ช่างเป็นความสัมพันธ์อันงดงามและล้ำค่าระหว่างเขากับเธอ
พัคดงฮุน – อีจีอัน

.
.
.
.
จุดเริ่มต้น
หญิงและชาย สองคนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง พื้นฐานชีวิต วัย ความคิด
บุคลิก มุมมอง การแสดงออก ไม่มีอะไรที่เหมือนหรือใกล้เคียงกันสักนิด
แต่สิ่งที่ทั้งคู่มีเหมือนกันและ มองเห็นกัน ตั้งแต่แรกคือ ความเศร้าและความน่าสงสาร
ที่ห่มคลุมเขาและเธออยู่ตลอดเวลา
ระหว่างทาง
ด้วยความผิดพลาดโดยตั้งใจของหญิงและชายอีกคู่หนึ่ง
เป็นเหตุนำพาให้ชายและหญิงสองคนที่มีความเศร้าและความน่าสงสารที่สุดบนโลกใบนี้
ได้มาเยียวยาจิตใจซึ่งกันและกัน ฉุดอีกฝ่ายขึ้นมาจากกองทุกข์
จากคนแปลกหน้ากลายเป็นมีตัวตนระหว่างกัน และเหมือนอากาศที่ต้องใช้หายใจ
ขาดไปเมื่อใดต้องล้มลงแน่นอน ทีละเล็กทีละน้อยจากสถานการณ์วิกฤติชีวิตแทบหาไม่
กลับมาหายใจได้เต็มปอด ยิ้มได้เต็มหน้า พร้อมจะก้าวเดินและใช้ชีวิตให้มีความสุข

ความเอื้ออาทรที่เขาหยิบยื่นให้เธอ มองเธอเป็นคนคนหนึ่งที่ไม่ได้แตกต่างจากคนอื่น
เขาคือคนแรกที่ทำให้เธอได้เรียนรู้ถึงความต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ เป็นคนดี มีความสุข
เขาคือคนที่สอนให้เธอรู้จักความรัก และเข้าใจซึ้งถึงความรู้สึกนั้น
เธอยินดีทำทุกวิถีทางให้เขามีความสุข แม้ต้องเสียสละความรักของตัวเอง
เขาผู้ซึ่งมีหัวใจยิ่งใหญ่ ให้กับครอบครัว และทุกชีวิตแสนบอบบางบนโลกนี้
เธอคือคนแรกที่มองเห็น ความเศร้า ในตัวเขา เข้าใจเขา ให้กำลังใจเขา
เธอคือคนที่อยู่เคียงข้างเสมอ เธอคือคนที่ต่อลมหายใจของเขาในทุกก้าวเดิน
และปรารถนาให้เขาได้พบความสุข อย่างแท้จริง
ในระหว่างเส้นทางชีวิตที่ขรุขระของทั้งคู่ ยังมีผู้คนที่ผ่านเข้ามา บ้างผ่านเลยไป
บางคนยังคงอยู่และจะอยู่ตลอดไป ล้วนเป็นความทรงจำอันมีค่าต่อกัน
อาจอชี่สามพี่น้อง ที่มีนิสัยแตกต่างกัน มีเส้นทางชีวิตแตกต่างกัน มีความฝันแตกต่างกัน
และ(ดูเหมือนจะ)ลงเอยด้วยความพ่ายแพ้กับชีวิต แต่เราก็รู้ว่าเขารักกันมากแค่ไหน
...................................................................
