ความจริงเรื่องเงินเดือนครูอัตราจ้าง ....................................... โดย ขวัญคนเก่า หล่อเหลาคนเดิม

กระทู้คำถาม
เห็นนัวเนียกันมาสองสามวันเกี่ยวกับเรื่องเงินเดือนครูอัตราจ้าง  ผมก็ได้แต่อ่าน วิจารณ์ไม่ได้
เพราะไม่รู้เรื่อง  ไม่ได้เรียนหนังสือ  ไม่ได้เป็นครู

แต่เมื่อคืนโชคดีได้รู้เรื่อง  เพราะมีโอกาสได้นั่งซดยาดองกับอดีตผู้บริหารสถานศึกษาท่านหนึ่ง
ก็เลยถามท่าน  ท่านก็บอกเล่าอธิบายให้ฟัง  ก็เข้าใจ

และตะกี้  ได้คลิกอ่านกระทู้นี้   https://pantip.com/topic/37678560
ก็ได้เห็น คห. ที่แสดงความเห็นได้อย่างตรงเป้าถูกต้องตามความเป็นจริง




คืองี้ ครับ

เงินในสถานศึกษานั้น  จะมีสองก้อน  
ก้อนหนึ่งคือเงินงบประมาณที่ได้จากกระทรวงศึกษาธิการจัดสรรให้ประจำปี

เช่น  เงินเดือน  ค่าจ้างลูกจ้างชั่วคราว-ประจำ  ค่าสาธรณูปโภค  ค่าที่ดิน-สิ่งก่อสร้าง  ค่าใช้สอย  ค่าวัสดุ-ครุภัณฑ์  ฯลฯ
เงินก้อนนี้  ต้องใช้ให้ตรงกับปรเภทนะครับ  แบบเอาค่าน้ำไปซ่อมหน้าต่างนี่  ผิดประเภท  โดนไล่ออกเอาง่าย ๆ
หากประเภทใดใช้ไม่หมด  ก็ขอกันเหลื่อมปีไว้ใช้ในปีต่อไป หรือคืนกระทรวงไป  แต่ร้อยทั้งร้อยใช้ไม่เหลือหรอกครับ
และมีหลายสถานศึกษาที่ไม่พอใช้ด้วยซ้ำ   เพราะได้งบประมาณน้อย   ขอไปห้าล้าน  ได้มาสามล้านห้าทำนองนี้

เงินงบประมาณนี่  หากจะใช้ในการจ้างครูอัตราจ้าง  ต้องทำเรื่องขออนุญาตและของบประมาณสนับสนุนครับ
หากได้รับอนุมัติ  ก็ดี  จ้างได้ตามวุฒิ   จะขอกี่ตำแหน่ง  กี่ปี   สถานศึกษาไม่ลำบากเพราะเป็นเงินงบประมาณให้มา
แต่แบบนี้หากยากครับ  เพราะกว่าจะรู้ว่าได้รับอนุมัติหรือไม่นี่  เป็นปี  รอไม่ได้  ยุ่งยาก
และแสดงให้เห็นถึงความไม่มีประสิทธิภาพของผู้บริหาร  ก็เลยไม่ค่อยมีใครทำกัน  
ยกเว้นเส้นถึงจริง ๆ แบบขอไปได้เร็วทันใจไม่มีคำติติง

แต่ที่เป็นปัญหาวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ตอนนี้  ก็คือการจ้างด้วยเงินนอกงบประมาณครับ
คือเงินของสถานศึกษาแต่ละแห่งเอง  

ก็เงินที่ได้จากการเก็บเบี้ยบ้ายรายทางจากเด็กและผู้ปกครอง  จากแม่ค้าโรงอาหาร  เงินบริจาค  ฯลฯ

เงินก้อนนี้  ไม่ได้มาใช้แค่จ้างครูอัตราจ้างนี่ครับ  ก็ใช้สมทบในเรื่องอื่น ๆ ด้วยเพราะเงินงบประมาณไม่พอยาไส้
เหลือเท่าไรก็นั่นแหละ  ถึงเกลี่ยมาเป็นเงินเดือนครูอัตราจ้าง

เช่น  ถ้ามีเงินสักแสน  ต้องการอัตราจ้าง 2 ตำแหน่ง  ก็แบ่งตำแหน่งละห้าหมื่น
จะตกเดือนเท่าไรล่ะครับ  ก็ราว ๆ  9-10 เดือน  ก็ตกราว ๆ เดือนละ 5,000 ต่อคน

เรียกว่า เงินเยอะก็จ้างเยอะ  เงินน้อยก็จำเป็น

จ้างสี่ห้าพัน  หรือบางแห่งแค่ 3,500 ด้วยซ้ำ  มีใครไปสมัครไหม
มีครับ  บางทีเกินด้วยซ้ำ  ต้องสอบข้อเขียนนิดหน่อย  สัมภาษณ์หน่อยนิด  แล้วประกาศผล

คนตกงานเยอะครับ  ได้งานระหว่างตกก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรทำ

บางแห่ง  ก็เล่นพวกเล่นเส้นสาย  เอาเครือญาติ  เอาคนคุ้นเคยนั่นแหละมาเป็นอัตราจ้าง
ให้กินเงินเดือนไปพลาง ๆ  ก่อนสอบบรรจุได้  หรือหางานที่ดีกว่าได้

เป็นเรื่องของ "เม็ดเงิน" ครับ    ไม่ใช่เรื่อง "ค่าแรงต่ำ"

เป็นความจำเป็นของสถานศึกษา  ที่อัตราครูไม่พอ  แบกรับคาบสอนกันไม่ไหว  ไหนจะงานด้านเอกสารอีก
ก็ต้องหาครูอัตราจ้างมาช่วย

