แอบรัก...ได้โล่



วันจันทร์
    คุณเคยรักใครสักคนไหม ส่วนใหญ่คงตอบว่าเคย แล้วหากคุณได้แต่แอบรักหรือรักโดยที่ไม่ได้รับความรักตอบ สุดท้ายคุณจะยังเก็บความรักนั้นไว้หรือทิ้งมันไป  สำหรับฉัน… ฉันเลือกที่จะเก็บไว้ แต่จะเก็บไว้นานแค่ไหนนะเหรอ ยังไม่ถึงเวลาเฉลย คุณต้องติดตามเอง ขอบอกก่อนว่า ตอนนี้ฉันยังไม่รู้ว่าความรักของฉันจะลงเอยแบบไหน สมหวังหรือผิดหวัง ฉันอยากให้คุณได้ร่วมลุ้นไปพร้อมกัน แต่ก่อนจะเข้าเรื่อง ฉันขอแนะนำตัวเองให้คุณได้รู้จักก่อน

    ฉันชื่อ จิ๊ก หญิงสาวอายุเลยเบญจเพส ทำงานด้านการตลาดในบริษัทส่งออกเครื่องหนัง และตอนนี้กำลังนั่งเพ้อถึงผู้ชายคนหนึ่ง คนที่ฉันไม่มีวันลืม แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเขายังคงฝังแน่นอยู่ในใจ แม้จะเป็นรักข้างเดียว แต่ฉันยังเก็บไว้ในใจ เพราะคิดว่าความสุขของการรัก คือการได้รัก ฉันอาจจะหวังน้อยที่ไม่ได้ต้องการความรักตอบ หรือแท้จริงแล้ว ฉันกลัวเกินกว่าที่จะบอกความในใจ เพราะหากผิดหวังฉันอาจจะไม่เหลือความรักเลย… แต่แล้วทุกอย่างที่กำลังคิดฝันละเมอเพ้อพก พังทลายลงทันที เมื่อมีเสียงแหลมเล็กดังแทรกเข้ามาในโสตประสาท ทุกอย่างในหัวของฉันหยุดกึก พร้อมกับร่างกายที่แสดงอาการสะดุ้งตกใจเพราะไม่ทันตั้งตัว

    “จิ๊ก แกอ่านบล็อกอะไรนะ” น้ำเสียงบ่งบอกถึงความอยากรู้อยากเห็นของคนพูดเสียเต็มประดา แต่ก่อนที่ฉันจะตอบคำถามใดใด ฉันขอแนะนำให้คุณได้รู้จักกับเจ้าของเสียงแหลมเล็ก เธอชื่อ มุ่ย เป็นเพื่อนสมัยมัธยม จนถึงมหาวิทยาลัย และปัจจุบันเราทำงานที่เดียวกัน แผนกเดียวกัน โต๊ะทำงานใกล้กัน ตอนนี้แค่นี้ก่อนแล้วกัน ฉันขอไปจัดการยายเพื่อนตัวแสบ ในฐานะที่มาก่อกวนทำให้จินตนาการของฉันกระเจิดกระเจิง

ฉันค่อยๆ หมุนเก้าอี้กลับหลังแล้วยืนขึ้นเผชิญหน้ากับเจ้าของเสียง ดูจากเวลา ฉันมั่นใจว่าเราสองคนเพิ่งจะแยกจากกันตอนเลิกงานเมื่อประมาณสองชั่วโมงที่แล้ว แต่ทำไม? คุณมุ่ยเพื่อนเลิฟกลับมายืนอยู่ในห้องนอนของฉัน พร้อมกับกระเป๋าใบเขื่องสำหรับการเข้าพักต่างบ้านได้เป็นอาทิตย์  ตอนนี้สีหน้าฉันคงจะบ่งบอกความแปลกใจผสมความไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด แต่อีกฝ่ายกลับทำหน้าแป้นแล้น ไม่รู้ไม่ชี้ แบบนี้คงต้องจัดชุดใหญ่

