ซ่อนรักพรางใจ (ตอนที่ 2)

ตอนที่แล้ว [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

***************************************************************************************************************

ซ่อนรักพรางใจ

ตอนที่  2  คนนอกสายตา



…..เหมรัศนิ์วางช้อนส้อมในมือลงบนจานข้าวแล้วมองดูคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาให้ช้อนและส้อมจัดการปลาช่อนทอดกรอบตัวโตที่ราดด้วยน้ำพริกมะขามในจานกระเบื้องสีขาวจานใหญ่อย่างตั้งอกตั้งใจ  มุมปากหยักยกขึ้นยิ้มอย่างเอ็นดูหญิงสาวตรงหน้า  จะผ่านไปสักกี่ปีปณาลีก็ยังคงเป็นเด็กสาวจอมซนอยู่เช่นเดิม
“ หนูลี  ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์กับไก่ทอดคลุกซอสยังรออยู่นะ  สนใจมันบ้างตรงหน้านั่น ”  นั่นล่ะปณาลีจึงเงยหน้าขึ้นมามองชายหนุ่มแล้วส่งยิ้มอายๆ
“ เนื้อปลามันต้องแซะนี่คะ ขอหนูลีจัดการก่อน ”  แล้วเธอก็แซะเนื้อปลามาได้คำโตอย่างสมใจ  สองหนุ่มสาวต่างทานอาหารกันเงียบๆเพราะลัลนาขอตัวไปเข้าห้องน้ำส่วนอคินก็ออกไปคุยโทรศัพท์กับลูกค้า
“ พี่เห็นหนูลีตั้งแต่ปีหนึ่งจนจะเรียนจบแล้ว  ยังไม่เห็นหนูลีมีแฟนเลย ”  ประโยคนั้นทำเอาปณาลีสำลักก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม  เหมรัศนิ์จึงรีบส่งกระดาษเช็ดปากให้
“ หนูลี  ยังไม่เจอคนที่ชอบน่ะค่ะ ”  แก้มใสแดงระเรื่อขึ้น
“ คนมาจีบเยอะแยะไม่ชอบสักคนเลยเหรอ ”  เหมรัศนิ์หันไปตักกับข้าวจึงไม่ทันเห็นประกายตาหวานของปณาลีที่มองมายังตัวเองก่อนแวบหายไปเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมา
“ แล้วถ้าชอบคนที่เขาไม่สนใจ  เขาจะชอบหนูลีไหมล่ะคะ ”  น้ำเสียงติดจะสั่นน้อยๆของหญิงสาวตอบมาแต่ชายหนุ่มก็ไม่ทันได้เอะใจอะไร
“ พี่เชื่อว่าต้องมีสักครั้งที่โชคชะตาหรือโอกาสจะเป็นของเรา ”  เขายิ้มบางๆ  “ เปิดใจให้หนุ่มสักคนบ้าง  พี่สงสารพวกหนุ่มนักศึกษาที่ตามเราต้อยๆตั้งแต่ยังไม่ถอดป้ายชื่อเฟรชชี่ ”  เท่านั้นล่ะปณาลีก็หัวเราะเสียงดัง



