สวัสดีค่ะ นี่เป็นกระทู้แรกของเราค่ะถ้ามีอะไรผิดพลาดต้องขออภัยด้วยนะคะ
วันนี้เราจะมาแชร์ประสบการณ์การสัมภาษณ์วีซ่า J-1 ในปี 2018 ครั้งแรกในชีวิตของเราเลย ซึ่งปีนี้เราได้ข่าวมาว่าเขาเคี่ยวมากกกก แถมโดนพี่ที่เอเจนซี่กดดันมาอีกว่าตั้งแต่ทำบริษัทมาปีนี้คือโหดสุดแล้ว ด้วยความกลัวไม่ผ่านทำให้เราต้องหาอ่านตัวอย่างคำถามจากคนที่เคยไปสัมภาษณ์มาเยอะมากค่ะ วันนี้เราเพิ่งไปสัมภาษณ์มาเราเลยอยากจะมาแชร์บ้างเผื่อจะเป็นประโยชน์กับคนที่กำลังหาข้อมูลนะคะ
เริ่มกันตั้งแต่ของที่ต้องเตรียมไป หลักๆเลยที่เราเอาไปแล้วเขาขอดูก็จะมี • พาสปอร์ต • DS-160 • DS-2019 • Transcript ประมาณนี้นะเท่าที่จำได้ส่วนตัวเรานั้นเตรียมไปเยอะมากค่ะทั้งใบรับรองสภาพนศ. เอกสารรับรองอาชีพผู้ปกครอง แล้วก็สำเนาสมุดบัญชี แต่เขาไม่ได้ขอดูแต่เราว่าเอาไปเผื่อไว้ก็ดีค่ะ คำแนะนำจากเรานะคือในวันที่ไปสัมภาษณ์ให้เอาโทรศัพท์ไปแค่เครื่องเดียวนะคะ ไม่ต้องเอาเพาเวอร์แบงค์หรือกระเป๋าเป้ใหญ่ๆไปเพราะเอาเข้าไม่ได้ค่ะ ที่สถานทูตจะรับฝากได้แค่โทรศัพท์ 1 เครื่องกับหูฟังเท่านั้นนะคะ ส่วนของอื่นที่เอาเข้าไม่ได้เท่าที่จำได้ก็จะมีพวก smart watch ทั้งหลาย จำได้แค่นี้ค่ะ55555 นี่ของที่เราเอาไปจะมีแฟ้มใส่เอกสารสำคัญที่ใส แล้วก็แฟ้มใส่เอกสารเผื่อเรียกตรวจสีชมพู หูฟัง 1 อัน กระเป๋าตังค์ แค่นี้ค่ะ เอ้ออีกอย่างที่สำคัญคือปากกาค่ะ ให้เตรียมไปด้วยนะคะเดี๋ยวจะบอกตอนหลังว่าเอาไว้ทำอะไร ส่วนเจ้าเล่มขาวเล็กๆนั่นคือของที่ระลึกซึ่งจะเล่าให้ฟังถึงความสำคัญของมันอีกที
การเดินทางไปสถานทูตอเมริกา เราเดินทางโดย BTS ลงสถานีเพลินจิตออกทางออกที่ 2 แล้วก็ต่อพี่วินมาเลยค่ะ 20 บาทเพราะว่าเราไปสาย55555 เราคิว7 โมงเราควรไปถึงตั้งแต่ 6 โมงครึ่งแต่เราเพิ่งลงจาก BTS ตอน6:40 ทำให้เราเครียดมากกลัวไปไม่ทันแทบจะวิ่งลงจาก BTS กันเลยทีเดียว พอเราไปถึงคนก็คือกำลังต่อแถวงูกันอยู่เยอะพอสมควรเลยรีบวิ่งเข้าไปต่อเลยค่ะ แถวก็จะประมาณนี้ค่ะ