“ไอมุ่ย เย็นย่ำค่ำมืดแบบนี้ แกไม่น่าจะมายืนเสนอหน้าอยู่แถวนี้นะ ปกติเวลานี้แกควรต้องปรนนิบัติพัดวีคุณสามีอยู่ที่บ้านนี้หน่าแล้วทำไม?  ถึงมายืนหัวโด่ที่นี่ไม่ทราบยะ” น้ำเสียงราบเรียบในตอนต้น แล้วสูงขึ้นเมื่อถึงท้ายประโยคเพื่อบอกความรู้สึก ว่าฉันไม่พอใจที่เห็นคุณเพื่อนมาปรากฎตัวในห้องนอนของฉัน แต่ไม่ใช่เพราะความโกรธ แต่เพราะอะไรนั้นไปฟังฉันต่อดีกว่าค่ะ

“ทะเลาะกับพี่อ้นอีกแล้วสิ แกมันนิสัยเสียจริงๆ เอาแต่ใจ ไม่ได้ดั่งใจก็งอนตะพึดตะพือ ไม่ยอมฟังใคร แทนที่จะพูดจากันดีดี ฉันบอกแกหลายครั้งแล้วนะว่าพี่อ้นเป็นผู้ชายที่หาไม่ได้ง่ายๆ  บนพื้นพิภพนี้นะโว้ย เพราะฉะนั้นแกกลับไปเลยนะ ฉันไม่ต้อนรับ” ฉันลงน้ำหนักเสียงเน้นตรงประโยคสุดท้ายอย่างตั้งใจ ที่จริง นี้เป็นเรื่องปกติที่ไอมุ่ยจะมานอนค้างที่บ้านฉันเดือนละสามถึงสี่ครั้ง แบบที่ฉันไม่เต็มใจ ไม่ใช่ว่ารังเกียจหรือเกลียด แต่เพราะการออกจากบ้านของเพื่อนคือการหนีปัญหา เมื่อหนีก็ไม่มีการแก้ไข มันจึงทับถมแทนที่จะได้สะสาง ส่วนสาเหตุหลักๆ มาจากอารมณ์งอนตามประสาผู้หญิง ทั้งๆ ที่พี่อ้น เป็นผู้ชายที่ครบสูตรทั้งหน้าตาที่หล่อเหลา หน้าที่การงานมั่นคง และที่สำคัญตามใจภรรยาทุกเรื่อง ช่างเป็นผู้ชายแสนดีและอบอุ่นแบบที่หาไม่ได้ง่ายๆ บอกตรงๆ ว่าฉันอิจฉามาก จนกลายเป็นแอบแค้นใจเล็กๆ เพราะสมัยเรียนเราทั้งคู่ไม่มีวี่แววจะมีแฟน พูดง่ายๆ เลย คือไม่มีผู้ชายหลงมาจีบสักคน ทั้งๆ ที่เราสองคนหน้าตาก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ พูดแบบไม่ได้เข้าข้างตัวเอง พิจารณาจากหนังหน้าล้วนๆ ฉันว่าพวกเราค่อนข้างกระเดียดไปทางสวยมากด้วยซ้ำ

พอเรียนจบ ไอมุ่ยกลับแต่งงานก่อนใครในรุ่น ตั้งแต่ยังไม่ได้เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร เรียกได้ว่ามาแรงแซงทางโค้งทีเดียว เพราะทางบ้านหาคนที่เหมาะสมไว้ให้ ทีแรกก็ออกอาการต่อต้านหัวชนฝาไม่ยอมถูกคลุมถุงชน ถึงกับระดมเพื่อนๆ ในคณะไปก่อม็อบ ถือป้ายประท้วง แต่สุดท้ายคุณเธอกลับลำยอมแต่งงานตามคำสั่งของครอบครัวแต่โดยดี เพราะผู้ชายที่ทางบ้านจัดหาให้ คือพี่อ้น …รักแรกตั้งแต่สมัยเด็ก หนำซ้ำในตอนหลังไอมุ่ยเองที่เป็นฝ่ายเร่งรัด ด้วยกลัวอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจไม่ยอมแต่งงาน แต่พออยู่ด้วยกันจริงๆ ก็ไม่วายทำนิสัยเด็กๆ เห็นแล้วหนักใจแทน แบบนี้ฉันควรจะยุให้หย่ากันดีไหมเนี่ย จะได้กลับมาเป็นโสดเหมือนกัน

