สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นต้องขอบอกว่า เราเป็นคนที่มีสัมผัสที่หกตั้งแต่เด็กๆเลยค่ะ
มันเริ่มตั้งแต่เรายังจำความไม่ได้
ตอนนั้นเราไม่แน่ใจนะคะว่าอายุเท่าไหร่ เป็นเรื่องที่แม่เล่าให้ฟังตอนเราโตแล้ว
เราเป็นคนเหนือค่ะ แล้วทางเหนือเค้าจะมีพิธีที่ทำตามๆกันมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย คือการเลี้ยงผี
หรือการไหว้บรรพบุรุษ คนเหนือเรียก เลี้ยงผีปู่ย่า
เค้าก็จะมีพวกสำรับ อาหารคาวหวานต่างๆ
ตั้งไว้ประมาณ 1 ก้านธูป พอธูปหมด ลูกหลานก็จะเอาอาหารมาแบ่งกันกินตามความเชื่อว่ากินของเหลือจากผีปู่ย่าแล้วจะเป็นศิริมงคลอะไรประมาณนี้
(จริงๆก็ตั้งไว้ให้เย็นชืดเฉยๆนั่นแหละค่ะ)
แล้วทีนี้ เราก็ตามประสาเด็ก มองนู่นมองนี่
ไม่รู้หรอกค่ะว่าผู้ใหญ่เค้าทำอะไรกัน
แม่เล่าว่า ทำพิธีเสร็จ ผู้ใหญ่เค้าก็จับกลุ่มคุยกัน ส่วนเรายืนมองไปในห้องเก็บอัฐิ แล้วก็ยิ้มหัวเราะเอิ้กๆอยู่คนเดียว
แม่เราก็ถามว่าทำอะไร เราบอก คุณตาคุณยายยิ้มให้นั่นไง แล้วเราก็ชี้ไปในห้องที่ว่างเปล่า
แม่บอกว่า พวกญาติๆมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ขนลุกกันไปหมด ส่วนเรา จำไม่ได้จ้า 555
พอเริ่มโต ประมาณ ป.1-ป.2 เราเป็นคนไม่กลัวผีค่ะ
ชอบอ่าน ชอบดู ดึกดื่นๆนอนดูหนังผีคนเดียว
เป็นเด็กที่ไม่กลัวผีเลย เพราะไม่เคยเห็นจริงๆ
และคิดว่าผีมีแค่ในหนัง กลัวผีแค่ในหนัง
บ้านเราสมัยก่อนเป็นบ้านแบบไม้ตีซี่
ตรงโถงบ้านคือที่นอนดูทีวีของเรา มองข้างนอกเห็นหมดเพราะมันเป็นไม้ซี่กว้างๆ มองไปข้างนอกก็เห็นทุ่งนาสุดลูกหูลูกตา ถ้าเป็นตอนนี้ให้ไปนอนคนเดียวคงบายค่ะ บรรยากาศหลอนใช้ได้
เริ่มรู้ความตอน ป.3 ช่วงนั้นกำลังย้ายบ้านค่ะ
ช่วงที่เราย้ายบ้าน ชาวบ้านลือกันให้แซ่ดว่าผีม้าบ้องมันวิ่งคึกทั้งคืน (ภาษากลางเรียกผีม้ากะ)
ตามคนเฒ่าคนแก่เค้าเล่ามา ลักษณะผีชนิดนี้ บ้างก็ว่าหน้าเป็นม้าตัวเป็นคน บ้างก็ว่าหน้าเป็นคนนี่แหละ แต่ตัวซีดเหมือนเผือก ใช้ศอกและเข่าเคลื่อนที่เหมือนม้า ชอบไปเล่นกับหมา ถ้ามันโดดข้ามหลังคาบ้านใคร บ้านนั้นจะตายทั้งบ้าน ก็ว่าไปนั่น ส่วนเรายังไม่เคยเห็นใครตายเพราะผีม้าบ้องซักคน 555