คือหัวแถวจะอยู่ตรงวงกลมแดงๆนู่น เรารอประมาณ 15 นาทีนะยืนเล่นโทรศัพท์ไรไป ระหว่างรอตรงนี้ให้เตรียมเปิดหน้าแรกพาสปอร์ตกับ DS-160 แค่นี้นะคะพอถึงหัวแถวจะมีเจ้าหน้าที่ถามเวลาสัมภาษณ์เราแล้วก็จะขอดูใบ DS จากนั้นจะให้เราเปิดหน้าแรกพาสปอร์ตแค่นั้นค่ะ ไม่ต้องหยิบเอกสารทั้งปึกให้เขานะจะได้เร็วๆ เสร็จจากตรงนี้เราจะได้บัตรคิวมาค่ะด่านต่อไปคือแสกนร่างกาย ก็รอเข้าแถวอีกตามเคย ตรงนี้คือเราต้องฝากโทรศัพท์ ให้เตรียมบัตรประชาชนขึ้นมาเลยนะเพราะต้องฝากพร้อมโทรศัพท์ พอเข้าไปก็ยื่นโทรศัพท์กับหูฟังพร้อมบัตรให้เจ้าหน้าที่เลย แล้วเขาก็จะให้ข้อมือที่มีเลขช่องที่เก็บโทรศัพท์ของเราไว้ค่ะ จากนั้นก็แสกนตัว ตอนแรกเลยสำหรับคนที่เอาเสื้อแขนยาวไปด้วยนะ [เช่นเราเป็นต้น] ให้ถอดตอนเข้าแถวเลยจะได้เร็วๆจากนั้นวางของทุกอย่างตั้งแต่แฟ้มกระเป๋าเงินเสื้อแขนยาวบัตรคิวลงไปในถาดสีขาว แล้วเราก็จะถูกเรียกไปแสกนตัวหมุนหน้าหมุนหลัง เสร็จก็หยิบของในถาดไปได้เลยค่ะ แต่ตรงนี้เขาจะเก็บบัตรคิวของเราจากในถาดไปนะไม่ต้องตกใจเหมือนเราที่ตอนแรกนึกว่าบัตรคิวหาย55555 จากนั้นก็หอบหิ้วของทุกอย่างเข้ามาข้างใน พอเราเดินเข้ามาได้ยินเจ้าหน้าที่เรียกคิวตอน 7 โมงพอดีเลยเดินไปหาตรงช่อง เขาจะขอดูเอกสารของเราค่ะตรงนี้ให้เรายื่นเอกสารให้เขาทั้งปึกเลย เขาจะเอาเอกสารเราใส่แฟ้มใสๆอีกอันนึงให้แล้วก็จะบอกให้หยิบเล่มเล็กๆสีขาวในกล่องข้างๆพร้อมกำชับว่าให้อ่านให้จบก่อนเข้าสัมภาษณ์เพราะเจ้าหน้าที่สัมภาษณ์อาจจะถาม เราก็เลยหยิบมาแต่ก็อ่านไม่เยอะเพราะไปหาอ่านมาก่อนหน้านี้แล้ว55555 ในเล่มนั้นจะเกี่ยวกับสิทธิของเราในอเมริกาค่ะแล้วก็ถ้ามีปัญหาเราสามารถร้องเรียนใครได้บ้างประมาณนี้ ทั้งเล่มเป็นภาษาไทยนะไม่ต้องกลัวอ่านไม่ออก พอได้ของจากเข้าหน้าที่มาให้เราดูในใบเล็กๆที่เขายื่นให้ จะมีชื่อเราแล้วก็ตรงมุมบนขวาจะมีเลขแทรคกิ้งค่ะเอาไว้ให้เราเช็คเอกสารที่เขาจะส่งคืนถ้าเราสัมภาษณ์ผ่าน ถึงตอนนี้ให้เราใช้เราไอเท็มเด็ดของเราคือคุณปากกาจดเลขแทรคกิ้งไว้ค่ะจดใส่กระดาษอะไรก็ได้ค่ะจดไป จดเสร็จเราก็จะเดินเข้าไปข้างในกันนน
เดินเข้ามาปุ้ปสิ่งแรกที่เจอคือแถวงูอีกแล้ว ให้เราเข้าไปต่อแถวงูแถวแรกเลยด่านนี้คือเป็นคนไทยจะตรวจเอกสารของเรา ให้เรายื่นทั้งแฟ้มใสที่ได้จากเจ้าหน้าที่ช่องข้างนอกไปทั้งแฟ้มเลย แล้วเขาจะถามเราว่าไปทำอะไรไปที่ไหนประมาณนี้แล้วก็จะให้แสกนนิ้ว การแสกนนิ้วก็เหมือนตอนแสกนทำพาสปอร์ตค่ะ 4นิ้วมือซ้าย 4นิ้วมือขวา