อ้อมกอดอันมีค่าและมากความหมาย
อีซอนคยูน และ อีจีอึน คือ พัคดงฮุนและอีจีอัน โดยแท้จริง
ทั้งคู่ทำให้คนดูตกหลุมรักพัคดงฮุนและอีจีอันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในทุกตอนที่เรื่องราวดำเนินไป
ทุกเสียงลมหายใจของอาจอชี่ ทุกเสียงฝีเท้าก้าวเดินของอาจอชี่ ทุกความเงียบของจีอัน
ทุกสีหน้าแววตาที่อาจอชี่และจีอันสื่อสารกันผ่านความเงียบในทุกครั้ง
บอกเล่าความรู้สึกนึกคิดของทั้งคู่เสมอและคือเสียงที่ดังที่สุดที่คนดูได้ยินชัดเจน
ทุกความระมัดระวังในการแสดงออกของพัคดงฮุนและอีจีอันคือความงดงาม
ความไม่โรแมนติกที่แสนโรแมนติก แทรกซึมอยู่ในทุกบททุกตอน
คือความตั้งใจที่พัคแฮยองค่อยๆ หยอดใส่ในเรื่องราวที่ดำเนินไป
มันคือความคิดที่ตื้นเขินอย่างยิ่งหากจะบอกว่าความโรแมนติกถูกจำกัด
อยู่แค่ความหมายในเชิงชู้สาว
วันไปส่งยายที่รพ. จีอันรู้ว่าอาจอชี่อายที่คุยกันเรื่องชื่อ ขึ้นรถไปก็เลือกนั่งเก้าอี้เดี่ยว
จีอันเดินเลี่ยงไปนั่งหลังไกลๆ เพื่อให้เขาได้ปรับความรู้สึกตัวเอง,
อาจอชี่ไม่มาที่บาร์หลังจากที่เอาจีอันมาฝากไว้กับจองฮี ไม่ใช่เพราะกลัวเสียงซุบซิบ
แต่เพราะการมาเจอจีอันที่นั่น จะยิ่งทำให้อาจอชี่จัดการกับความรู้สึกได้ยากขึ้น,
จีอันไปปูซาน เพราะการมีเธออยู่แถวนั้นและคอยเตร็ดเตร่มองหาเขา
จะทำให้อาจอชี่ต้องคอยหลบเลี่ยงเธอและนั้นจะยิ่งทำให้เธอเศร้า
จีอันซื่อตรงกับความรู้สึกของเธอเสมอ แต่เธอก็ระมัดระวังมันด้วย
เพราะเธอรู้ดีว่าอะไรคือความต้องการของเขา
แต่ที่เธออาจไม่รู้คือ ความรู้สึกที่เขาต้องหักห้ามเอาไว้
จีอันอาจไม่ได้เป็นคนที่รู้จักอาจอชี่ดีที่สุดกว่าใคร แต่เธอคือคนที่เข้าใจเขาดีกว่าใคร
สิ่งที่สำคัญกว่าการรู้จักเขาดีที่สุด คือเธอเข้าใจเขา
เข้าใจความต้องการของเขา และยอมรับมันเสมอ นั่นยิ่งทำให้ระยะห่างในความรู้สึก
ระหว่างเขาและเธอเขยิบใกล้กันมากขึ้น แม้จะอยากรักษาระยะห่างนั้นไว้มากแค่ไหนก็ตาม
อาจอชี่ไม่เคยปฏิเสธความรู้สึกของจีอันแม้แต่ครั้งเดียว
และทั้งหมดนั้นคือ ความรู้สึกพิเศษ ที่ฉันหมายถึง
...............................................................
ในคืนนั้น หลังการอำลา “กำลังใจเล็กๆ” ของเขา
ดงฮุนกลับบ้านพร้อมเบียร์ที่ยุนฮีต้องการ
มันคือครั้งแรกที่คนดูได้เห็นการตอบสนองของยุนฮีต่อความรักของดงฮุน
“ผมกำลังกลับบ้าน คุณอยากให้ซื้ออะไรเข้าไปให้ไหม”
ประโยคพื้นๆ ที่จีอันบอกยุนฮีว่ามันคือความอบอุ่นที่สุดในความรู้สึกของเธอ
เบื้องหลังเบียร์กระป๋องนั้น คือการสิ้นสุดความสัมพันธ์สามี-ภรรยาระหว่างยุนฮีและดงฮุน
ซีนถัดมาพัคแฮยองบอกคนดูด้วยบทสนทนาสั้นๆ ระหว่างออมม่า ดงฮุนและกีฮุน
ออมม่าถามว่าไปส่งยุนฮีที่สนามบินแล้วใช่ไหม ทำไมไปนานเป็นอาทิตย์สองอาทิตย์
อาจอชี่บอกออมม่าว่าเธอจะไปหาที่เรียนต่อ นั่นหมายความว่าจะไปอีกนาน นานมาก
กีฮุนบอกฮยองว่า พี่ก็ย้ายกลับมาอยู่กับเราที่นี่สิ กีฮุนเข้าใจทุกอย่างได้อย่างรวดเร็ว
ออมม่าทำเหมือนไม่เข้าใจความหมายนั้น แต่ไม่ได้แปลว่าออมม่าไม่เข้าใจ
ออมม่าอาจจะเป็นคนที่รู้ดีที่สุดทุกอย่างก็เป็นได้
ออมม่ารู้ดีเสมอว่าดงฮุนเก็บงำความทุกข์ไว้มากมายแค่ไหน เธอรู้แม้กระทั่งว่า
ถ้าลูกคนหนึ่งมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น อีกสองคนจะอาการไม่ดีไปด้วยพร้อมกันเสมอ
