็นเพื่อนหญิงสาวจนถึงสองทุ่มก็เตรียมตัวกลับ ปณาลีจึงเดินออกมาส่งที่หน้าบ้าน
“ พี่ปรัชญ์คะ เรื่องนั้น… ” ปณาลีพูดแบบกล้าๆกลัวๆ
“ หืม… ” เขาทำเป็นไม่เข้าใจ ปณาลีจึงเงยหน้าขึ้นมามองเขาตาแดงเหมือนจะอ้อนวอน ปรัชญ์ถอนหายใจก่อนที่จะดึงแขนหญิงสาวกลับเข้ามาหลบที่หลังพุ่มต้นดอกแก้วเพื่อป้องกันสายตาของคนที่ผ่านไปมา ลับตาคนพอสมควรเขาดึงร่างปณาลีมาโอบหลวมๆ
“ ถ้าไม่ไหวก็มาซบอกคนแก่อย่างพี่ได้เสมอนะ ความรักมันก็ยุ่งยากแบบนี้ล่ะอยู่ขึ้นคานเป็นเพื่อนพี่ดีกว่า ” ปลอบใจด้วยคำพูดขำๆปณาลีจึงหัวเราะออกมาได้
***************************************************************************************************************
(ถ้าขัดใจว่าตอนสั้นไปหน่อย ต้องขออภัยนะคะเพราะว่าในเว็บก็ลงเท่านี้เช่นกัน)
บอกเลยว่าหนุ่มๆในเรื่องนี้ ละมุนทุกคนค่ะ อิอิ
มุกตามัน
ซ่อนรักพรางใจ (ตอนที่ 2)
***************************************************************************************************************
ซ่อนรักพรางใจ
ตอนที่ 2 คนนอกสายตา
…..เหมรัศนิ์วางช้อนส้อมในมือลงบนจานข้าวแล้วมองดูคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาให้ช้อนและส้อมจัดการปลาช่อนทอดกรอบตัวโตที่ราดด้วยน้ำพริกมะขามในจานกระเบื้องสีขาวจานใหญ่อย่างตั้งอกตั้งใจ มุมปากหยักยกขึ้นยิ้มอย่างเอ็นดูหญิงสาวตรงหน้า จะผ่านไปสักกี่ปีปณาลีก็ยังคงเป็นเด็กสาวจอมซนอยู่เช่นเดิม
“ หนูลี ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์กับไก่ทอดคลุกซอสยังรออยู่นะ สนใจมันบ้างตรงหน้านั่น ” นั่นล่ะปณาลีจึงเงยหน้าขึ้นมามองชายหนุ่มแล้วส่งยิ้มอายๆ
“ เนื้อปลามันต้องแซะนี่คะ ขอหนูลีจัดการก่อน ” แล้วเธอก็แซะเนื้อปลามาได้คำโตอย่างสมใจ สองหนุ่มสาวต่างทานอาหารกันเงียบๆเพราะลัลนาขอตัวไปเข้าห้องน้ำส่วนอคินก็ออกไปคุยโทรศัพท์กับลูกค้า
“ พี่เห็นหนูลีตั้งแต่ปีหนึ่งจนจะเรียนจบแล้ว ยังไม่เห็นหนูลีมีแฟนเลย ” ประโยคนั้นทำเอาปณาลีสำลักก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม เหมรัศนิ์จึงรีบส่งกระดาษเช็ดปากให้
“ หนูลี ยังไม่เจอคนที่ชอบน่ะค่ะ ” แก้มใสแดงระเรื่อขึ้น
“ คนมาจีบเยอะแยะไม่ชอบสักคนเลยเหรอ ” เหมรัศนิ์หันไปตักกับข้าวจึงไม่ทันเห็นประกายตาหวานของปณาลีที่มองมายังตัวเองก่อนแวบหายไปเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมา
“ แล้วถ้าชอบคนที่เขาไม่สนใจ เขาจะชอบหนูลีไหมล่ะคะ ” น้ำเสียงติดจะสั่นน้อยๆของหญิงสาวตอบมาแต่ชายหนุ่มก็ไม่ทันได้เอะใจอะไร