“กลับนะกลับแน่ เพราะฉันอยากกลับไปนอนกอดสามี อุ่นกว่านอนกอดแกตั้งแยะ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ รอให้ง้อก่อนสิ กลับไปเองเฉยๆ เสียฟอร์มแย่สิแก” ยายเพื่อนตัวแสบยังจะมายักคิ้วใส่อีก ตอนนี้ฉันคงทำได้แค่ถอนหายใจแบบเซ็งๆ กับชีวิตแต่งงานของเพื่อนสนิทที่สามวันดีสี่วันงอนอย่างนี้ เรื่องแบบนี้โบราณว่าไว้ คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า ถ้าไม่เจอกับตัว คงไม่มีทางรู้ …ฉันขอสารภาพว่าอยากสัมผัสกับตัวเอง อยากลิ้มรสการได้เป็นคนใน แต่ติดตรงที่ยังหาคนมาสอยลงจากคานไม่ได้นะสิ

“แล้วแกกำลังอ่านอะไร” ในที่สุดไอมุ่ยก็วนกลับเรื่องเดิม นอกจากถามแล้วยังพยายามแอบสอดส่ายสายตาดูหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้านหลัง “ฉันเห็นแกอ่านมาหลายวันแล้วนะ ไหนดูดิ” คราวนี้ยายจอมจุ้นผลักฉันกระเด็นออกไปพ้นทาง ก่อนจะหันมาหัวเราะ

“รีวิวเลี้ยงลูก ทำขนม เขียนนิยาย ดูๆ แล้วไม่เข้ากับแกสักอย่างเลยนะ เพราะหนึ่ง แกยังไม่มีลูก แม้แต่แฟนยังหาไม่ได้” ฉันได้แต่ทำหน้าบอกบุญไม่รับส่งกลับไป หวังให้จบ แต่ยังไม่จบค่ะ คุณเพื่อนรักยังสาธยายต่อ “สอง ทำขนม ทำอาหาร โอ๊ย… ไม่มีทาง ฉันยังไม่เคยเห็นแกจับมีด จับตะหลิวเลยตั้งแต่คบกันมา สุดท้ายนิยาย ฉันเห็นแกอ่านแต่การ์ตูนญี่ปุ่นกับนิยายสืบสวนสอบสวน นิยายรักหวานแหววแบบนี้ ไม่ใช่แนวแกแน่นอน แบบแกต้องแล่เนื้อเถือหนัง เลือดสาด ถึงจะสาแก่ใจ”

เฮ้อ…ฉันขอถอนหายใจอีกรอบ พูดเรื่องช้างมาออกเรื่องควายได้ไงเนี่ย กำลังด่าเรื่องตัวเองแท้ๆ  ไหงกลับมาที่เรื่องฉันได้ล่ะ ยายเพื่อนตัวดีไม่เคยละความพยายามในการสอดรู้สอดเห็นจริงๆ แต่ไม่ทันได้ตอบคำถามอะไร จู่ๆ ประตูห้องเปิดผ่างเข้ามา พร้อมกับ  