การแยกกันอยู่คือจุดเริ่มต้นของการจากลา
ยุนฮีเป็นคนดีที่ตัดสินใจทำในสิ่งที่ผิดพลาด และมันเปลี่ยนชีวิตเธอนับแต่วันนั้น
แม้ว่าดงฮุนจะให้อภัยเธอแทบจะในทันทีที่ได้รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น
การให้อภัยเป็นเรื่องหนึ่ง ความรักก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เธอตอบคำถามจีอันไม่ได้ว่าทำไมถึงได้นอกใจดงฮุน
แม้เธอจะบอกว่ามีเหตุผลเป็นร้อยเป็นพัน แต่ก็อาจจะไม่มีเหตุผลที่แท้จริงเลยสักข้อ
เธออาจจะแค่อยากทำมัน
ซีนต่อมา ที่หน้าทีวี กีฮุนถามดงฮุนว่า เธออยู่สุขสบายดีไหม เธอติดต่อมาไหม
ทั้งคู่สื่อความกันสั้นๆ แต่ต่างรับรู้ได้ทันทีว่ากีฮุนหมายถึงใคร
คำตอบของดงฮุนรวมทั้งสีหน้าท่าทางของเขา สะกิดบางอย่างในความคิดกีฮุน
อยู่ๆ กีฮุนก็เล่าถึงหนังเรื่องหนึ่งที่เขารู้สึกเศร้าจนทนดูต่อไม่ไหว
แน่นอนหนังเรื่องนี้ไม่ใช่อะไรที่ใส่เข้ามาส่งๆ อีกเช่นเคย กีฮุนปิดซีนนี้ด้วยประโยคที่ว่า
ตัวละครในหนังเรื่องนั้นมีความเข้มแข็งอยู่ในตัวเอง
และ คนเราทุกคนมีความสามารถในการเยียวยาตัวเอง
เสียงของกีฮุนล่องลอยมา
ในวันที่อาจอชี่พังทลาย นั่งร้องไห้คนเดียวอยู่ท่ามกลางบ้านที่เงียบเหงาเวิ้งว้าง
บอกเราว่า ชีวิตครอบครัวที่เขาสร้างมาและหวังให้อยู่ดีมีสุขได้ล่มสลายลงแล้ว
หัวใจของเขาแตกสลายและได้รับการอนุญาตให้ปลดปล่อยความทุกข์โศกตรมออกมาในวันนั้น
ความเศร้าที่ต้องใช้ความเข้มแข็งทั้งจากตัวเองและอาจต้องดึงกำลังใจคำเล็กๆ
จากใครอีกคนเพื่อปลอบโยนตัวเองในวันเช่นนี้ เพื่อเยียวยาตัวเอง เพื่อจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
เกี่ยวกับหนังเรื่องนั้น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หนังเรื่องนั้นมีชื่อว่า Nobody Knows (2004)
หนังสัญชาติญี่ปุ่น เล่าเรื่องราวของเด็กน้อยสี่คนพี่น้องต่างพ่อ
ใช้ชีวิตในอพาร์ท์เม้นท์เล็กๆ กับแม่คนเดียว ที่จะหายไปทำงานนานๆ แล้วทิ้งให้ลูกๆ
อยู่กันตามลำพัง เด็กๆห้ามส่งเดียงดังและไม่ให้ออกไปไหน เพราะแม่บอกเจ้าของที่พัก
ว่ามีลูกคนเดียว ถ้าเจ้าของรู้ความจริงจะไม่ให้อาศัยอยู่ วันหนึ่งแม่หายไป
มีแค่เงินน้อยนิดที่แม่ทิ้งไว้ให้ แม่บอกว่าจะไปไม่นาน แต่เธอไม่เคยกลับมา
สี่ชีวิตต้องอยู่กันให้ได้ผ่านวันและเดือน พี่คนโตอาจจะพาน้องๆ ผ่านฤดูกาลแรกไปได้
แต่จะผ่านไปได้อีกกี่ฤดูกาล เป็นหนังที่เล่าเรื่องไปเรื่อยๆ
ฉายภาพชีวิตในมุมมองของเด็กน้อย ชีวิตแสนเศร้าแต่ไม่มีน้ำตาจากเด็กน้อย
ที่กระทบความรู้สึกของคนดูอย่างชนิดที่เรียกว่า สั่นสะเทือน
นักแสดงนำชายวัย 12 ปี ได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากเทศกาลหนังเมืองคานส์
และเป็นนักแสดงที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รางวัลจากเทศกาลหนังเมืองคานส์
เส้นชัย
ลุงโต คนอ่อนไหวเจ้าน้ำตา ผู้บรรลุแล้วซึ่งการใช้ชีวิต
และได้ทำสิ่งที่จะเป็นความทรงจำดีๆ ในชีวิตนอกจาก กินแล้วก็ขี้ ได้อย่างคุ้มค่าที่สุด
กับเงินก้อนที่เก็บหอมรอมริบย้ายที่เก็บจนจำแทบไม่ได้ (ฮ่า)
ลุงเล็ก ผู้ร้อนรุ่ม ปากแข็ง แต่รักและรู้จักพี่ชายดีเท่ากับที่รู้จักตัวเอง
ในวันที่เรียกคืนความภาคภูมิใจกลับมาได้วันใด วันนั้นความรักจะกลับมาอีกครั้ง . . .