ผ่านไปสักครู่ลัลนาก็กลับเข้ามาแล้วนั่งลงเก้าอี้ข้างชายหนุ่ม สองคนต่างดูแลเอาอกเอาใจซึ่งกันและกันจนปณาลีอดยิ้มตามไม่ได้  บรรยากาศในห้องอาหารไทยดูจะเป็นสีชมพูไปหมดจนนึกอยากแกล้ง
“ โอ้ย  อิจฉาคนกำลังจะแต่งงานกัน ”  ปณาลีเอ่ยเสียงใสพร้อมกรอกตาไปมา  ลัลนาจึงหันมามองตาโตพร้อมกับหน้าแดง
“ อ้าว  หนูลีรู้ซะแล้ว นินาตั้งใจจะบอกอยู่เชียว ”  ลัลนาลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินมาโอบเพื่อนรักจากข้างหลัง ปณาลีจึงหัวเราะเสียงดังอีกรอบ
“ หนูลีมีสายสืบนะจะบอกให้ ”  เจ้าตัวยิ้มกริ่ม
“ สายสืบที่ชื่ออคินน่ะสิ ”  เหมรัศนิ์เอ่ยยิ้มๆ พูดถึงอคินเจ้าตัวก็กลับเข้ามาพอดีจึงเลิกคิ้วสงสัยกับสายตาทั้งสามคู่  เขาเหล่ตามองท่าทางแต่ละคนก่อนจะถึงบางอ้อ
“ ไม่อยู่แป๊ปเดียวนินทาฉันแน่เลย ถ้าให้เดาก็เรื่องงานแต่งสินะ ”  อคินโคลงหัวเบาๆก่อนจะนั่งลงเก้าอี้ข้างๆปณาลี
อคินหันไปมองใบหน้าหวานของลัลนาอย่างเอ็นดูก่อนจะมองใบหน้าอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ ฉันเซอร์ไพรส์ไปแล้ว  หนูลีตื่นเต้นสุดๆเลยล่ะ ”  น้ำเสียงของอคินรื่นเริงก่อนจะชักชวนทุกคนทานอาหารต่อ
ระหว่างที่สองหนุ่มสาวต่างมีออร่าความสุขโอบล้อมรอบตัว  หัวใจของคนๆหนึ่งกลับมีไอเย็นที่ค่อยๆเกาะหนึบเข้าไปทีละน้อยจนรู้สึกชาวาบไปทั้งหัวใจ
“ โอเคมั้ย… ”   อคินกระซิบถามคนนั่งเงียบอยู่ข้างๆ ปณาลีจึงหันมายิ้มให้เล็กน้อย
“ ดีแล้วค่ะพี่คิน ”   เสียงสั่นพร่าตอบกลับมา ก่อนจะหันไปมองภาพตรงหน้าอีกครั้ง  “ ลีมีความสุขมากค่ะ… ”



…..ลมหนาวช่วงปลายปียังคงทำหน้าที่ตามฤดูกาลได้เป็นอย่างดีในความรู้สึกของปณาลี   มือบางวางปากกาหมึกดำที่กำลังวาดลายเส้นบนกระดาษลงชั่วคราวเมื่อกลีบดอกไม้แห้งบางชนิดปลิวลงมาตกลงตรงหน้า  เมื่อหยิบขึ้นมาดูก็อมยิ้มเมื่อเห็นว่าเป็นกลีบของดอกกุหลาบสีขาวบริสุทธิ์ที่แห้งจนเกือบเป็นสีน้ำตาลแล้ว  เธอจึงปล่อยมือให้สายลมพัดพากลีบดอกไปเช่นเดิมแล้วเงยหน้าขึ้นมองดูรอบกายเพื่อเป็นการพักสายตา
“ ปณาลี… ”  เสียงทุ้มนุ่มจากข้างหลังทำให้เจ้าตัวหันไปมองก่อนจะยิ้มแล้วลุกขึ้นสวัสดี
“ สวัสดีค่ะท่านรองปรัชญ์ ”  รองคณบดี ปรัชญ์  เศรษฐภูมิ  หนุ่มร่างสูงใหญ่วัยสามสิบต้นๆใบหน้าคมสัน  เขายิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าระอาใจ
“ บอกให้เรียกแค่อาจารย์ก็พอ  ไม่เคยเชื่อฟังกันเลยนะปณาลี ”  ปรัชญ์ดุมาอย่างนั้นปณาลีจึงทำหน้าแหย
“ โธ่  หนูให้เกียรติอาจารย์เลยนะคะ  อ้อ! อาจารย์เรียกหนูมีอะไรจะใช้หรือเปล่าคะ ”  ปณาลีถามด้วยแววตาสุกใส
“ เห็นนั่งอยู่ตั้งนานแล้วเลยลงมาดูเสียหน่อย  อากาศเย็นขึ้นแล้วเดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก ”  ปรัชญ์พูดอย่างนั้นปณาลีจึงก้มมองดูนาฬิกาข้อมือแล้วอุทานลั่น
“ ห้าโมงเย็นแล้ว!  หนูต้องกลับแล้วล่ะค่ะอาจารย์ ”  เห็นท่าทางลนลานเก็บข้าวของแล้วปรัชญ์ก็ยิ้มอ่อนโยน
“ ผมก็จะกลับพอดี  คุณกลับพร้อมผมเลยละกัน ”  ปรัชญ์รวบรัดเสียเลย  ปณาลีจึงหันมาปฏิเสธ
“ อุ้ย! ไม่ดีหรอกค่ะอาจารย์  หนูกลับเองได้ค่ะไม่รบกวนอาจารย์หรอกค่ะ ”  แต่แล้วปณาลีก็ต้องหน้าม่อยลง
“ บ้านอยู่ตรงข้ามกันนี่เองจะได้ไม่เสียเวลา  เมื่อก่อนก็ยังกลับด้วยกันได้นี่ ”  ปรัชญ์พูดเสียงขรึมแต่ในใจแอบขำท่าทางก้มหน้าก้มตานั้น
“ เมื่อก่อนกับตอนนี้มันไม่เหมือนกันนี่คะ ”  ปณาลีอ้อมแอ้มตอบแต่สุดท้ายก็ต้องยื่นมือไปรับกุญแจรถแล้วเดินคอตกไปนั่งรอที่รถยนต์คันงามของปรัชญ์