“หิวๆ ” ชายหนุ่มที่โผล่มาใหม่ยืนจังก้ากลางห้องนอนของฉันอีกคน ขอแนะนำให้คุณได้รู้จัก ก่อนที่ฉันจะจัดการชุดใหญ่อีกรอบ … ต้อม เพื่อนข้างบ้าน ที่รู้จักและเล่นกันตั้งแต่เกิด อยู่โรงเรียนเดียวกันตั้งแต่อนุบาลจนมหาวิทยาลัย ดีว่าเรียนกันคนละคณะ ฉันเรียนบริหาร ส่วนไอต้อมเรียนสถาปัตย์ แต่ก็เห็นหน้าเจอตัวกันแทบทุกวัน โดยเฉพาะช่วงเย็น เวลาทานข้าว

“มารยาทนะมีบ้างไหม จะเข้าห้องนอนคนอื่น และที่สำคัญ ห้องนอนผู้หญิงนะ หัดมีมารยาทเคาะประตูก่อนสิ” ขอถอนหายใจอีกรอบ สงสัยในสายตาไอต้อมฉันคงไม่ใช่เพื่อนผู้หญิง ก็เล่นตีหัว ต่อยมวยกันมาตั้งแต่เด็กๆ  

“อะไรกัน ก็ฉันเข้านอกออกในบ้านนี้ โดยเฉพาะห้องนอนแกตั้งแต่เด็ก อย่าว่าแต่เข้าเลย นอนที่นี้ก็เคยทำมาแล้ว ยังไม่ชินอีกหรือไง”
“นั่นมันตั้งแต่ตอนเด็กๆ พูดแบบนี้เดี๋ยวคนอื่นได้ยินก็เข้าใจผิดหมด ฉันยิ่งขายไม่ออกอยู่ด้วย”

“เข้าใจผิดก็ดีสิ” ฟังมันตอบเข้า แบบนี้น่าแพ่นกบาลจริงๆ ไม่คิดจะช่วยเพื่อนลงจากคานแล้วยังมาทำให้ตัวเลือกที่มีน้อยของฉัน น้อยลงไปอีก ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าพวกผู้หญิงที่มาห้อมล้อมไอต้อม หลงเสน่ห์อะไรมันหนักหนา ปากก็เสีย ดีแต่หน้าตาพอไปวัดไปวาได้เท่านั้นเอง

“แกกลับบ้านไปอาบน้ำอาบท่าก่อนได้ไหมไอต้อม ออกกำลังกายมาเหงื่อท่วม เหม็นก็เหม็น เข้ามาในห้องทีไร เป็นมลพิษทางอากาศ” คราวนี้คำพูดของฉันโดนกลางกบาลเต็มๆ ได้ผลอีกฝ่ายทำหน้าสลด รู้ตัวว่าเป็นของเสีย ทำให้บรรยากาศเป็นพิษ จึงเอ่ยขอตัวถอยทัพกลับ

“เออ ไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวเจอกันตอนกินข้าวเย็น” พูดจบไอต้อมก็เดินหน้าจ๋อยกลับออกไป บ้านต้อม อยู่ข้างบ้านฉันเอง แต่ตอนนี้อยู่คนเดียวเพราะพ่อกับแม่เกษียณและกลับไปลงหลักปักฐานที่บ้านเกิดในจังหวัดใกล้ๆ  คุณเพื่อนต้อมเลยมาฝากท้องกินข้าวเย็นที่นี้ทุกวัน เสมือนเป็นลูกชายอีกคนของบ้านนี้

“ไอต้อมมันก็หน้าตาดี ส่วนแกก็ยังว่าง ทำไมไม่ลองคบกันดู” ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีใครคิดแบบนี้ โดยเฉพาะคนที่รู้จักเราสองคนดี อย่างไอมุ่ย เพราะมันเป็นไปไม่ได้ ไม่มีทาง ฉันกับไอต้อมเหมือนกระสือ ที่รู้ไส้รู้พุงกันดี แค่คิดก็ขนพองสยองเกล้า

“ไร้สาระ ไปกินข้าวดีกว่า แล้วโทรไปง้อพี่อ้นด้วยนะแก”
“เชอะ” นั่นคือคำตอบ และคืนนี้ฉันก็ต้องแบ่งที่นอนกับไอมุ่ย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่