ไม่ใช่ yellow hill ไม่ใช่ windy hill หรือจะเป็น notting hill (ฮ่า)
“รักกันนะ รักกันนะ” ดาราสาวได้กล่าวไว้ (ในจอหนัง)
บทสรุปของเรื่องราวนั้นย่อมมีแบบเดียว
แต่พัคแฮยองสามารถเขียนบทสรุปได้ประนีประนอมกับความรู้สึกของผู้ชมทุกคน
อ่านวิเคราะห์ ดงฮุน-ยุนฮี , ดงฮุน-จีอัน
กดอ่านที่นี่ค่ะ
https://pantip.com/topic/37687357/comment69
อ่านความสัมพันธ์ความผุกพัน พี่น้องสามลุง
กดอ่านที่นี่ค่ะ
https://pantip.com/topic/37687357/comment122
.
.
.
แน่นอนว่ามีคนที่อยากเห็น ว่าความเข้มแข็งของสถาบันครอบครัวสามารถรักษาไว้ได้
เหมือนเป็นความศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจถูกทำลาย
หากจะมองในมุมหนึ่ง การแยกกันอยู่ของยุนฮีและดงฮุน อาจเป็นการให้เวลา
ได้เยียวยารักษาแผลใจ และอาจเป็นโอกาสให้ทั้งสองคนได้เรียนรู้ความผิดพลาด
ที่เกิดขึ้นและทบทวนไตร่ตรองความรักของพวกเขา ว่าจะสามารถเดินหน้า
ไปบนเส้นเทางเดียวกันได้หรือไม่
การให้อภัยเป็นเรื่องหนึ่ง ความรักก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ความเข้าใจในความต้องการของอีกฝ่ายก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจละเลย
หากคนสองคนไม่ใช่ตัวหนังสือที่อยู่บนหน้ากระดาษเดียวกัน
สิ่งที่ดีงามที่สุดคือการมอบอิสรภาพให้แก่กัน เพราะไม่ว่าอย่างไร
ในความเป็นพ่อและแม่ของลูกก็ไม่สามารถลบออกจากความจริงไปได้

พัคแฮยองไม่ได้ชี้ชัดลงไปตรงๆ
แต่เธอเลือกที่จะใส่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ไว้ตามรายทาง
ภาพครอบครัวบานเดิม พ่อแม่ลูกอยู่ร่วมเฟรมกัน และภาพลูกชายตัวน้อยในอ้อมกอดพ่อ
คือภาพที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานของผู้จัดการ/ผู้อำนวยการพัคดงฮุนมาชั่วนาตาปี
วันนี้ข้างโต๊ะทำงานของประธานพัคดงฮุน คือภาพของลูกชายและแม่ของลูก
ที่อาศัยอยู่ต่างประเทศ กับภาพของสามพี่น้องในชุดสูทดำพร้อมแว่นตาดำ
ความใฝ่ฝันของพี่ใหญ่ที่จะได้ถ่ายภาพเช่นนี้ร่วมกับน้องทั้งคู่สักครั้งในชีวิต
ความเปลี่ยนแปลงเป็นนิรันดร์ และภาพเหล่านี้คือเสียงที่ดังกว่าคำพูด
บทสนทนาของดงฮุนกับเพื่อนที่หน้าคาเฟ่บอกอะไรเราบ้าง
จีอันได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เสียงที่เธอจะไม่มีวันลืม
แม้จะแทรกอยู่ในเสียงจ้อกแจ้กจอแจท่ามกลางเสียงมากมาย
เธอเดินตามเสียงนั้นไป
ในบทสนทนานั้น นอกจากเล่าเรื่องการใช้ภาษาอังกฤษแล้ว
สิ่งที่ดงฮุนเล่าก่อนหน้านั้นคือเรื่องการใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกาของยุนฮี
เขาบอกว่า เธอตั้งใจจะอยู่ที่นั่นจนกว่าจีซอกจะจบไฮสคูล
สิ่งที่คนดูได้ยินคือ จีซอกยังต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะจบไฮสคูลในขณะที่เขา
เพิ่งมีอายุ 14 ปีในเวลานี้ ถ้าเธอจะอยู่กับจีซอกจนเขาจบไฮสคูลมันคือการใช้ชีวิต
ระยะยาวที่นั่น หากเธอคิดจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นั่นก็ไม่ใช่อะไรที่เป็นไปไม่ได้
.
