ที่มา :
https://www.thairath.co.th/content/1281869
3 ค่ายมือถือ กลุ่มทรู เอไอเอส และดีแทค รับเอกสารเข้าประมูลคลื่น 1800 รวม 5 ซองประมูล รอดีเดย์เคาะประมูล 4 ส.ค.นี้
เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (15 พ.ค.) พนักงานของบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ 3 รายใหญ่ของไทย ได้เข้ารับเอกสารการประมูลคลื่นความถี่ย่าน 1800MHz จากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (เลขาธิการ กสทช.)
กลุ่มเอไอเอสรับเอกสารไป 2 ชุด ในนามบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอสและบริษัท แอดวานซ์ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด (เอดับบลิวเอ็น)กลุ่มดีแทค รับเอกสาร 2 ชุดเช่นกัน ในนามบริษัท ดีแทค ไตรเน็ต จำกัด(ดีทีเอ็น)และบริษัท ดีแทค บรอดแบนด์ จำกัด(ดีบีบี)ส่วนกลุ่มทรูรับเอกสาร 1 ชุด ในนามบริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด(ทียูซี)
นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. เปิดเผยว่า กสทช.ได้กำหนดเวลาการประมูลดังนี้ เปิดให้ผู้สนใจเข้ารับเอกสารการประมูลคลื่นฯ ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 14 มิ.ย. นี้ จากนั้นให้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตในวันที่ 15 มิ.ย. 2561
ขั้นตอนการพิจารณาคุณสมบัติขั้นแรก อยู่ในช่วง 16-28 มิ.ย. 2561 หลังจากนั้นจะประกาศรายชื่อผู้ผ่านคุณสมบัติเป็นผู้เข้าร่วมประมูลภายในวันที่ 29 มิ.ย. 2561 ส่วนในระหว่างวันที่ 1-3 ส.ค. 2561 จะชี้แจงการประมูล (Information Session)และการทดสอบการประมูล (Mock Auction) และจัดการประมูลวันที่4ส.ค.2561
กำหนดการทั้งหมดเพื่อให้สามารถจัดการประมูลคลื่นความถี่ได้ทันก่อนที่สัญญาสัมปทานระหว่างดีแทค กับบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) จะสิ้นสุดลงในวันที่ 15 ก.ย. 2561
สำหรับ คลื่นความถี่ย่าน 1800MHz ที่จะนำมาประมูลครั้งนี้มีจำนวน 45 MHz โดยกำหนดขนาดคลื่นความถี่ที่จะประมูลออกเป็น 3 ชุด ชุดละ 15MHzต่อ 1 ใบอนุญาต โดยผู้เข้าร่วมประมูลสามารถประมูลได้สูงสุด 1 ชุดคลื่นความถี่ กำหนดราคาเริ่มต้นของการประมูลไว้ที่37,457 ล้านบาท และกำหนดหลักประกันการประมูล เท่ากับ1,880 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาสุดท้ายจากการประมูลคลื่นความถี่ย่าน 1800MHz ในครั้งก่อนโดยใช้สูตรN-1 คือมีผู้ประมูลเกินใบอนุญาตอย่างน้อย 1 ราย
ใบอนุญาตมีระยะเวลาการอนุญาต15ปี ราคาที่เพิ่มต่อการเคาะในแต่ละครั้ง75 ล้านบาท หากมีการทิ้งการประมูล สำนักงาน กสทช. จะยึดหลักประกันการประมูล1,880 ล้านบาท และการคิดค่าปรับอีก5,620 ล้านบาท เป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 7,500 ล้านบาท
การประมูลครั้งนี้ได้ตัดสิทธิ์บริษัท แจส โมบายล์ ไม่ให้เข้าร่วมการประมูล เพราะเคยทิ้งประมูลเมื่อครั้งเปิดประมูลคลื่น 900 MHz
มาพร้อมหน้า เอไอเอส ดีแทค ทรู รับ 5 ซองประมูลคลื่น 1800
เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (15 พ.ค.) พนักงานของบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ 3 รายใหญ่ของไทย ได้เข้ารับเอกสารการประมูลคลื่นความถี่ย่าน 1800MHz จากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (เลขาธิการ กสทช.)
กลุ่มเอไอเอสรับเอกสารไป 2 ชุด ในนามบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอสและบริษัท แอดวานซ์ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด (เอดับบลิวเอ็น)กลุ่มดีแทค รับเอกสาร 2 ชุดเช่นกัน ในนามบริษัท ดีแทค ไตรเน็ต จำกัด(ดีทีเอ็น)และบริษัท ดีแทค บรอดแบนด์ จำกัด(ดีบีบี)ส่วนกลุ่มทรูรับเอกสาร 1 ชุด ในนามบริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด(ทียูซี)
นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. เปิดเผยว่า กสทช.ได้กำหนดเวลาการประมูลดังนี้ เปิดให้ผู้สนใจเข้ารับเอกสารการประมูลคลื่นฯ ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 14 มิ.ย. นี้ จากนั้นให้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตในวันที่ 15 มิ.ย. 2561
ขั้นตอนการพิจารณาคุณสมบัติขั้นแรก อยู่ในช่วง 16-28 มิ.ย. 2561 หลังจากนั้นจะประกาศรายชื่อผู้ผ่านคุณสมบัติเป็นผู้เข้าร่วมประมูลภายในวันที่ 29 มิ.ย. 2561 ส่วนในระหว่างวันที่ 1-3 ส.ค. 2561 จะชี้แจงการประมูล (Information Session)และการทดสอบการประมูล (Mock Auction) และจัดการประมูลวันที่4ส.ค.2561
กำหนดการทั้งหมดเพื่อให้สามารถจัดการประมูลคลื่นความถี่ได้ทันก่อนที่สัญญาสัมปทานระหว่างดีแทค กับบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) จะสิ้นสุดลงในวันที่ 15 ก.ย. 2561
สำหรับ คลื่นความถี่ย่าน 1800MHz ที่จะนำมาประมูลครั้งนี้มีจำนวน 45 MHz โดยกำหนดขนาดคลื่นความถี่ที่จะประมูลออกเป็น 3 ชุด ชุดละ 15MHzต่อ 1 ใบอนุญาต โดยผู้เข้าร่วมประมูลสามารถประมูลได้สูงสุด 1 ชุดคลื่นความถี่ กำหนดราคาเริ่มต้นของการประมูลไว้ที่37,457 ล้านบาท และกำหนดหลักประกันการประมูล เท่ากับ1,880 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาสุดท้ายจากการประมูลคลื่นความถี่ย่าน 1800MHz ในครั้งก่อนโดยใช้สูตรN-1 คือมีผู้ประมูลเกินใบอนุญาตอย่างน้อย 1 ราย
ใบอนุญาตมีระยะเวลาการอนุญาต15ปี ราคาที่เพิ่มต่อการเคาะในแต่ละครั้ง75 ล้านบาท หากมีการทิ้งการประมูล สำนักงาน กสทช. จะยึดหลักประกันการประมูล1,880 ล้านบาท และการคิดค่าปรับอีก5,620 ล้านบาท เป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 7,500 ล้านบาท