นิ้วโป้ง2ข้าง เสร็จแล้วก็เดินวนมาต่ออีกแถวนึวที่เป็นด่านสุดท้ายคือด่านสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษค่ะ อมก ถึงตรงนี้หัวใจอิฉันนั้นเต้นไม่เป็นจังหวะ ยืนมองคนก่อนหน้าถูกถามคำถามต่างๆนานา โพยที่จดเตรียมคำตอบเอาไว้ไม่ได้อ่านเลยค่ะทุกท่านเพราะตื่นเต้น เท่าที่เราสังเกตคือจะมีช่องสัมภาษณ์ทั้งหมด 4 ช่อง (ถ้าจำไม่ผิดนะคะ5555) จะมีถามโหดอยู่ครึ่งนึงค่ะ เราได้อ่านรีวิวมาจากในเน็ตบ้างแล้วถึงกิตติศัพท์ของแต่ละท่าน บอกเลยว่าโหดของจริง ช่องแรกคือคุณผู้หญิงหน้านิ่งค่ะ ถามแต่ละทีเฉียบขาดมากเหมือนแม่นางมีหน้าเดียว ช่องที่2 คือคุณผู้ชายยิ้มแย้มน่ารักทักทายทุกคนด้วยคำว่าสวัสดีครับ ช่องที่ 3 คือคุณผู้ชายหน้านิ่งอีกแล้วที่อาจจะเป็นญาติกับคุณผู้หญิงช่อง 1 ก็เป็นได้ ช่องที่ 4 เป็นผู้หญิงไทยค่ะ แต่ตอนสัมภาษณ์ก็เป็นภาษาอังกฤษหมดนะคะ ถึงตรงนี้คือหัวใจเต้นแรงสุดๆตื่นเต้นมากมือไม้สั่นเลย ตอนเข้าแถวเราจะสามารถได้ยินการสัมภาษณ์ของทุกช่องเลยนะคะ เพราะฉะนั้นเราก็จะเห็นคนที่สัมภาษณ์ไม่ผ่านด้วยเช่นกัน ในใจตอนนั้นคือขอนะอย่าเป็นหนูเลยหนูทำการบ้านมาเยอะมากนะเจ้าคะให้หนูผ่านเถิดพลีสส คือเราเตรียมตัวมาเยอะมากจริงๆเราคาดเดาคำถามที่จะถูกถามแล้วเตรียมคำตอบไว้ประมาณเกือบ 20คำถาม กะแบบเป็นอับดุลถามอะไรตอบได้ พอใกล้ถึงเราคือยืนสวดมนต์เลยค่ะขออย่าได้คุณหน้านิ่งทั้ง 2 นะเพราะเวลาเราโดนกดดันเราจะทำอะไรไม่ถูกลนลานมากๆ คือภาษาอังกฤษเราก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นนะคะแต่ถ้าถูกคู่สนทนากดดันปุ้ปจะพูดผิดพูดถูกทันที เมื่อเรามายืนอยู่คนหน้าสุดเรามองทุกช่องเลยคิดในใจขอให้ช่องคุณผู้ชายยิ้มแย้มสัมภาษณ์เสร็วเร็วๆเราจะได้เข้าต่อ แต่พระเจ้าช่วยค่ะ ผู้ถูกสัมภาษณ์ช่องที่1 กำลังทำท่าเก็บของเตรียมออก เราก็ไม่น้าาาาาแง แต่เหมือนฟ้าประทานอยู่ๆช่องคุณผู้ขายยิ้มแย้มเสร็จพอดีค่ะเราเลยรีบเดินปรี่เข้าไปเลย โอพระเจ้าฉันรอดแล้ว พอเดินเข้าช่องก็ตามเคยค่ะ คุณผู้ชายยิ้มแย้มยิ้มให้แล้วพูดสวัสดีครับแบบน่ารักมาก เราก็สวัสดีค่ะแล้วก็เริ่มสนทนาภาษาอังกฤษกัน เราขอแทนคุณผู้ชายว่า GTM นะคะ
GTM : Hi how are you?
Me : Good thank you. How about you?
