เช้าวันอังคาร ที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จไปยังศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ วาสนะเวศม์ อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในการบำเพ็ญพระกุศลอุทิศถวาย สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (วาสนมหาเถร) สมเด็จพระสังฆราช และพิธีไถ่ชีวิตโค-กระบือ นำเข้าโครงการธนาคารโค-กระบือเพื่อเกษตรกร ตามพระราชดำริ เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนาศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ วาสนะเวศม์
โอกาสนี้ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระสังฆราช ประทานพระสัมโมทนียกถา ความตอนหนึ่งว่า
“เจ้าพระคุณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสนมหาเถร) สมเด็จพระอุปัชฌายะของอาตมภาพ ได้ทรงพระกรุณาประทานกำเนิดกิจการวาสนะเวศม์ และทรงอุปถัมภ์กิจการสาธารณกุศลไว้อีกมากมายหลายแห่ง ทรงเอาพระทัยใส่ในงานด้านสังคมสงเคราะห์เป็นพิเศษ
เราทั้งหลาย ผู้ล้วนเป็นศิษยานุศิษย์ และผู้เคารพเลื่อมใสในพระองค์ ยังคงร่วมกันสืบสานพระปณิธาน สนับสนุนกิจการที่พระองค์ได้ประทานกำเนิดไว้ให้เจริญก้าวหน้าสืบมาเช่นนี้ นับว่าเป็นกตัญญูกตเวที รู้จักสนองพระเดชพระคุณบูรพาจารย์ ด้วย ‘ปฏิบัติบูชา’ กล่าวคือ ได้ร่วมกันบำเพ็ญคุณงามความดีตามแบบอย่างที่ทรงวางแนวทางไว้ เพื่อเทิดทูนอุทิศถวายแด่พระองค์อย่างสม่ำเสมอ เป็นที่น่าอนุโมทนาอย่างยิ่ง
บุคคลผู้มีความกตัญญูกตเวที ย่อมมีคุณธรรมพื้นฐานของความเป็นคนดี ถ้ามุ่งหมายจะประกอบคุณงามความดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ก็ย่อมจักกระทำได้โดยง่าย สมดังพระพุทธภาษิตที่ว่า ‘ภูมิ เว สปฺปุริสฺสานํ กตญฺญูกตเวทิตา’ ความกตัญญูกตเวที เป็นพื้นภูมิของคนดี
และเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นคนดี มีฉันทะในการบำเพ็ญคุณงามความดีอยู่เสมอ ผลดีคือความสุขความเจริญ ย่อมจักบังเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้สั่งสมเหตุอันดีงามไว้แล้ว เสมือนบุคคลผู้หว่านพืชเช่นไร ก็ย่อมได้รับผลเช่นนั้นนั่นเอง”
เช้าวันเสาร์ ที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๑ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จไปอาคารวรลักษณาวดี วัดพระยายัง เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร ในการประทานวุฒิบัตรแก่พระภิกษุผู้เข้าอบรมพระนักเทศน์ คณะธรรมยุต รุ่นที่ ๑๗ ประจำพุทธศักราช ๒๕๖๑
โอกาสนี้ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระสังฆราช ประทานพระโอวาท ความตอนหนึ่งว่า
“การอบรมพระนักเทศน์ ให้มีความสามารถยิ่งๆ ขึ้นไป เท่ากับเป็นการรักษาพระศาสนาให้อยู่คู่โลกสืบไป เป็นการสนับสนุนให้บรรพชิตในพระพุทธศาสนา ได้ทำหน้าที่ตามที่พระพุทธองค์ทรงกำหนด กล่าวคือการหมุนกงล้อพระธรรมให้แพร่หลายกว้างขวางไป ยังประโยชน์เกื้อกูลแก่มหาชนตลอดกาลนาน