ครูอัตราจ้างนี่  งานหนักครับ   แถมอาจโดนใช้ไหว้วานสารพัด
โดนใช้ไหว้วานนี่  ปฏิเสธยากครับ  
ใครจะกล้า  กลัวโดนเกลียดขี้หน้า  เทอมหน้าไม่ต่อสัญญา หรือทำอะไรผิดนิดหน่อยโดนเล่นแบบเลิกจ้างก็ซวยไป
แถมยังต้องเคร่งครัดระเบียบวินัยยิ่งกว่าครูประจำการสิบเท่าร้อยเท่า  เพราะกลัวโดนเลิกจ้างนั่นแหละครับ


เรื่องนี้  แก้ไขได้  หากประเทศไทยมีนักบริหารการศึกษาจริง ๆ  ไม่ใช่มีแต่นักวิ่งทางการศึกษา

คือหลายสถานศึกษาครับ  ในตัวจังหวัด  โรงเรียนใหญ่ ๆ  ที่งบประมาณล้นเหลือ  บุคลากรล้นโรงเรียน
จริง ๆ ครับ  งบประมาณนี่  เหลือเฟือ  ใช้อีลุ่ยฉุยแฉก แ..กกันพุงกาง  ยังเหลือ  
พอเหลือ ปลายปีก็เที่ยวสิครับ เรียกว่าไปศึกษาดูงาน

บุคลากรสอนกันสบาย ๆ สัปดาห์ละ 15 คาบ  พอให้ถึงเกณฑ์สอนอย่างต่ำ  
บางแห่ง  สอนต่ำแบบไม่ให้หลุดเกณฑ์แค่ 12 คาบก็มี  
แย่งกันสอนก็มีเพื่อจะได้มีคาบสอนเยอะ ๆ มีผลต่อการทำผลงานปรับเลื่อนวิทยฐานะ
งานธุรการ การเงิน พัสดุ ฯลฯ  มีบุคลากรบรรจุทำต่างหาก
ครุมีหน้าที่สอนและทำงานด้านสื่อการสอนของตัวเองอย่างเดียว

เทียบกับโรงเรียนนอกตัวเมือง  บุคลากรขาด  แบกรับการสอนกันสัปดาห์ละยี่สิบกว่าคาบ
งานด้านอื่นอีกเพียบ  
บางคนเป็นทั้งครูสอน เป็นทั้งการเงิน พัสดุ  ท่วมหัว ไม่มีแม้กระทั่งเวลาทำผลงานเพื่อความก้าวหน้าของตัวเอง
บางคนสอนซะสามสี่วิชา  จบเอกอังกฤษ  ต้องสอนอังกฤษ  คณิตศาสตร์  พละ  เพราะอัตรากำลังขาด
ยิ่งเรื่องงบประมาณยิ่งไม่ต้องพูดถึง  กระดาษหนึ่งรีมต้องใช้ให้คุ้มค่าที่สุด  
จะไปราชการที บางครั้งต้องควักเองเพราะโรงเรียนไม่มีเงินให้

ที่มีปัญหาเรื่องเงินเดือนครูอัตราจ้างน้อย ก็อยู่ในข่ายโรงเรียนที่มีภาวการณ์ทำนองนี้แหละครับ

จะแก้ไขได้  ก็ต้องเกลี่ยครู  จากโรงเรียนล้นครูไปยังโรงเรียนขาดครู
จัดสรรงบประมาณให้ทั่วถึงตามสภาพที่แท้จริง  
ไม่ใช่แบบยิ่งโรงเรียนใหญ่ยิ่งได้มาก ทั้งที่มีเงินบริจาคและเงินอื่น ๆ มากแน่นอนอยุ่แล้ว
โรงเรียนน้อยก็เอาไปน้อยซึ่งก็น้อยจนไม่พอใช้  แถมเงินบริจาคและเงินอื่น ๆ ก็หายากลำบากเต็มทน



ก็ยังงี้แหละครับ
คือเพราะเงินไม่พอ  เงินมีน้อย  เลยต้องจ้างน้อย  เพราะความจำเป็น

อัตราจ้างโรงเรียนใหญ่ ๆ ที่มีเงินเยอะ  
เพราะแต่ละปีมีเงินบริจาคเยอะ  เก็บค่าโรงอาหารแพง ๆ   ได้จากนักเรียน-ผู้ปกครอง  ฯลฯ
ก็จ้างด้วยอัตราตามวุฒิได้ทั้งนั้นครับ
และเงินเยอะ ๆ ที่เหลือ พอสิ้นปีก็ศึกษาดูงานกันเฉิบ ๆ  ไม่ต้องใช้เงินงบประมาณด้วยซ้ำ

และหลายแห่งครับ  ครูประจำการต้องออกเงินกันคนละพัน คนละห้าร้อยบาทต่อเดือน
เพื่อสมทบให้ครูอัตราจ้าง  เพราะโรงเรียนมีเงินจ้างน้อย เห็นใจกันก็ช่วยเหลือกันไปตามมีตามเกิด



เมืองไทยนี่  มีสองเรื่อง  ที่ใครทำให้ดีได้  ถือว่าเก่งเหนือคน
นั่นคือเรื่อง การจราจร และ เรื่องการศึกษา

ทักษิณว่าแน่ ๆ   ยังแย่ต้องถอยกรูด ๆ กับเรื่องสองเรื่องนี้มาแล้ว




ร่ายมาซะยาว   รู้เรื่องมั่งไม่รู้เรื่องมั่งก็อย่าว่ากันนะครับ  ยังไม่สร่างยาดองเท่าไร
ถอนสิ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่