GTM : Good too thanks. แล้วเขาก็เริ่มถามเราว่า เดินทางครั้งนี้จะไปทำอะไร(ภาษาอังกฤษนะคะ)
Me : ไปทำงานค่ะ
GTM : โอ้ ที่ Six Flags ใช่ไหม รัฐอะไร
Me : Maryland ค่า
[แล้วเขาก็ดูข้อมูลเราในคอมสัมแปปนึง]
GTM : ทำงานอาทิตย์ละกี่ชั่วโมง
Me : 30-40 ชั่วโมงค่ะ
GTM : แล้ววันละกี่โมง
Me : ประมาณ 8 ค่ะ
GTM : คุณรู้ใช่ไหมว่าอาจจะต้องมีการทำ Over Time ด้วย ในการทำ OT คุณจะได้ค่าจ้าง 1.5 เท่าจากค่าจ้างปกติ
Me : รับทราบค่า (จริงๆตรงนี้เราก็เตรียมคำตอบมาแล้วนะเผื่อเขาถามตั้งแต่ความหมายของ OT จนถึงค่าจ้างที่จะได้ แต่เขาไม่ถามเขากลับบอกเราซะงั้น น่ารักมากค่ะคุณยิ้มแย้ม)
GTM : ทำงานตำแหน่งอะไร
Me : Food Service ค่ะ (จริงๆคนที่ทำ six flags จะยังไม่รู้งานของตัวเองจนกว่าจะไปถึงนะคะแต่ขอให้ตอบไปก่อนตามที่องค์กรแลกเปลี่ยนของเราระบุไว้ค่ะ)
GTM : ทำอะไรบ้าง
Me : หลายอย่างเลยค่ะ เช่นเตรียมอาหาร ทำอาหาร เสิร์ฟอาหารค่ะ
GTM : แล้วคุณชอบอาหารอเมริกันไหม
Me : ชอบค่ะ
GTM : อาหารอเมริกันที่คุณชอบคืออะไร
มาถึงคำถามนี้เราช้อคนิดนึงค่ะ 1.คือคาดไม่ถึงว่าจะถูกถาม 2.ตอนนั้นหัวตื้อมากไม่รู้จะตอบว่าอะไร นึกไม่ออกขึ้นมาซะงั้น อยู่ๆข้าวเหนียวหมูปิ้งไทยแลนด์ลอยเข้ามาในหัวค่ะเราเลยตอบไปว่า...
Me : Steak!! (ในใจคือรู้นะว่าไม่ใช่อาหารอเมริกันแต่คิดไรไม่ออกจริงๆค่ะตอบเสร็จขำแห้งใส่เขาด้วย)
GTM : Oh steak 55555555 (มีขำตอบด้วยค่ะตอกย้ำความเอ๋อเข้าไปอีก)
GTM : Ok วาง4นิ้วมือขวาบนเครื่องแสกนได้เลย
Me : ห้ะ มือขวาหรอคะ (ตอนนั้นกำลังปริ่มเห้ยผ่านแล้วหรอเนี้ย โว้ยยย)
GTM : Yes วางเลย
เราก็วางลงไปค่ะ เสร็จแล้วเขาก็คืนทรานสคริปต์ให้เร ถึงตรงนี้ไม่ต้องตกใจนะคะถ้าเขาจะคืนเอกสารบางส่วน คือถ้าเก็บพาสปอร์ตไปแปลว่าผ่านแน่ๆค่ะ
GTM : Good luck ครับ
Me : Thank you
เดินออกมาแบบวิญญาณออกจากร่าง โว้ยผ่านแล้วหรอเนี้ยอยากจะกรี้ด ตอนเดินออกมายังได้ยินคุณยิ้มแย้มทักคนต่อไปอยู่เลย ความรู้สึกตอนนั้นโล่งมากเดินออกไปรับโทรศัพท์แล้วกลับแบบสบายใจค่ะ ถึงตอนนี้เราอยากบอกทุกคนนะว่าก่อนสัมภาษณ์ให้ทำใจสบายๆ สบายจริงๆเพราะถ้าได้เจอคุณหน้านิ่งทั้ง 2 จะได้ผ่อนคลายขึ้นมานิดนึง เราไม่แน่ใจนะว่าถ้าได้สัมภาษณ์กับคุณหน้านิ่งเขาจะถามอะไรบ้างเพราะเราไม่ได้ตั้งใจฟังตอนเข้าแถว จิตหลุดอยู่ค่ะ55555 