กล่าวตู่พระพุทธเจ้า ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยาก แต่สามารถเข้าใจด้วยปัญญา ขณะปัจจุบัน

กระทู้สนทนา
ตู่พระพุทธเจ้า แท้ที่จริง คือไม่เข้าใจลักษณะคนๆนั้น แห่งปัญญา
ลักษณะ ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา
  พระพุทธเจ้าก็คือ พระธรรม  
เหล่าคณะพุทธบริษัท 4   เสวนาธรรม เป็นไปทางที่ถูกที่ควรโดยชอบเป็นไปแห่ง มรรคมีองศ์ 8 เป็นลักษณะของผู้เจริญนะ ไม่ใช่ปัญญานะ มันคนละส่วน  มรรคมีองศ์ 8 เป็นอาการนะ ไม่ใช่เป็นผู้มีหรือไม่ใช่ผู้เป็น


เช่น คนที่แสดงธรรมสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาจะมีลักษณะจำเพาะบุคคลหรือลักษณะ ด้วยตัวเราเองความไม่เข้าใจสภาพธรรมจริงๆ ที่ปรากฏขณะนี้ เดี๋ยวนี้
จึงเป็นการกล่าวตู่   เรียกว่า ปรามาสได้นั้นเอง
แต่ จิตมันเป็นอย่างนั้นนะ ไม่ใช่คนไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา  เกิดอาการ มานะ ถือตัวถือตน เป็นผู้มี ผู้เป็นว่าฉันมีกุศธรรม
ทั้งๆที มันเป็นรูปกับนามเท่านั้น เป็นไปตามปัจจัยจนเป็นเหตุในสิ่งนั้นๆ
จนค่อยๆรู้ค่อยเข้าใจของรูป นาม ลักษณะ

ผมอ่านพระสูตรดูแล้ว  มันไม่ใช่เรื่องเลื่อนลอยหรือ มโน จินตนาการไปเอง  มันเป็นเรื่อง ปัญญาล้วนๆ
ตั้งด้วยดี แห่ง สัมมาทิฐิ ครับ

  ใครบอกว่า  กล่าวตู่พระไตรปิกฏแบบลอยๆคิดขึ้นมา  ยังผิดทางครับ  
เพราะ สภาพตามเป็นจริง
ก็คือ ผู้แสดงธรรมขณะนั้นนั้นเอง ฝ่ายผู้ที่เสวนาธรรมกัน ต่างฝ่ายต่างสนทนาด้วยแห่งโดยชอบ ตั้งด้วยดี
คือสัมมา  ลักษณะไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา มรรคมีองศ์ 8

การกล่าวตู่นะ ไม่ใช่ยกพระไตรปิกฏว่า มันจริง ตามจินตนาการนะ มันไม่เข้าใจนะ
แต่มันคือ สภาพธรรมที่ปรากฏ ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ตอนนี้นะ

ไปใช่ไปนั่งนึกเอาเอง คิดเอาเอง คิดว่าตนเข้าใจดีแล้ว
คิดว่า นี้คือเส้นทางของเรา เพราะไม่เข้าใจสภาพความเป็นจริง
จึง ยก พระไตรปิกฏมากล่าว โอ้นี้ กล่าวตู่พระพุทธเจ้า
แต่จริงๆขณะนั้นของการเสวนาธรรมหรือลักษณะเบื้องลึกเบื้องหลังของผู้แสดงธรรม
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่