.
.
มีต่อด้านล่างค่ะ
My Ajusshi ขมถึงที่สุด ก็จะหวาน . . . จนกว่าเราจะได้พบกัน [ ending ]
ช่างเป็นความสัมพันธ์อันงดงามและล้ำค่าระหว่างเขากับเธอ
พัคดงฮุน – อีจีอัน
.
.
.
.
จุดเริ่มต้น
หญิงและชาย สองคนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง พื้นฐานชีวิต วัย ความคิด
บุคลิก มุมมอง การแสดงออก ไม่มีอะไรที่เหมือนหรือใกล้เคียงกันสักนิด
แต่สิ่งที่ทั้งคู่มีเหมือนกันและ มองเห็นกัน ตั้งแต่แรกคือ ความเศร้าและความน่าสงสาร
ที่ห่มคลุมเขาและเธออยู่ตลอดเวลา
ระหว่างทาง
ด้วยความผิดพลาดโดยตั้งใจของหญิงและชายอีกคู่หนึ่ง
เป็นเหตุนำพาให้ชายและหญิงสองคนที่มีความเศร้าและความน่าสงสารที่สุดบนโลกใบนี้
ได้มาเยียวยาจิตใจซึ่งกันและกัน ฉุดอีกฝ่ายขึ้นมาจากกองทุกข์
จากคนแปลกหน้ากลายเป็นมีตัวตนระหว่างกัน และเหมือนอากาศที่ต้องใช้หายใจ
ขาดไปเมื่อใดต้องล้มลงแน่นอน ทีละเล็กทีละน้อยจากสถานการณ์วิกฤติชีวิตแทบหาไม่
กลับมาหายใจได้เต็มปอด ยิ้มได้เต็มหน้า พร้อมจะก้าวเดินและใช้ชีวิตให้มีความสุข
ความเอื้ออาทรที่เขาหยิบยื่นให้เธอ มองเธอเป็นคนคนหนึ่งที่ไม่ได้แตกต่างจากคนอื่น
เขาคือคนแรกที่ทำให้เธอได้เรียนรู้ถึงความต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ เป็นคนดี มีความสุข
เขาคือคนที่สอนให้เธอรู้จักความรัก และเข้าใจซึ้งถึงความรู้สึกนั้น
เธอยินดีทำทุกวิถีทางให้เขามีความสุข แม้ต้องเสียสละความรักของตัวเอง
เขาผู้ซึ่งมีหัวใจยิ่งใหญ่ ให้กับครอบครัว และทุกชีวิตแสนบอบบางบนโลกนี้
เธอคือคนแรกที่มองเห็น ความเศร้า ในตัวเขา เข้าใจเขา ให้กำลังใจเขา
เธอคือคนที่อยู่เคียงข้างเสมอ เธอคือคนที่ต่อลมหายใจของเขาในทุกก้าวเดิน
และปรารถนาให้เขาได้พบความสุข อย่างแท้จริง
ในระหว่างเส้นทางชีวิตที่ขรุขระของทั้งคู่ ยังมีผู้คนที่ผ่านเข้ามา บ้างผ่านเลยไป
บางคนยังคงอยู่และจะอยู่ตลอดไป ล้วนเป็นความทรงจำอันมีค่าต่อกัน
อาจอชี่สามพี่น้อง ที่มีนิสัยแตกต่างกัน มีเส้นทางชีวิตแตกต่างกัน มีความฝันแตกต่างกัน
และ(ดูเหมือนจะ)ลงเอยด้วยความพ่ายแพ้กับชีวิต แต่เราก็รู้ว่าเขารักกันมากแค่ไหน
...................................................................