แต่ถามเยอะนะเยอะจริงๆเพราะคุยนานอยู่ ส่วนกับผู้หญิงไทยช่อง4อาจจะไม่ยากมากแต่ก็คุยนานเหมือนกันนะคะ สุดท้ายนี้เราขอให้ทุกคนโชคดีในการสัมภาษณ์นะคะสิ่งสำคัญที่สุดที่อย่าลืมพกไปคือความมั่นใจในตัวเองนะ คิดไว้ว่าคุณทำได้แล้วทุกอย่างมันจะออกมาดีเองค่ะเชื่อเรา ขอโทษที่มาบ่นยาวไปหน่อยแต่ก็ขอบคุณที่อ่านจนถึงตรงนี้นะคะ สวัสดีค่า
รีวิว สัมภาษณ์วีซ่า J-1 ครั้งแรกของเด็ก W&T (2018)
วันนี้เราจะมาแชร์ประสบการณ์การสัมภาษณ์วีซ่า J-1 ในปี 2018 ครั้งแรกในชีวิตของเราเลย ซึ่งปีนี้เราได้ข่าวมาว่าเขาเคี่ยวมากกกก แถมโดนพี่ที่เอเจนซี่กดดันมาอีกว่าตั้งแต่ทำบริษัทมาปีนี้คือโหดสุดแล้ว ด้วยความกลัวไม่ผ่านทำให้เราต้องหาอ่านตัวอย่างคำถามจากคนที่เคยไปสัมภาษณ์มาเยอะมากค่ะ วันนี้เราเพิ่งไปสัมภาษณ์มาเราเลยอยากจะมาแชร์บ้างเผื่อจะเป็นประโยชน์กับคนที่กำลังหาข้อมูลนะคะ
เริ่มกันตั้งแต่ของที่ต้องเตรียมไป หลักๆเลยที่เราเอาไปแล้วเขาขอดูก็จะมี • พาสปอร์ต • DS-160 • DS-2019 • Transcript ประมาณนี้นะเท่าที่จำได้ส่วนตัวเรานั้นเตรียมไปเยอะมากค่ะทั้งใบรับรองสภาพนศ. เอกสารรับรองอาชีพผู้ปกครอง แล้วก็สำเนาสมุดบัญชี แต่เขาไม่ได้ขอดูแต่เราว่าเอาไปเผื่อไว้ก็ดีค่ะ คำแนะนำจากเรานะคือในวันที่ไปสัมภาษณ์ให้เอาโทรศัพท์ไปแค่เครื่องเดียวนะคะ ไม่ต้องเอาเพาเวอร์แบงค์หรือกระเป๋าเป้ใหญ่ๆไปเพราะเอาเข้าไม่ได้ค่ะ ที่สถานทูตจะรับฝากได้แค่โทรศัพท์ 1 เครื่องกับหูฟังเท่านั้นนะคะ ส่วนของอื่นที่เอาเข้าไม่ได้เท่าที่จำได้ก็จะมีพวก smart watch ทั้งหลาย จำได้แค่นี้ค่ะ55555 นี่ของที่เราเอาไปจะมีแฟ้มใส่เอกสารสำคัญที่ใส แล้วก็แฟ้มใส่เอกสารเผื่อเรียกตรวจสีชมพู หูฟัง 1 อัน กระเป๋าตังค์ แค่นี้ค่ะ เอ้ออีกอย่างที่สำคัญคือปากกาค่ะ ให้เตรียมไปด้วยนะคะเดี๋ยวจะบอกตอนหลังว่าเอาไว้ทำอะไร ส่วนเจ้าเล่มขาวเล็กๆนั่นคือของที่ระลึกซึ่งจะเล่าให้ฟังถึงความสำคัญของมันอีกที
การเดินทางไปสถานทูตอเมริกา เราเดินทางโดย BTS ลงสถานีเพลินจิตออกทางออกที่ 2 แล้วก็ต่อพี่วินมาเลยค่ะ 20 บาทเพราะว่าเราไปสาย55555 เราคิว7 โมงเราควรไปถึงตั้งแต่ 6 โมงครึ่งแต่เราเพิ่งลงจาก BTS ตอน6:40 ทำให้เราเครียดมากกลัวไปไม่ทันแทบจะวิ่งลงจาก BTS กันเลยทีเดียว พอเราไปถึงคนก็คือกำลังต่อแถวงูกันอยู่เยอะพอสมควรเลยรีบวิ่งเข้าไปต่อเลยค่ะ แถวก็จะประมาณนี้ค่ะ
