ทำให้ผมรู้สึกทึ่งในแนวคิดของท่านทั้งสองเป็นอย่างมาก มันช่างเป็นแนวคิดของคุณรุ่นใหม่ที่เข้าใจปัญหาของประเทศได้อย่างถ่องแท้
ใช่เลยครับ ปัญหาของประเทศไทยไม่ใช่อยู่ที่คนส่วนใหญ่ยังโง่อยู่ ไม่ใช่อยู่ที่คนส่วนมากยังไม่เข้าใจประชาธิปไตย และก็ไม่ใช่เรายังไม่พร้อมมีประชาธิปไตย
แต่เรามีคนส่วนหนึ่งที่หลงคิดว่ามีแต่ตัวเองจึงเหมาะสมที่จะครอบครองประเทศต่างหากครับ แล้วยังมีคนอีกส่วนหนึ่งที่ถูกครอบงำให้หลงอยู่กับความภาคภูมิใจในอดีต จนหลงลืมที่จะกระทำในสิ่งที่ควรทำในปัจจุบัน เพื่อให้เป็นที่จดจำในอนาคตต่างหากเล่า
คนกลุ่มนี้ถูกปลูกฝังให้รับความเชื่อมากกว่าความคิด จนท้ายสุดจากความเชื่อเลยกลายมาเป็นเชื่อว่านี่แหละเป็นความคิดของตน
เขาบอกให้เชื่อว่า มีแต่นักการเมืองที่เลวร้าย คอยกัดกร่อนประเทศ ก็เลยคิดว่าจะต้องกำจัดมันออกไป จนลืมคิดถึงสิทธิ์ของตัวเองต้องสูญเสียไปพร้อมกับมัน
เขาบอกให้เชื่อว่า มีแต่นักการเมืองที่หวังแต่ผลประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง จนลืมคิดไปถึงเรื่องที่ใครๆเขาก็ทำกัน ไม่ใช่มีแต่นักการเมือง
เขาบอกให้เชื่อว่า มีแต่การยึดอำนาจของนักการเมือง จึงจะสามารถกำจัดการทุจริตกับคอรัปชั่น จนลืมคิดไปถึงเรื่องการตรวจสอบและการถ่วงดุล
เขาบอกให้เชื่อว่า ต้องเคารพกฎหมายและคำตัดสินอย่างเคร่งครัด จนลืมคิดไปถึงเรื่องการเลือกปฏิบัติและความเป็นธรรมที่เท่าเทียมกัน อย่างนี้เป็นต้น
ดังนั้นนโยบายที่ต้องการปฏิรูปกองทัพ ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ปฏิรูปรัฐราชการหรือแม้กระทั่งการปฏิรูปการศึกษา เพื่อให้คนกลุ่มนั้นรู้จักคิดเป็น รู้จักหวงแหนในอำนาจของตัวเอง จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสามารถกระทำได้ในสี่ปีห้าปีหรอกนะครับ
ก็แค่คิด ก็แค่ประกาศ ทั้งคุณธนาธรทั้งอาจารย์ก็ต้องเผชิญกับเหล่าคนที่ไม่กล้าคิด และยังไม่กล้าออกมาสู่โลกกว้าง แม้จะมีคนแง้มกะลาให้เห็นแสงสว่างอยู่รำไร นี่คือโจทย์ข้อใหญ่ของท่านทั้งสอง
คนเหล่านี้พอได้ยินได้ฟังเรื่องที่ต่างจากความเชื่อของตัวเอง ก็รีบตั้งกำแพงต่อต้าน พร้อมจะเชื่อข้อมูลที่ตรงกับความเชื่อของตัวเอง โดยไม่ต้องสนใจว่าจริงหรือเท็จ ทั้งๆที่สิบกว่าปีที่ผ่านมา น่าจะมีหลายเหตุการณ์แค่เห็นก็รู้ แค่ดูก็น่าจะคิดได้ แต่พวกเขาก็ไม่นำพา ดังนั้นผมคิดว่าท่านทั้งสองเหนื่อยแน่ครับ
แต่ถึงอย่างไรผมก็รู้สึกชื่นชมท่านทั้งสองอยู่ดี ที่กล้าคิด กล้าที่จะนำเสนอแนวคิดที่ขัดกับความเชื่อที่ถูกปลูกฝังมาแต่เยาว์วัย และมนุษย์จำเป็นจะต้องมีคนแบบนี้แหละครับ จึงจะสามารถพัฒนาสู่ความเจริญความรุ่งเรืองและความเป็นศิวิไลอย่างยั่งยืน
เพราะถ้าเราไม่มีคนกล้าคิด ป่านนี้มนุษย์ยังอาจเชื่อว่าโลกแบนอยู่
เพราะถ้าเราไม่มีคนกล้าทำ ป่านนี้มนุษย์อาจไม่รู้จักเครื่องบินก็เป็นได้
และยิ่งประทับใจกับคำตอบของคุณธนาธรจากคำถาม ไม่กลัวหรือครับที่ต้องต่อสู้กับกลุ่มคนหน้าหนาที่มีกลุ่มคนซื่อบื่อคอยสนับสนุน นั่นคือ “กลัวครับ แต่กลัวอนาคตของลูกหลานมากกว่า”
ตรงนี้ครับจึงน่าจะเป็นความหวังใหม่ของคนรุ่นใหม่ต่อ “พรรคอนาคตใหม่” ที่ต้องการทำการเมืองแบบใหม่ให้เป็นพรรคการเมืองของประชาชน