อ้อมกอดอันมีค่าและมากความหมาย
อีซอนคยูน และ อีจีอึน คือ พัคดงฮุนและอีจีอัน โดยแท้จริง
ทั้งคู่ทำให้คนดูตกหลุมรักพัคดงฮุนและอีจีอันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในทุกตอนที่เรื่องราวดำเนินไป
ทุกเสียงลมหายใจของอาจอชี่ ทุกเสียงฝีเท้าก้าวเดินของอาจอชี่ ทุกความเงียบของจีอัน
ทุกสีหน้าแววตาที่อาจอชี่และจีอันสื่อสารกันผ่านความเงียบในทุกครั้ง
บอกเล่าความรู้สึกนึกคิดของทั้งคู่เสมอและคือเสียงที่ดังที่สุดที่คนดูได้ยินชัดเจน
ทุกความระมัดระวังในการแสดงออกของพัคดงฮุนและอีจีอันคือความงดงาม
ความไม่โรแมนติกที่แสนโรแมนติก แทรกซึมอยู่ในทุกบททุกตอน
คือความตั้งใจที่พัคแฮยองค่อยๆ หยอดใส่ในเรื่องราวที่ดำเนินไป
มันคือความคิดที่ตื้นเขินอย่างยิ่งหากจะบอกว่าความโรแมนติกถูกจำกัด
อยู่แค่ความหมายในเชิงชู้สาว
วันไปส่งยายที่รพ. จีอันรู้ว่าอาจอชี่อายที่คุยกันเรื่องชื่อ ขึ้นรถไปก็เลือกนั่งเก้าอี้เดี่ยว
จีอันเดินเลี่ยงไปนั่งหลังไกลๆ เพื่อให้เขาได้ปรับความรู้สึกตัวเอง,
อาจอชี่ไม่มาที่บาร์หลังจากที่เอาจีอันมาฝากไว้กับจองฮี ไม่ใช่เพราะกลัวเสียงซุบซิบ
แต่เพราะการมาเจอจีอันที่นั่น จะยิ่งทำให้อาจอชี่จัดการกับความรู้สึกได้ยากขึ้น,
จีอันไปปูซาน เพราะการมีเธออยู่แถวนั้นและคอยเตร็ดเตร่มองหาเขา
จะทำให้อาจอชี่ต้องคอยหลบเลี่ยงเธอและนั้นจะยิ่งทำให้เธอเศร้า
จีอันซื่อตรงกับความรู้สึกของเธอเสมอ แต่เธอก็ระมัดระวังมันด้วย
เพราะเธอรู้ดีว่าอะไรคือความต้องการของเขา
แต่ที่เธออาจไม่รู้คือ ความรู้สึกที่เขาต้องหักห้ามเอาไว้
จีอันอาจไม่ได้เป็นคนที่รู้จักอาจอชี่ดีที่สุดกว่าใคร แต่เธอคือคนที่เข้าใจเขาดีกว่าใคร
สิ่งที่สำคัญกว่าการรู้จักเขาดีที่สุด คือเธอเข้าใจเขา
เข้าใจความต้องการของเขา และยอมรับมันเสมอ นั่นยิ่งทำให้ระยะห่างในความรู้สึก
ระหว่างเขาและเธอเขยิบใกล้กันมากขึ้น แม้จะอยากรักษาระยะห่างนั้นไว้มากแค่ไหนก็ตาม
อาจอชี่ไม่เคยปฏิเสธความรู้สึกของจีอันแม้แต่ครั้งเดียว
และทั้งหมดนั้นคือ ความรู้สึกพิเศษ ที่ฉันหมายถึง
...............................................................