คือหัวแถวจะอยู่ตรงวงกลมแดงๆนู่น เรารอประมาณ 15 นาทีนะยืนเล่นโทรศัพท์ไรไป ระหว่างรอตรงนี้ให้เตรียมเปิดหน้าแรกพาสปอร์ตกับ DS-160 แค่นี้นะคะพอถึงหัวแถวจะมีเจ้าหน้าที่ถามเวลาสัมภาษณ์เราแล้วก็จะขอดูใบ DS จากนั้นจะให้เราเปิดหน้าแรกพาสปอร์ตแค่นั้นค่ะ ไม่ต้องหยิบเอกสารทั้งปึกให้เขานะจะได้เร็วๆ เสร็จจากตรงนี้เราจะได้บัตรคิวมาค่ะด่านต่อไปคือแสกนร่างกาย ก็รอเข้าแถวอีกตามเคย ตรงนี้คือเราต้องฝากโทรศัพท์ ให้เตรียมบัตรประชาชนขึ้นมาเลยนะเพราะต้องฝากพร้อมโทรศัพท์ พอเข้าไปก็ยื่นโทรศัพท์กับหูฟังพร้อมบัตรให้เจ้าหน้าที่เลย แล้วเขาก็จะให้ข้อมือที่มีเลขช่องที่เก็บโทรศัพท์ของเราไว้ค่ะ จากนั้นก็แสกนตัว ตอนแรกเลยสำหรับคนที่เอาเสื้อแขนยาวไปด้วยนะ [เช่นเราเป็นต้น] ให้ถอดตอนเข้าแถวเลยจะได้เร็วๆจากนั้นวางของทุกอย่างตั้งแต่แฟ้มกระเป๋าเงินเสื้อแขนยาวบัตรคิวลงไปในถาดสีขาว แล้วเราก็จะถูกเรียกไปแสกนตัวหมุนหน้าหมุนหลัง เสร็จก็หยิบของในถาดไปได้เลยค่ะ แต่ตรงนี้เขาจะเก็บบัตรคิวของเราจากในถาดไปนะไม่ต้องตกใจเหมือนเราที่ตอนแรกนึกว่าบัตรคิวหาย55555 จากนั้นก็หอบหิ้วของทุกอย่างเข้ามาข้างใน พอเราเดินเข้ามาได้ยินเจ้าหน้าที่เรียกคิวตอน 7 โมงพอดีเลยเดินไปหาตรงช่อง เขาจะขอดูเอกสารของเราค่ะตรงนี้ให้เรายื่นเอกสารให้เขาทั้งปึกเลย เขาจะเอาเอกสารเราใส่แฟ้มใสๆอีกอันนึงให้แล้วก็จะบอกให้หยิบเล่มเล็กๆสีขาวในกล่องข้างๆพร้อมกำชับว่าให้อ่านให้จบก่อนเข้าสัมภาษณ์เพราะเจ้าหน้าที่สัมภาษณ์อาจจะถาม เราก็เลยหยิบมาแต่ก็อ่านไม่เยอะเพราะไปหาอ่านมาก่อนหน้านี้แล้ว55555 ในเล่มนั้นจะเกี่ยวกับสิทธิของเราในอเมริกาค่ะแล้วก็ถ้ามีปัญหาเราสามารถร้องเรียนใครได้บ้างประมาณนี้ ทั้งเล่มเป็นภาษาไทยนะไม่ต้องกลัวอ่านไม่ออก พอได้ของจากเข้าหน้าที่มาให้เราดูในใบเล็กๆที่เขายื่นให้ จะมีชื่อเราแล้วก็ตรงมุมบนขวาจะมีเลขแทรคกิ้งค่ะเอาไว้ให้เราเช็คเอกสารที่เขาจะส่งคืนถ้าเราสัมภาษณ์ผ่าน ถึงตอนนี้ให้เราใช้เราไอเท็มเด็ดของเราคือคุณปากกาจดเลขแทรคกิ้งไว้ค่ะจดใส่กระดาษอะไรก็ได้ค่ะจดไป จดเสร็จเราก็จะเดินเข้าไปข้างในกันนน