ฟังๆเค้าเล่า เราก็ไม่เชื่อค่ะ ด้วยความเป็นเด็กไม่กลัวผี
เราก็คิดในใจ ก็มาดิ ไม่กลัวอะ แต่ไม่กล้าพูดให้พ่อแม่ได้ยิน เพราะแม่เราเป็นคนกลัวผีมากกกกก
คืนนั้นก็ไม่เจออะไรค่ะ ไม่เคยเจอม้าบ้องเลย (เล่าทำไมโว๊ะ)
ระหว่างนั้น เวลาใครเล่าเรื่องผี เราก็จะท้าในใจ
มาดิ ไม่กลัว ไม่มีจริงหรอก ผีเผออะไร
จะเป็นแบบนี้ตลอด แล้วก็ไม่เคยเจอ เลยไม่เคยกลัว
แล้วก็เป็นช่วงที่เราย้ายเข้าไปอยู่บ้านใหม่
บ้านยังไม่ได้ทำบุญ ที่ดินก็เป็นที่ๆปู่ยกให้ ไม่ได้มีประวัติอะไร มันเป็นมรดกของที่บ้านมานานแล้ว
เราเริ่มแยกห้องนอนกับพ่อแม่ตอน ป.3 ค่ะ
รู้สึกตื่นเต้นมาก ได้มีโลกส่วนตัวซักที
คืนแรกไม่มีอะไรค่ะ หลับสบายมากๆ
คืนที่สองเราก็นอนในห้องตามปกติ
ข้างนอกห้องเราจะเป็นห้องรับแขกที่พ่อนอนดูทีวีอยู่
เรานอนไปได้สักพัก สลึมสลือ ได้ยินเสียงระนาด
ก็คิดว่าพ่อดูทีวี แต่เสียงมันดังก้องๆ
เราก็นอนต่อไม่ได้สนใจอะไร แต่เสียงมันเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ เราก็เอ๊ะ! พ่อจะเปิดทีวีดังเพื่อออออ
จะลุกไปหาพ่อ เอ้า ทุกไม่ได้ ตอนนั้นงงมาก
อยู่ดีๆก็ขนลุกแบบจริงจัง หูอื้อ รู้สึกในหูมันดังอึงๆ
แต่เสียงเพลงก็ยิ่งดัง ระนาด ฉิ่งฉาบมากันหมด
เอ้า มโหรี~~กันเลยจ้า เราก็แบบ เป็นอะไรเนี่ย
ใจมันเริ่มกลัวขึ้นมาค่ะ จะขยับก็ขยับไม่ได้
นี่ก็สู้สุดฤทธิ์ พยายามจะขยับ คิดว่าตะคริวกินหรือยังไง
แล้วจู่ๆก็มีคนมาเป่าหู “ฟู่!!”
... ทุกอย่างเงียบ แม้แต่เสียงจั๊กจั่น เสียงเขียด ก็ไม่ได้ยิน มันเงียบแบบหูวิ้งไปเลย ใจเราเริ่มไม่ดีละ ใครมาเป่าหูในเมื่ออยู่ในห้องคนเดียวแล้วล็อกจากข้างใน
นี่ก็เริ่มท่อง นโมตัสสะ คือจุดๆนั้นถ้าไม่คิดเรื่องผีคงเป็นไปไม่ได้ กลัวมาก ร้องก็ร้องไม่ได้
พอเราเริ่มท่องในใจ เราก็เริ่มขยับได้ พอขยับปุ๊บเราก็รีบวิ่งจะไปหาพอที่ดูทีวีอยู่ข้างนอก
พอเปิดประตูห้องปุ๊บ!! โลกมืดเลยค่ะ
ข้างนอกไม่มีใครอยู่เลย ปิดไฟมืดสนิท
พ่อแม่เข้าห้องนอนกันหมดแล้ว
เท่านั้นแหละจ้า ก้าว 3 ก้าว ถึงห้องแม่ทันที
แล้วทุบประตูห้องพ่อแม่ลั่นเลยค่ะ น้ำหูน้ำตาไหล ไงล่ะคนไม่กลัวผี หมดสภาพ...