“ พี่เชื่อว่าต้องมีสักครั้งที่โชคชะตาหรือโอกาสจะเป็นของเรา ” เขายิ้มบางๆ “ เปิดใจให้หนุ่มสักคนบ้าง พี่สงสารพวกหนุ่มนักศึกษาที่ตามเราต้อยๆตั้งแต่ยังไม่ถอดป้ายชื่อเฟรชชี่ ” เท่านั้นล่ะปณาลีก็หัวเราะเสียงดัง
ผ่านไปสักครู่ลัลนาก็กลับเข้ามาแล้วนั่งลงเก้าอี้ข้างชายหนุ่ม สองคนต่างดูแลเอาอกเอาใจซึ่งกันและกันจนปณาลีอดยิ้มตามไม่ได้ บรรยากาศในห้องอาหารไทยดูจะเป็นสีชมพูไปหมดจนนึกอยากแกล้ง
“ โอ้ย อิจฉาคนกำลังจะแต่งงานกัน ” ปณาลีเอ่ยเสียงใสพร้อมกรอกตาไปมา ลัลนาจึงหันมามองตาโตพร้อมกับหน้าแดง
“ อ้าว หนูลีรู้ซะแล้ว นินาตั้งใจจะบอกอยู่เชียว ” ลัลนาลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินมาโอบเพื่อนรักจากข้างหลัง ปณาลีจึงหัวเราะเสียงดังอีกรอบ
“ หนูลีมีสายสืบนะจะบอกให้ ” เจ้าตัวยิ้มกริ่ม
“ สายสืบที่ชื่ออคินน่ะสิ ” เหมรัศนิ์เอ่ยยิ้มๆ พูดถึงอคินเจ้าตัวก็กลับเข้ามาพอดีจึงเลิกคิ้วสงสัยกับสายตาทั้งสามคู่ เขาเหล่ตามองท่าทางแต่ละคนก่อนจะถึงบางอ้อ
“ ไม่อยู่แป๊ปเดียวนินทาฉันแน่เลย ถ้าให้เดาก็เรื่องงานแต่งสินะ ” อคินโคลงหัวเบาๆก่อนจะนั่งลงเก้าอี้ข้างๆปณาลี
อคินหันไปมองใบหน้าหวานของลัลนาอย่างเอ็นดูก่อนจะมองใบหน้าอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ ฉันเซอร์ไพรส์ไปแล้ว หนูลีตื่นเต้นสุดๆเลยล่ะ ” น้ำเสียงของอคินรื่นเริงก่อนจะชักชวนทุกคนทานอาหารต่อ
ระหว่างที่สองหนุ่มสาวต่างมีออร่าความสุขโอบล้อมรอบตัว หัวใจของคนๆหนึ่งกลับมีไอเย็นที่ค่อยๆเกาะหนึบเข้าไปทีละน้อยจนรู้สึกชาวาบไปทั้งหัวใจ
“ โอเคมั้ย… ” อคินกระซิบถามคนนั่งเงียบอยู่ข้างๆ ปณาลีจึงหันมายิ้มให้เล็กน้อย
“ ดีแล้วค่ะพี่คิน ” เสียงสั่นพร่าตอบกลับมา ก่อนจะหันไปมองภาพตรงหน้าอีกครั้ง “ ลีมีความสุขมากค่ะ… ”
…..ลมหนาวช่วงปลายปียังคงทำหน้าที่ตามฤดูกาลได้เป็นอย่างดีในความรู้สึกของปณาลี มือบางวางปากกาหมึกดำที่กำลังวาดลายเส้นบนกระดาษลงชั่วคราวเมื่อกลีบดอกไม้แห้งบางชนิดปลิวลงมาตกลงตรงหน้า เมื่อหยิบขึ้นมาดูก็อมยิ้มเมื่อเห็นว่าเป็นกลีบของดอกกุหลาบสีขาวบริสุทธิ์ที่แห้งจนเกือบเป็นสีน้ำตาลแล้ว เธอจึงปล่อยมือให้สายลมพัดพากลีบดอกไปเช่นเดิมแล้วเงยหน้าขึ้นมองดูรอบกายเพื่อเป็นการพักสายตา
“ ปณาลี… ” เสียงทุ้มนุ่มจากข้างหลังทำให้เจ้าตัวหันไปมองก่อนจะยิ้มแล้วลุกขึ้นสวัสดี
“ สวัสดีค่ะท่านรองปรัชญ์ ” รองคณบดี ปรัชญ์ เศรษฐภูมิ หนุ่มร่างสูงใหญ่วัยสามสิบต้นๆใบหน้าคมสัน เขายิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าระอาใจ
“ บอกให้เรียกแค่อาจารย์ก็พอ ไม่เคยเชื่อฟังกันเลยนะปณาลี ” ปรัชญ์ดุมาอย่างนั้นปณาลีจึงทำหน้าแหย