เดินเข้ามาปุ้ปสิ่งแรกที่เจอคือแถวงูอีกแล้ว ให้เราเข้าไปต่อแถวงูแถวแรกเลยด่านนี้คือเป็นคนไทยจะตรวจเอกสารของเรา ให้เรายื่นทั้งแฟ้มใสที่ได้จากเจ้าหน้าที่ช่องข้างนอกไปทั้งแฟ้มเลย แล้วเขาจะถามเราว่าไปทำอะไรไปที่ไหนประมาณนี้แล้วก็จะให้แสกนนิ้ว การแสกนนิ้วก็เหมือนตอนแสกนทำพาสปอร์ตค่ะ 4นิ้วมือซ้าย 4นิ้วมือขวา นิ้วโป้ง2ข้าง เสร็จแล้วก็เดินวนมาต่ออีกแถวนึวที่เป็นด่านสุดท้ายคือด่านสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษค่ะ อมก ถึงตรงนี้หัวใจอิฉันนั้นเต้นไม่เป็นจังหวะ ยืนมองคนก่อนหน้าถูกถามคำถามต่างๆนานา โพยที่จดเตรียมคำตอบเอาไว้ไม่ได้อ่านเลยค่ะทุกท่านเพราะตื่นเต้น เท่าที่เราสังเกตคือจะมีช่องสัมภาษณ์ทั้งหมด 4 ช่อง (ถ้าจำไม่ผิดนะคะ5555) จะมีถามโหดอยู่ครึ่งนึงค่ะ เราได้อ่านรีวิวมาจากในเน็ตบ้างแล้วถึงกิตติศัพท์ของแต่ละท่าน บอกเลยว่าโหดของจริง ช่องแรกคือคุณผู้หญิงหน้านิ่งค่ะ ถามแต่ละทีเฉียบขาดมากเหมือนแม่นางมีหน้าเดียว ช่องที่2 คือคุณผู้ชายยิ้มแย้มน่ารักทักทายทุกคนด้วยคำว่าสวัสดีครับ ช่องที่ 3 คือคุณผู้ชายหน้านิ่งอีกแล้วที่อาจจะเป็นญาติกับคุณผู้หญิงช่อง 1 ก็เป็นได้ ช่องที่ 4 เป็นผู้หญิงไทยค่ะ แต่ตอนสัมภาษณ์ก็เป็นภาษาอังกฤษหมดนะคะ ถึงตรงนี้คือหัวใจเต้นแรงสุดๆตื่นเต้นมากมือไม้สั่นเลย ตอนเข้าแถวเราจะสามารถได้ยินการสัมภาษณ์ของทุกช่องเลยนะคะ เพราะฉะนั้นเราก็จะเห็นคนที่สัมภาษณ์ไม่ผ่านด้วยเช่นกัน ในใจตอนนั้นคือขอนะอย่าเป็นหนูเลยหนูทำการบ้านมาเยอะมากนะเจ้าคะให้หนูผ่านเถิดพลีสส คือเราเตรียมตัวมาเยอะมากจริงๆเราคาดเดาคำถามที่จะถูกถามแล้วเตรียมคำตอบไว้ประมาณเกือบ 20คำถาม กะแบบเป็นอับดุลถามอะไรตอบได้ พอใกล้ถึงเราคือยืนสวดมนต์เลยค่ะขออย่าได้คุณหน้านิ่งทั้ง 2 นะเพราะเวลาเราโดนกดดันเราจะทำอะไรไม่ถูกลนลานมากๆ คือภาษาอังกฤษเราก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นนะคะแต่ถ้าถูกคู่สนทนากดดันปุ้ปจะพูดผิดพูดถูกทันที เมื่อเรามายืนอยู่คนหน้าสุดเรามองทุกช่องเลยคิดในใจขอให้ช่องคุณผู้ชายยิ้มแย้มสัมภาษณ์เสร็วเร็วๆเราจะได้เข้าต่อ แต่พระเจ้าช่วยค่ะ ผู้ถูกสัมภาษณ์ช่องที่1 กำลังทำท่าเก็บของเตรียมออก เราก็ไม่น้าาาาาแง แต่เหมือนฟ้าประทานอยู่ๆช่องคุณผู้ขายยิ้มแย้มเสร็จพอดีค่ะเราเลยรีบเดินปรี่เข้าไปเลย โอพระเจ้าฉันรอดแล้ว พอเดินเข้าช่องก็ตามเคยค่ะ คุณผู้ชายยิ้มแย้มยิ้มให้แล้วพูดสวัสดีครับแบบน่ารักมาก เราก็สวัสดีค่ะแล้วก็เริ่มสนทนาภาษาอังกฤษกัน เราขอแทนคุณผู้ชายว่า GTM นะคะ
GTM : Hi how are you?
Me : Good thank you. How about you?