ระหว่างทางกลับบ้านปรัชญ์ก็ชวนพูดคุยเรื่องการเรียนและเรื่องทั่วไปกับหญิงสาวที่นั่งข้างกาย
“ สรุปแล้วเรียนจบปุ๊ปก็จะไปทำงานกับอคินเลย  ก็ดีนะ ”  น้ำเสียงปรัชญ์สบายๆ
“ ค่ะ พี่คินอุตส่าห์ให้โอกาสหนูลีก็ต้องทำให้ดีสมกับที่คินไว้ใจ ”  เสียงใสมีประกายความสุข ปรัชญ์จึงเอื้อมมือไปโยกศีรษะได้รูปเบาๆก่อนจะกลับมาแตะเกียร์เมื่อได้สัญญาณไฟเขียว
“ ออกจากรั้วมหา’ลัยไปแล้วสังคมภายนอกก็กว้างขึ้น  ต้องดูแลตัวเองให้ดีๆอย่าให้คุณพ่อคุณแม่ต้องห่วงล่ะ ”  

ปรัชญ์เอ่ยเตือนด้วยความหวังดีด้วยความรู้สึกห่วงใยเพราะปณาลีต้องสูญเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่เพิ่งจบมัธยมปลายแล้วใช้ชีวิตอยู่กับ ปกรณ์  พี่ชายที่อายุห่างกันเกือบห้าปีตามลำพัง  นับว่ายังโชคยังดีที่พ่อแม่ของทั้งสองพี่มีเงินประกันและเงินชดเชยของบริษัทที่ทำงานทิ้งไว้ให้ใช้จ่ายภาระต่างๆ  ปกรณ์ที่เพิ่งเรียนจบและทำงานเป็นสถาปนิกมือใหม่งานน้อยตอนนั้นจึงไม่ต้องลำบากเรื่องหาเงินส่งเสียน้องสาวเรียนมากนัก  ปรัชญ์เองก็รู้สึกเสียใจกับการสูญเสียพี่ชายและพี่สาวที่ตนเคารพไปไม่น้อยเพราะตั้งแต่เขาย้ายกลับมาอยู่เมืองไทยหลังจากเรียนจบปริญญาโทที่เมืองนอกก็ต้องอยู่ตัวคนเดียวแบบไร้ญาติก็ว่าได้จนเมื่อครอบครัวที่อยู่บ้านหลังตรงกันข้ามเข้ามาทำความรู้จักและไปมาหาสู่กันเป็นประจำ  เขารู้จักและสนิทสนมกับคนในบ้านนั้นตั้งแต่ปกรณ์ยังเรียนปริญญาด้วยซ้ำและสองพี่น้องยังเคยเข้ามาก่อกวนในบ้านให้เขาสดชื่นไม่ต้องรู้สึกโดดเดี่ยวตลอดมา
“ ตอนเราอยู่มัธยมยังเคยมาอ้อนพี่ปรัชญ์ไปรับไปส่งที่โรงเรียนอยู่เลย   ตอนนี้มาทำเขินอายไปได้ ”
“ โธ่  แต่ตอนนี้หนูลีเป็นนักศึกษานะคะ  แล้วพี่ปรัชญ์ก็เป็นอาจารย์เป็นถึงท่านรองที่หนุ่มที่สุดแล้วด้วย ”  ปณาลียิ้มหวาน
“ กลายเป็นว่าเราก็ต้องเป็นคนแปลกหน้ากันเวลาอยู่มหาวิทยาลัย ”  ปรัชญ์ถอนหายใจ  
“ พี่ปรัชญ์อย่างอนน๊า  อีกไม่กี่เดือนหนูลีก็เรียนจบแล้วเราก็กลับมามุ้งมิ้งกันเหมือนเดิมได้แล้วนะ ”  ยื่นมือไปสะกิดแขนเสื้อเชิ้ตของชายหนุ่มเหมือนแมว
“ ไม่ต้องเลย  มุ้งมิ้งอะไรล่ะโตเป็นสาวแล้ว  เดี๋ยวก็ถูกปล้ำเสียหรอก ”  ปรัชญ์ทำเสียงดุแต่ปณาลีกลับหัวเราะ