“ โธ่ หนูให้เกียรติอาจารย์เลยนะคะ อ้อ! อาจารย์เรียกหนูมีอะไรจะใช้หรือเปล่าคะ ” ปณาลีถามด้วยแววตาสุกใส
“ เห็นนั่งอยู่ตั้งนานแล้วเลยลงมาดูเสียหน่อย อากาศเย็นขึ้นแล้วเดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก ” ปรัชญ์พูดอย่างนั้นปณาลีจึงก้มมองดูนาฬิกาข้อมือแล้วอุทานลั่น
“ ห้าโมงเย็นแล้ว! หนูต้องกลับแล้วล่ะค่ะอาจารย์ ” เห็นท่าทางลนลานเก็บข้าวของแล้วปรัชญ์ก็ยิ้มอ่อนโยน
“ ผมก็จะกลับพอดี คุณกลับพร้อมผมเลยละกัน ” ปรัชญ์รวบรัดเสียเลย ปณาลีจึงหันมาปฏิเสธ
“ อุ้ย! ไม่ดีหรอกค่ะอาจารย์ หนูกลับเองได้ค่ะไม่รบกวนอาจารย์หรอกค่ะ ” แต่แล้วปณาลีก็ต้องหน้าม่อยลง
“ บ้านอยู่ตรงข้ามกันนี่เองจะได้ไม่เสียเวลา เมื่อก่อนก็ยังกลับด้วยกันได้นี่ ” ปรัชญ์พูดเสียงขรึมแต่ในใจแอบขำท่าทางก้มหน้าก้มตานั้น
“ เมื่อก่อนกับตอนนี้มันไม่เหมือนกันนี่คะ ” ปณาลีอ้อมแอ้มตอบแต่สุดท้ายก็ต้องยื่นมือไปรับกุญแจรถแล้วเดินคอตกไปนั่งรอที่รถยนต์คันงามของปรัชญ์
ระหว่างทางกลับบ้านปรัชญ์ก็ชวนพูดคุยเรื่องการเรียนและเรื่องทั่วไปกับหญิงสาวที่นั่งข้างกาย
“ สรุปแล้วเรียนจบปุ๊ปก็จะไปทำงานกับอคินเลย ก็ดีนะ ” น้ำเสียงปรัชญ์สบายๆ
“ ค่ะ พี่คินอุตส่าห์ให้โอกาสหนูลีก็ต้องทำให้ดีสมกับที่คินไว้ใจ ” เสียงใสมีประกายความสุข ปรัชญ์จึงเอื้อมมือไปโยกศีรษะได้รูปเบาๆก่อนจะกลับมาแตะเกียร์เมื่อได้สัญญาณไฟเขียว
“ ออกจากรั้วมหา’ลัยไปแล้วสังคมภายนอกก็กว้างขึ้น ต้องดูแลตัวเองให้ดีๆอย่าให้คุณพ่อคุณแม่ต้องห่วงล่ะ ”
ปรัชญ์เอ่ยเตือนด้วยความหวังดีด้วยความรู้สึกห่วงใยเพราะปณาลีต้องสูญเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่เพิ่งจบมัธยมปลายแล้วใช้ชีวิตอยู่กับ ปกรณ์ พี่ชายที่อายุห่างกันเกือบห้าปีตามลำพัง นับว่ายังโชคยังดีที่พ่อแม่ของทั้งสองพี่มีเงินประกันและเงินชดเชยของบริษัทที่ทำงานทิ้งไว้ให้ใช้จ่ายภาระต่างๆ ปกรณ์ที่เพิ่งเรียนจบและทำงานเป็นสถาปนิกมือใหม่งานน้อยตอนนั้นจึงไม่ต้องลำบากเรื่องหาเงินส่งเสียน้องสาวเรียนมากนัก ปรัชญ์เองก็รู้สึกเสียใจกับการสูญเสียพี่ชายและพี่สาวที่ตนเคารพไปไม่น้อยเพราะตั้งแต่เขาย้ายกลับมาอยู่เมืองไทยหลังจากเรียนจบปริญญาโทที่เมืองนอกก็ต้องอยู่ตัวคนเดียวแบบไร้ญาติก็ว่าได้จนเมื่อครอบครัวที่อยู่บ้านหลังตรงกันข้ามเข้ามาทำความรู้จักและไปมาหาสู่กันเป็นประจำ เขารู้จักและสนิทสนมกับคนในบ้านนั้นตั้งแต่ปกรณ์ยังเรียนปริญญาด้วยซ้ำและสองพี่น้องยังเคยเข้ามาก่อกวนในบ้านให้เขาสดชื่นไม่ต้องรู้สึกโดดเดี่ยวตลอดมา