ในคืนนั้น หลังการอำลา “กำลังใจเล็กๆ” ของเขา
ดงฮุนกลับบ้านพร้อมเบียร์ที่ยุนฮีต้องการ
มันคือครั้งแรกที่คนดูได้เห็นการตอบสนองของยุนฮีต่อความรักของดงฮุน
“ผมกำลังกลับบ้าน คุณอยากให้ซื้ออะไรเข้าไปให้ไหม”
ประโยคพื้นๆ ที่จีอันบอกยุนฮีว่ามันคือความอบอุ่นที่สุดในความรู้สึกของเธอ
เบื้องหลังเบียร์กระป๋องนั้น คือการสิ้นสุดความสัมพันธ์สามี-ภรรยาระหว่างยุนฮีและดงฮุน
ซีนถัดมาพัคแฮยองบอกคนดูด้วยบทสนทนาสั้นๆ ระหว่างออมม่า ดงฮุนและกีฮุน
ออมม่าถามว่าไปส่งยุนฮีที่สนามบินแล้วใช่ไหม ทำไมไปนานเป็นอาทิตย์สองอาทิตย์
อาจอชี่บอกออมม่าว่าเธอจะไปหาที่เรียนต่อ นั่นหมายความว่าจะไปอีกนาน นานมาก
กีฮุนบอกฮยองว่า พี่ก็ย้ายกลับมาอยู่กับเราที่นี่สิ กีฮุนเข้าใจทุกอย่างได้อย่างรวดเร็ว
ออมม่าทำเหมือนไม่เข้าใจความหมายนั้น แต่ไม่ได้แปลว่าออมม่าไม่เข้าใจ
ออมม่าอาจจะเป็นคนที่รู้ดีที่สุดทุกอย่างก็เป็นได้
ออมม่ารู้ดีเสมอว่าดงฮุนเก็บงำความทุกข์ไว้มากมายแค่ไหน เธอรู้แม้กระทั่งว่า
ถ้าลูกคนหนึ่งมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น อีกสองคนจะอาการไม่ดีไปด้วยพร้อมกันเสมอ
การแยกกันอยู่คือจุดเริ่มต้นของการจากลา
ยุนฮีเป็นคนดีที่ตัดสินใจทำในสิ่งที่ผิดพลาด และมันเปลี่ยนชีวิตเธอนับแต่วันนั้น
แม้ว่าดงฮุนจะให้อภัยเธอแทบจะในทันทีที่ได้รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น
การให้อภัยเป็นเรื่องหนึ่ง ความรักก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เธอตอบคำถามจีอันไม่ได้ว่าทำไมถึงได้นอกใจดงฮุน
แม้เธอจะบอกว่ามีเหตุผลเป็นร้อยเป็นพัน แต่ก็อาจจะไม่มีเหตุผลที่แท้จริงเลยสักข้อ
เธออาจจะแค่อยากทำมัน
ซีนต่อมา ที่หน้าทีวี กีฮุนถามดงฮุนว่า เธออยู่สุขสบายดีไหม เธอติดต่อมาไหม
ทั้งคู่สื่อความกันสั้นๆ แต่ต่างรับรู้ได้ทันทีว่ากีฮุนหมายถึงใคร
คำตอบของดงฮุนรวมทั้งสีหน้าท่าทางของเขา สะกิดบางอย่างในความคิดกีฮุน
อยู่ๆ กีฮุนก็เล่าถึงหนังเรื่องหนึ่งที่เขารู้สึกเศร้าจนทนดูต่อไม่ไหว
แน่นอนหนังเรื่องนี้ไม่ใช่อะไรที่ใส่เข้ามาส่งๆ อีกเช่นเคย กีฮุนปิดซีนนี้ด้วยประโยคที่ว่า
ตัวละครในหนังเรื่องนั้นมีความเข้มแข็งอยู่ในตัวเอง
และ คนเราทุกคนมีความสามารถในการเยียวยาตัวเอง
เสียงของกีฮุนล่องลอยมา
ในวันที่อาจอชี่พังทลาย นั่งร้องไห้คนเดียวอยู่ท่ามกลางบ้านที่เงียบเหงาเวิ้งว้าง
บอกเราว่า ชีวิตครอบครัวที่เขาสร้างมาและหวังให้อยู่ดีมีสุขได้ล่มสลายลงแล้ว
หัวใจของเขาแตกสลายและได้รับการอนุญาตให้ปลดปล่อยความทุกข์โศกตรมออกมาในวันนั้น
ความเศร้าที่ต้องใช้ความเข้มแข็งทั้งจากตัวเองและอาจต้องดึงกำลังใจคำเล็กๆ
จากใครอีกคนเพื่อปลอบโยนตัวเองในวันเช่นนี้ เพื่อเยียวยาตัวเอง เพื่อจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
เกี่ยวกับหนังเรื่องนั้น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เส้นชัย
ลุงโต คนอ่อนไหวเจ้าน้ำตา ผู้บรรลุแล้วซึ่งการใช้ชีวิต
และได้ทำสิ่งที่จะเป็นความทรงจำดีๆ ในชีวิตนอกจาก กินแล้วก็ขี้ ได้อย่างคุ้มค่าที่สุด
กับเงินก้อนที่เก็บหอมรอมริบย้ายที่เก็บจนจำแทบไม่ได้ (ฮ่า)
ลุงเล็ก ผู้ร้อนรุ่ม ปากแข็ง แต่รักและรู้จักพี่ชายดีเท่ากับที่รู้จักตัวเอง
ในวันที่เรียกคืนความภาคภูมิใจกลับมาได้วันใด วันนั้นความรักจะกลับมาอีกครั้ง . . .