ครั้งแรกที่เจอผีแบบโหมโรง
ขอตัวนอนก่อนนะคะ ยังมีอีกหลายครั้งค่ะที่เจอ
ไม่รู้จะแท็กห้องไหน แท็กผิดถูกขออภัยค่ะ
เจอผีตั้งแต่เด็ก
มันเริ่มตั้งแต่เรายังจำความไม่ได้
ตอนนั้นเราไม่แน่ใจนะคะว่าอายุเท่าไหร่ เป็นเรื่องที่แม่เล่าให้ฟังตอนเราโตแล้ว
เราเป็นคนเหนือค่ะ แล้วทางเหนือเค้าจะมีพิธีที่ทำตามๆกันมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย คือการเลี้ยงผี
หรือการไหว้บรรพบุรุษ คนเหนือเรียก เลี้ยงผีปู่ย่า
เค้าก็จะมีพวกสำรับ อาหารคาวหวานต่างๆ
ตั้งไว้ประมาณ 1 ก้านธูป พอธูปหมด ลูกหลานก็จะเอาอาหารมาแบ่งกันกินตามความเชื่อว่ากินของเหลือจากผีปู่ย่าแล้วจะเป็นศิริมงคลอะไรประมาณนี้
(จริงๆก็ตั้งไว้ให้เย็นชืดเฉยๆนั่นแหละค่ะ)
แล้วทีนี้ เราก็ตามประสาเด็ก มองนู่นมองนี่
ไม่รู้หรอกค่ะว่าผู้ใหญ่เค้าทำอะไรกัน
แม่เล่าว่า ทำพิธีเสร็จ ผู้ใหญ่เค้าก็จับกลุ่มคุยกัน ส่วนเรายืนมองไปในห้องเก็บอัฐิ แล้วก็ยิ้มหัวเราะเอิ้กๆอยู่คนเดียว
แม่เราก็ถามว่าทำอะไร เราบอก คุณตาคุณยายยิ้มให้นั่นไง แล้วเราก็ชี้ไปในห้องที่ว่างเปล่า
แม่บอกว่า พวกญาติๆมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ขนลุกกันไปหมด ส่วนเรา จำไม่ได้จ้า 555
พอเริ่มโต ประมาณ ป.1-ป.2 เราเป็นคนไม่กลัวผีค่ะ
ชอบอ่าน ชอบดู ดึกดื่นๆนอนดูหนังผีคนเดียว
เป็นเด็กที่ไม่กลัวผีเลย เพราะไม่เคยเห็นจริงๆ
และคิดว่าผีมีแค่ในหนัง กลัวผีแค่ในหนัง
บ้านเราสมัยก่อนเป็นบ้านแบบไม้ตีซี่
ตรงโถงบ้านคือที่นอนดูทีวีของเรา มองข้างนอกเห็นหมดเพราะมันเป็นไม้ซี่กว้างๆ มองไปข้างนอกก็เห็นทุ่งนาสุดลูกหูลูกตา ถ้าเป็นตอนนี้ให้ไปนอนคนเดียวคงบายค่ะ บรรยากาศหลอนใช้ได้
เริ่มรู้ความตอน ป.3 ช่วงนั้นกำลังย้ายบ้านค่ะ
ช่วงที่เราย้ายบ้าน ชาวบ้านลือกันให้แซ่ดว่าผีม้าบ้องมันวิ่งคึกทั้งคืน (ภาษากลางเรียกผีม้ากะ)
ตามคนเฒ่าคนแก่เค้าเล่ามา ลักษณะผีชนิดนี้ บ้างก็ว่าหน้าเป็นม้าตัวเป็นคน บ้างก็ว่าหน้าเป็นคนนี่แหละ แต่ตัวซีดเหมือนเผือก ใช้ศอกและเข่าเคลื่อนที่เหมือนม้า ชอบไปเล่นกับหมา ถ้ามันโดดข้ามหลังคาบ้านใคร บ้านนั้นจะตายทั้งบ้าน ก็ว่าไปนั่น ส่วนเรายังไม่เคยเห็นใครตายเพราะผีม้าบ้องซักคน 555