หลังจากได้ฟังแนวคิดของคุณธนาธรกับอาจารย์ปิยบุตร-------------ทวดเอง
ใช่เลยครับ ปัญหาของประเทศไทยไม่ใช่อยู่ที่คนส่วนใหญ่ยังโง่อยู่ ไม่ใช่อยู่ที่คนส่วนมากยังไม่เข้าใจประชาธิปไตย และก็ไม่ใช่เรายังไม่พร้อมมีประชาธิปไตย
แต่เรามีคนส่วนหนึ่งที่หลงคิดว่ามีแต่ตัวเองจึงเหมาะสมที่จะครอบครองประเทศต่างหากครับ แล้วยังมีคนอีกส่วนหนึ่งที่ถูกครอบงำให้หลงอยู่กับความภาคภูมิใจในอดีต จนหลงลืมที่จะกระทำในสิ่งที่ควรทำในปัจจุบัน เพื่อให้เป็นที่จดจำในอนาคตต่างหากเล่า
คนกลุ่มนี้ถูกปลูกฝังให้รับความเชื่อมากกว่าความคิด จนท้ายสุดจากความเชื่อเลยกลายมาเป็นเชื่อว่านี่แหละเป็นความคิดของตน
เขาบอกให้เชื่อว่า มีแต่นักการเมืองที่เลวร้าย คอยกัดกร่อนประเทศ ก็เลยคิดว่าจะต้องกำจัดมันออกไป จนลืมคิดถึงสิทธิ์ของตัวเองต้องสูญเสียไปพร้อมกับมัน
เขาบอกให้เชื่อว่า มีแต่นักการเมืองที่หวังแต่ผลประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง จนลืมคิดไปถึงเรื่องที่ใครๆเขาก็ทำกัน ไม่ใช่มีแต่นักการเมือง
เขาบอกให้เชื่อว่า มีแต่การยึดอำนาจของนักการเมือง จึงจะสามารถกำจัดการทุจริตกับคอรัปชั่น จนลืมคิดไปถึงเรื่องการตรวจสอบและการถ่วงดุล
เขาบอกให้เชื่อว่า ต้องเคารพกฎหมายและคำตัดสินอย่างเคร่งครัด จนลืมคิดไปถึงเรื่องการเลือกปฏิบัติและความเป็นธรรมที่เท่าเทียมกัน อย่างนี้เป็นต้น
ดังนั้นนโยบายที่ต้องการปฏิรูปกองทัพ ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ปฏิรูปรัฐราชการหรือแม้กระทั่งการปฏิรูปการศึกษา เพื่อให้คนกลุ่มนั้นรู้จักคิดเป็น รู้จักหวงแหนในอำนาจของตัวเอง จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสามารถกระทำได้ในสี่ปีห้าปีหรอกนะครับ
ก็แค่คิด ก็แค่ประกาศ ทั้งคุณธนาธรทั้งอาจารย์ก็ต้องเผชิญกับเหล่าคนที่ไม่กล้าคิด และยังไม่กล้าออกมาสู่โลกกว้าง แม้จะมีคนแง้มกะลาให้เห็นแสงสว่างอยู่รำไร นี่คือโจทย์ข้อใหญ่ของท่านทั้งสอง
คนเหล่านี้พอได้ยินได้ฟังเรื่องที่ต่างจากความเชื่อของตัวเอง ก็รีบตั้งกำแพงต่อต้าน พร้อมจะเชื่อข้อมูลที่ตรงกับความเชื่อของตัวเอง โดยไม่ต้องสนใจว่าจริงหรือเท็จ ทั้งๆที่สิบกว่าปีที่ผ่านมา น่าจะมีหลายเหตุการณ์แค่เห็นก็รู้ แค่ดูก็น่าจะคิดได้ แต่พวกเขาก็ไม่นำพา ดังนั้นผมคิดว่าท่านทั้งสองเหนื่อยแน่ครับ
แต่ถึงอย่างไรผมก็รู้สึกชื่นชมท่านทั้งสองอยู่ดี ที่กล้าคิด กล้าที่จะนำเสนอแนวคิดที่ขัดกับความเชื่อที่ถูกปลูกฝังมาแต่เยาว์วัย และมนุษย์จำเป็นจะต้องมีคนแบบนี้แหละครับ จึงจะสามารถพัฒนาสู่ความเจริญความรุ่งเรืองและความเป็นศิวิไลอย่างยั่งยืน
เพราะถ้าเราไม่มีคนกล้าคิด ป่านนี้มนุษย์ยังอาจเชื่อว่าโลกแบนอยู่
เพราะถ้าเราไม่มีคนกล้าทำ ป่านนี้มนุษย์อาจไม่รู้จักเครื่องบินก็เป็นได้
และยิ่งประทับใจกับคำตอบของคุณธนาธรจากคำถาม ไม่กลัวหรือครับที่ต้องต่อสู้กับกลุ่มคนหน้าหนาที่มีกลุ่มคนซื่อบื่อคอยสนับสนุน นั่นคือ “กลัวครับ แต่กลัวอนาคตของลูกหลานมากกว่า”
ตรงนี้ครับจึงน่าจะเป็นความหวังใหม่ของคนรุ่นใหม่ต่อ “พรรคอนาคตใหม่” ที่ต้องการทำการเมืองแบบใหม่ให้เป็นพรรคการเมืองของประชาชน