ไม่ใช่ yellow hill ไม่ใช่ windy hill หรือจะเป็น notting hill (ฮ่า)
“รักกันนะ รักกันนะ” ดาราสาวได้กล่าวไว้ (ในจอหนัง)
บทสรุปของเรื่องราวนั้นย่อมมีแบบเดียว
แต่พัคแฮยองสามารถเขียนบทสรุปได้ประนีประนอมกับความรู้สึกของผู้ชมทุกคน
อ่านวิเคราะห์ ดงฮุน-ยุนฮี , ดงฮุน-จีอัน
กดอ่านที่นี่ค่ะ
https://pantip.com/topic/37687357/comment69
อ่านความสัมพันธ์ความผุกพัน พี่น้องสามลุง
กดอ่านที่นี่ค่ะ
https://pantip.com/topic/37687357/comment122
.
.
.
แน่นอนว่ามีคนที่อยากเห็น ว่าความเข้มแข็งของสถาบันครอบครัวสามารถรักษาไว้ได้
เหมือนเป็นความศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจถูกทำลาย
หากจะมองในมุมหนึ่ง การแยกกันอยู่ของยุนฮีและดงฮุน อาจเป็นการให้เวลา
ได้เยียวยารักษาแผลใจ และอาจเป็นโอกาสให้ทั้งสองคนได้เรียนรู้ความผิดพลาด
ที่เกิดขึ้นและทบทวนไตร่ตรองความรักของพวกเขา ว่าจะสามารถเดินหน้า
ไปบนเส้นเทางเดียวกันได้หรือไม่
การให้อภัยเป็นเรื่องหนึ่ง ความรักก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ความเข้าใจในความต้องการของอีกฝ่ายก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจละเลย
หากคนสองคนไม่ใช่ตัวหนังสือที่อยู่บนหน้ากระดาษเดียวกัน
สิ่งที่ดีงามที่สุดคือการมอบอิสรภาพให้แก่กัน เพราะไม่ว่าอย่างไร
ในความเป็นพ่อและแม่ของลูกก็ไม่สามารถลบออกจากความจริงไปได้
พัคแฮยองไม่ได้ชี้ชัดลงไปตรงๆ
แต่เธอเลือกที่จะใส่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ไว้ตามรายทาง
ภาพครอบครัวบานเดิม พ่อแม่ลูกอยู่ร่วมเฟรมกัน และภาพลูกชายตัวน้อยในอ้อมกอดพ่อ
คือภาพที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานของผู้จัดการ/ผู้อำนวยการพัคดงฮุนมาชั่วนาตาปี
วันนี้ข้างโต๊ะทำงานของประธานพัคดงฮุน คือภาพของลูกชายและแม่ของลูก
ที่อาศัยอยู่ต่างประเทศ กับภาพของสามพี่น้องในชุดสูทดำพร้อมแว่นตาดำ
ความใฝ่ฝันของพี่ใหญ่ที่จะได้ถ่ายภาพเช่นนี้ร่วมกับน้องทั้งคู่สักครั้งในชีวิต
ความเปลี่ยนแปลงเป็นนิรันดร์ และภาพเหล่านี้คือเสียงที่ดังกว่าคำพูด
บทสนทนาของดงฮุนกับเพื่อนที่หน้าคาเฟ่บอกอะไรเราบ้าง
จีอันได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เสียงที่เธอจะไม่มีวันลืม
แม้จะแทรกอยู่ในเสียงจ้อกแจ้กจอแจท่ามกลางเสียงมากมาย
เธอเดินตามเสียงนั้นไป
ในบทสนทนานั้น นอกจากเล่าเรื่องการใช้ภาษาอังกฤษแล้ว
สิ่งที่ดงฮุนเล่าก่อนหน้านั้นคือเรื่องการใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกาของยุนฮี
เขาบอกว่า เธอตั้งใจจะอยู่ที่นั่นจนกว่าจีซอกจะจบไฮสคูล
สิ่งที่คนดูได้ยินคือ จีซอกยังต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะจบไฮสคูลในขณะที่เขา
เพิ่งมีอายุ 14 ปีในเวลานี้ ถ้าเธอจะอยู่กับจีซอกจนเขาจบไฮสคูลมันคือการใช้ชีวิต
ระยะยาวที่นั่น หากเธอคิดจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นั่นก็ไม่ใช่อะไรที่เป็นไปไม่ได้
.
.
.
มีต่อด้านล่างค่ะ