ฟังๆเค้าเล่า เราก็ไม่เชื่อค่ะ ด้วยความเป็นเด็กไม่กลัวผี
เราก็คิดในใจ ก็มาดิ ไม่กลัวอะ แต่ไม่กล้าพูดให้พ่อแม่ได้ยิน เพราะแม่เราเป็นคนกลัวผีมากกกกก
คืนนั้นก็ไม่เจออะไรค่ะ ไม่เคยเจอม้าบ้องเลย (เล่าทำไมโว๊ะ)
ระหว่างนั้น เวลาใครเล่าเรื่องผี เราก็จะท้าในใจ
มาดิ ไม่กลัว ไม่มีจริงหรอก ผีเผออะไร
จะเป็นแบบนี้ตลอด แล้วก็ไม่เคยเจอ เลยไม่เคยกลัว
แล้วก็เป็นช่วงที่เราย้ายเข้าไปอยู่บ้านใหม่
บ้านยังไม่ได้ทำบุญ ที่ดินก็เป็นที่ๆปู่ยกให้ ไม่ได้มีประวัติอะไร มันเป็นมรดกของที่บ้านมานานแล้ว
เราเริ่มแยกห้องนอนกับพ่อแม่ตอน ป.3 ค่ะ
รู้สึกตื่นเต้นมาก ได้มีโลกส่วนตัวซักที
คืนแรกไม่มีอะไรค่ะ หลับสบายมากๆ
คืนที่สองเราก็นอนในห้องตามปกติ
ข้างนอกห้องเราจะเป็นห้องรับแขกที่พ่อนอนดูทีวีอยู่
เรานอนไปได้สักพัก สลึมสลือ ได้ยินเสียงระนาด
ก็คิดว่าพ่อดูทีวี แต่เสียงมันดังก้องๆ
เราก็นอนต่อไม่ได้สนใจอะไร แต่เสียงมันเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ เราก็เอ๊ะ! พ่อจะเปิดทีวีดังเพื่อออออ
จะลุกไปหาพ่อ เอ้า ทุกไม่ได้ ตอนนั้นงงมาก
อยู่ดีๆก็ขนลุกแบบจริงจัง หูอื้อ รู้สึกในหูมันดังอึงๆ
แต่เสียงเพลงก็ยิ่งดัง ระนาด ฉิ่งฉาบมากันหมด
เอ้า มโหรี~~กันเลยจ้า เราก็แบบ เป็นอะไรเนี่ย
ใจมันเริ่มกลัวขึ้นมาค่ะ จะขยับก็ขยับไม่ได้
นี่ก็สู้สุดฤทธิ์ พยายามจะขยับ คิดว่าตะคริวกินหรือยังไง
แล้วจู่ๆก็มีคนมาเป่าหู “ฟู่!!”
... ทุกอย่างเงียบ แม้แต่เสียงจั๊กจั่น เสียงเขียด ก็ไม่ได้ยิน มันเงียบแบบหูวิ้งไปเลย ใจเราเริ่มไม่ดีละ ใครมาเป่าหูในเมื่ออยู่ในห้องคนเดียวแล้วล็อกจากข้างใน
นี่ก็เริ่มท่อง นโมตัสสะ คือจุดๆนั้นถ้าไม่คิดเรื่องผีคงเป็นไปไม่ได้ กลัวมาก ร้องก็ร้องไม่ได้
พอเราเริ่มท่องในใจ เราก็เริ่มขยับได้ พอขยับปุ๊บเราก็รีบวิ่งจะไปหาพอที่ดูทีวีอยู่ข้างนอก
พอเปิดประตูห้องปุ๊บ!! โลกมืดเลยค่ะ
ข้างนอกไม่มีใครอยู่เลย ปิดไฟมืดสนิท
พ่อแม่เข้าห้องนอนกันหมดแล้ว
เท่านั้นแหละจ้า ก้าว 3 ก้าว ถึงห้องแม่ทันที
แล้วทุบประตูห้องพ่อแม่ลั่นเลยค่ะ น้ำหูน้ำตาไหล ไงล่ะคนไม่กลัวผี หมดสภาพ...
ครั้งแรกที่เจอผีแบบโหมโรง
ขอตัวนอนก่อนนะคะ ยังมีอีกหลายครั้งค่ะที่เจอ
ไม่รู้จะแท็กห้องไหน แท็กผิดถูกขออภัยค่ะ