“ ไม่เอาอ่ะ  คนแก่หนูลีไม่ชอบ ”   สาวน้อยทำหน้าย่น  
“ ต้องหนุ่มๆแบบคู่หมั้นเพื่อนรักเราน่ะเหรอ ”   ปรัชญ์พูดขึ้นลอยๆ
“ พี่ปรัชญ์รู้! ”  ปณาลีตกใจเสียงดัง
“ โอ้ย  สายตาหวานเยิ้มขนาดนั้นพี่เป็นผู้ใหญ่แล้วดูออกหรอกน่ะ  ถือว่านินาเองก็ใจกว้างนะที่ไม่ถือสาเรื่องแบบนี้ ”
“ หนูลีเป็นเพื่อนที่แย่ใช่ไหมคะ เป็นผู้หญิงไม่ดี ”  ปณาลีหงอยลงทันที
“ อ่ะ  ถึงบ้านพี่ละ เดี๋ยวลงไปเปิดประตูรั้วให้ทีรีโมตเจ๊งยังไม่ซ่อมเลย ”  ปณาลีก็หันมาทำหน้ายู่ก่อนจะเปิดประตูรถลงไป
เมื่อปรัชญ์จอดรถเรียบร้อยแล้วก็เดินมาส่งปณาลีที่บ้านฝั่งตรงข้าม ปณาลีจึงชวนทานข้าวเย็นด้วยซึ่งเขาก็ไม่ปฏิเสธ
“ แล้วนี่นายอ้อมจะกลับมาวันไหน ”  หลังจากได้ข้าวผัดกุ้งคนละจานปรัชญ์ก็ถามถึงพี่ชายของปณาลี
“ ก่อนปีใหม่สักสองสามวันค่ะ  ใกล้ปิดงานตกแต่งรีสอร์ทแล้ว ”
“ คราวก่อนจะไปบอกพี่ว่าหลังโปรเจกนี้แล้วก็พักยาวเลยนี่ ”
“ ใช่ค่ะ  ทีนี้พี่อ้อมก็พาหนูลีไปเที่ยวได้แล้ว ”  ปณาลีร่าเริงขึ้นมาทันที
“ นั่นไง  เดี๋ยวก็สอบตกหรอก ”  ปรัชญ์ทำเสียงดุแต่ปณาลีหรือจะกลัว
ปรัชญ์อยู่เป็นเพื่อนหญิงสาวจนถึงสองทุ่มก็เตรียมตัวกลับ  ปณาลีจึงเดินออกมาส่งที่หน้าบ้าน
“ พี่ปรัชญ์คะ เรื่องนั้น… ”  ปณาลีพูดแบบกล้าๆกลัวๆ
“ หืม… ”  เขาทำเป็นไม่เข้าใจ  ปณาลีจึงเงยหน้าขึ้นมามองเขาตาแดงเหมือนจะอ้อนวอน  ปรัชญ์ถอนหายใจก่อนที่จะดึงแขนหญิงสาวกลับเข้ามาหลบที่หลังพุ่มต้นดอกแก้วเพื่อป้องกันสายตาของคนที่ผ่านไปมา  ลับตาคนพอสมควรเขาดึงร่างปณาลีมาโอบหลวมๆ
“ ถ้าไม่ไหวก็มาซบอกคนแก่อย่างพี่ได้เสมอนะ  ความรักมันก็ยุ่งยากแบบนี้ล่ะอยู่ขึ้นคานเป็นเพื่อนพี่ดีกว่า ”  ปลอบใจด้วยคำพูดขำๆปณาลีจึงหัวเราะออกมาได้  






***************************************************************************************************************



(ถ้าขัดใจว่าตอนสั้นไปหน่อย ต้องขออภัยนะคะเพราะว่าในเว็บก็ลงเท่านี้เช่นกัน)
บอกเลยว่าหนุ่มๆในเรื่องนี้ ละมุนทุกคนค่ะ  อิอิ

มุกตามัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่