“ ตอนเราอยู่มัธยมยังเคยมาอ้อนพี่ปรัชญ์ไปรับไปส่งที่โรงเรียนอยู่เลย ตอนนี้มาทำเขินอายไปได้ ”
“ โธ่ แต่ตอนนี้หนูลีเป็นนักศึกษานะคะ แล้วพี่ปรัชญ์ก็เป็นอาจารย์เป็นถึงท่านรองที่หนุ่มที่สุดแล้วด้วย ” ปณาลียิ้มหวาน
“ กลายเป็นว่าเราก็ต้องเป็นคนแปลกหน้ากันเวลาอยู่มหาวิทยาลัย ” ปรัชญ์ถอนหายใจ
“ พี่ปรัชญ์อย่างอนน๊า อีกไม่กี่เดือนหนูลีก็เรียนจบแล้วเราก็กลับมามุ้งมิ้งกันเหมือนเดิมได้แล้วนะ ” ยื่นมือไปสะกิดแขนเสื้อเชิ้ตของชายหนุ่มเหมือนแมว
“ ไม่ต้องเลย มุ้งมิ้งอะไรล่ะโตเป็นสาวแล้ว เดี๋ยวก็ถูกปล้ำเสียหรอก ” ปรัชญ์ทำเสียงดุแต่ปณาลีกลับหัวเราะ
“ ไม่เอาอ่ะ คนแก่หนูลีไม่ชอบ ” สาวน้อยทำหน้าย่น
“ ต้องหนุ่มๆแบบคู่หมั้นเพื่อนรักเราน่ะเหรอ ” ปรัชญ์พูดขึ้นลอยๆ
“ พี่ปรัชญ์รู้! ” ปณาลีตกใจเสียงดัง
“ โอ้ย สายตาหวานเยิ้มขนาดนั้นพี่เป็นผู้ใหญ่แล้วดูออกหรอกน่ะ ถือว่านินาเองก็ใจกว้างนะที่ไม่ถือสาเรื่องแบบนี้ ”
“ หนูลีเป็นเพื่อนที่แย่ใช่ไหมคะ เป็นผู้หญิงไม่ดี ” ปณาลีหงอยลงทันที
“ อ่ะ ถึงบ้านพี่ละ เดี๋ยวลงไปเปิดประตูรั้วให้ทีรีโมตเจ๊งยังไม่ซ่อมเลย ” ปณาลีก็หันมาทำหน้ายู่ก่อนจะเปิดประตูรถลงไป
เมื่อปรัชญ์จอดรถเรียบร้อยแล้วก็เดินมาส่งปณาลีที่บ้านฝั่งตรงข้าม ปณาลีจึงชวนทานข้าวเย็นด้วยซึ่งเขาก็ไม่ปฏิเสธ
“ แล้วนี่นายอ้อมจะกลับมาวันไหน ” หลังจากได้ข้าวผัดกุ้งคนละจานปรัชญ์ก็ถามถึงพี่ชายของปณาลี
“ ก่อนปีใหม่สักสองสามวันค่ะ ใกล้ปิดงานตกแต่งรีสอร์ทแล้ว ”
“ คราวก่อนจะไปบอกพี่ว่าหลังโปรเจกนี้แล้วก็พักยาวเลยนี่ ”
“ ใช่ค่ะ ทีนี้พี่อ้อมก็พาหนูลีไปเที่ยวได้แล้ว ” ปณาลีร่าเริงขึ้นมาทันที
“ นั่นไง เดี๋ยวก็สอบตกหรอก ” ปรัชญ์ทำเสียงดุแต่ปณาลีหรือจะกลัว
ปรัชญ์อยู่เป็นเพื่อนหญิงสาวจนถึงสองทุ่มก็เตรียมตัวกลับ ปณาลีจึงเดินออกมาส่งที่หน้าบ้าน
“ พี่ปรัชญ์คะ เรื่องนั้น… ” ปณาลีพูดแบบกล้าๆกลัวๆ
“ หืม… ” เขาทำเป็นไม่เข้าใจ ปณาลีจึงเงยหน้าขึ้นมามองเขาตาแดงเหมือนจะอ้อนวอน ปรัชญ์ถอนหายใจก่อนที่จะดึงแขนหญิงสาวกลับเข้ามาหลบที่หลังพุ่มต้นดอกแก้วเพื่อป้องกันสายตาของคนที่ผ่านไปมา ลับตาคนพอสมควรเขาดึงร่างปณาลีมาโอบหลวมๆ
“ ถ้าไม่ไหวก็มาซบอกคนแก่อย่างพี่ได้เสมอนะ ความรักมันก็ยุ่งยากแบบนี้ล่ะอยู่ขึ้นคานเป็นเพื่อนพี่ดีกว่า ” ปลอบใจด้วยคำพูดขำๆปณาลีจึงหัวเราะออกมาได้
***************************************************************************************************************
(ถ้าขัดใจว่าตอนสั้นไปหน่อย ต้องขออภัยนะคะเพราะว่าในเว็บก็ลงเท่านี้เช่นกัน)
บอกเลยว่าหนุ่มๆในเรื่องนี้ ละมุนทุกคนค่ะ อิอิ
มุกตามัน