GTM : Good too thanks. แล้วเขาก็เริ่มถามเราว่า เดินทางครั้งนี้จะไปทำอะไร(ภาษาอังกฤษนะคะ)
Me : ไปทำงานค่ะ
GTM : โอ้ ที่ Six Flags ใช่ไหม รัฐอะไร
Me : Maryland ค่า
[แล้วเขาก็ดูข้อมูลเราในคอมสัมแปปนึง]
GTM : ทำงานอาทิตย์ละกี่ชั่วโมง
Me : 30-40 ชั่วโมงค่ะ
GTM : แล้ววันละกี่โมง
Me : ประมาณ 8 ค่ะ
GTM : คุณรู้ใช่ไหมว่าอาจจะต้องมีการทำ Over Time ด้วย ในการทำ OT คุณจะได้ค่าจ้าง 1.5 เท่าจากค่าจ้างปกติ
Me : รับทราบค่า (จริงๆตรงนี้เราก็เตรียมคำตอบมาแล้วนะเผื่อเขาถามตั้งแต่ความหมายของ OT จนถึงค่าจ้างที่จะได้ แต่เขาไม่ถามเขากลับบอกเราซะงั้น น่ารักมากค่ะคุณยิ้มแย้ม)
GTM : ทำงานตำแหน่งอะไร
Me : Food Service ค่ะ (จริงๆคนที่ทำ six flags จะยังไม่รู้งานของตัวเองจนกว่าจะไปถึงนะคะแต่ขอให้ตอบไปก่อนตามที่องค์กรแลกเปลี่ยนของเราระบุไว้ค่ะ)
GTM : ทำอะไรบ้าง
Me : หลายอย่างเลยค่ะ เช่นเตรียมอาหาร ทำอาหาร เสิร์ฟอาหารค่ะ
GTM : แล้วคุณชอบอาหารอเมริกันไหม
Me : ชอบค่ะ
GTM : อาหารอเมริกันที่คุณชอบคืออะไร
มาถึงคำถามนี้เราช้อคนิดนึงค่ะ 1.คือคาดไม่ถึงว่าจะถูกถาม 2.ตอนนั้นหัวตื้อมากไม่รู้จะตอบว่าอะไร นึกไม่ออกขึ้นมาซะงั้น อยู่ๆข้าวเหนียวหมูปิ้งไทยแลนด์ลอยเข้ามาในหัวค่ะเราเลยตอบไปว่า...
Me : Steak!! (ในใจคือรู้นะว่าไม่ใช่อาหารอเมริกันแต่คิดไรไม่ออกจริงๆค่ะตอบเสร็จขำแห้งใส่เขาด้วย)
GTM : Oh steak 55555555 (มีขำตอบด้วยค่ะตอกย้ำความเอ๋อเข้าไปอีก)
GTM : Ok วาง4นิ้วมือขวาบนเครื่องแสกนได้เลย
Me : ห้ะ มือขวาหรอคะ (ตอนนั้นกำลังปริ่มเห้ยผ่านแล้วหรอเนี้ย โว้ยยย)
GTM : Yes วางเลย
เราก็วางลงไปค่ะ เสร็จแล้วเขาก็คืนทรานสคริปต์ให้เร ถึงตรงนี้ไม่ต้องตกใจนะคะถ้าเขาจะคืนเอกสารบางส่วน คือถ้าเก็บพาสปอร์ตไปแปลว่าผ่านแน่ๆค่ะ
GTM : Good luck ครับ
Me : Thank you
เดินออกมาแบบวิญญาณออกจากร่าง โว้ยผ่านแล้วหรอเนี้ยอยากจะกรี้ด ตอนเดินออกมายังได้ยินคุณยิ้มแย้มทักคนต่อไปอยู่เลย ความรู้สึกตอนนั้นโล่งมากเดินออกไปรับโทรศัพท์แล้วกลับแบบสบายใจค่ะ ถึงตอนนี้เราอยากบอกทุกคนนะว่าก่อนสัมภาษณ์ให้ทำใจสบายๆ สบายจริงๆเพราะถ้าได้เจอคุณหน้านิ่งทั้ง 2 จะได้ผ่อนคลายขึ้นมานิดนึง เราไม่แน่ใจนะว่าถ้าได้สัมภาษณ์กับคุณหน้านิ่งเขาจะถามอะไรบ้างเพราะเราไม่ได้ตั้งใจฟังตอนเข้าแถว จิตหลุดอยู่ค่ะ55555 แต่ถามเยอะนะเยอะจริงๆเพราะคุยนานอยู่ ส่วนกับผู้หญิงไทยช่อง4อาจจะไม่ยากมากแต่ก็คุยนานเหมือนกันนะคะ สุดท้ายนี้เราขอให้ทุกคนโชคดีในการสัมภาษณ์นะคะสิ่งสำคัญที่สุดที่อย่าลืมพกไปคือความมั่นใจในตัวเองนะ คิดไว้ว่าคุณทำได้แล้วทุกอย่างมันจะออกมาดีเองค่ะเชื่อเรา ขอโทษที่มาบ่นยาวไปหน่อยแต่ก็ขอบคุณที่อ่านจนถึงตรงนี้นะคะ สวัสดีค่า