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสั่งสอนเรื่อง ‘ปาฏิหาริย์’ ว่ามีสามอย่างด้วยกัน ได้แก่ ‘อิทธิปาฏิหาริย์’ คือความสามารถในการแสดงฤทธิ์พิเศษที่มนุษย์ปกติทำกันไม่ได้ เช่น เหาะเหินเดินอากาศ ประการหนึ่ง
‘อาเทสนาปาฏิหาริย์’ คือความสามารถในการทายใจคน สามารถดักความคิดของคนได้ ประการหนึ่ง
และ ‘อนุสาสนีปาฏิหาริย์’ คือความสามารถในการสอนเป็นอัศจรรย์ หมายถึง คำสั่งสอนอันอาจจูงใจให้คนเชื่อถือได้อย่างน่าอัศจรรย์ อีกประการหนึ่ง
ท่านทั้งหลายคงทราบดีแล้วว่า พระพุทธองค์ทรงยกย่องอนุสาสนีปาฏิหาริย์ว่าเป็นเลิศประเสริฐสุด ดังนั้นถ้าจะถามว่า สุดยอดปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้าคืออะไร ก็ต้องตอบว่าอนุสาสนีปาฏิหาริย์ เหตุเพราะว่าอิทธิปาฏิหาริย์ และอาเทสนาปาฏิหาริย์ ไม่สามารถขัดเกลาและทำให้ละกิเลสได้เลย
แต่อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือคำสอนของพระพุทธเจ้าที่สอนบรรดาสาวกให้รู้ว่าสิ่งใดมีโทษ สิ่งใดไม่มีโทษ สิ่งใดควรเจริญ สิ่งใดไม่ควรเจริญ สิ่งนี้เป็นกุศล สิ่งนี้เป็นอกุศล และหนทางที่เรียกว่า ‘อริยมรรค’ นี้คือทางดับกิเลส เป็นคุณลักษณะพิเศษที่มีเฉพาะในพระพุทธศาสนา
ผมจึงขอฝากเรื่องปาฏิหาริย์ เป็นข้อเตือนใจพระนักเทศน์ให้มุ่งเน้นสั่งสอนอบรมชาวโลก ด้วยปาฏิหาริย์แห่งพระสัทธรรม อย่าให้มัวหลงอยู่ในปาฏิหาริย์อื่นๆ ที่มิใช่หนทางดับทุกข์ตามหลักการแห่งพระพุทธศาสนา เพื่อท่านทั้งหลายจะได้ชื่อว่าเป็นสาวกของพระบรมศาสดาอย่างแท้จริง”
บ่ายวันเสาร์ ที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๑ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จไปหอประชุม มวก. ๔๘ พรรษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในการประทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นวันแรก
โอกาสนี้ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระสังฆราช ประทานพระโอวาท ความตอนหนึ่งว่า
“ท่านทั้งหลายได้ชื่อว่าเป็น ‘บัณฑิต’ ผู้สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตร สมควรจักได้ศึกษาทบทวนความหมายของคำว่าบัณฑิต ตามหลักพระพุทธศาสนา จนเข้าใจถ่องแท้ เพื่อจักได้พัฒนาตน ให้เป็นบัณฑิตทั้งทางโลกและทางธรรม อย่างสมบูรณ์พร้อมควบคู่กันไปเสมอ
บัณฑิตในความหมายตามหลักพระพุทธศาสนานั้น หมายถึง ผู้มีปัญญา ผู้มีคุณธรรม บุคคลผู้เป็นบัณฑิตที่แท้ ถึงแม้จะประสบทุกข์ ไม่ว่าที่เป็นโทมนัสเวทนา คือ ทุกข์ทางใจ หรือความทุกข์กาย ก็ย่อมไม่ละทิ้ง ‘ธรรม’
เมื่อประสบกับทุกข์ แทนที่บัณฑิตจะเดือดร้อน ก็กลับยังสามารถเข้าใจความจริงอันเป็นธรรมดาอย่างนั้นด้วย ‘ปัญญา’ ในขณะนั้น ดวงจิตย่อมเป็นกุศลด้วยความเห็นถูก จึงได้ชื่อว่าไม่ทิ้งธรรม
จึงขอให้ผู้สำเร็จการศึกษาทุกท่าน พากเพียรอบรมสั่งสมคุณความดีให้เพิ่มพูนทวียิ่งขึ้น จนสามารถเป็นบัณฑิต ผู้รู้แจ้งความจริงตามธรรมดาแห่งสภาวะทั้งปวงได้ด้วยปัญญา อันเป็นคุณสมบัติที่แท้จริงสมตามสมญา และย่อมจักนำมาซึ่งความผาสุกสวัสดีได้ในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ”
ข้อมูล: Facebook สำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช
คำสอนสมเด็จพระสังฆราช
โอกาสนี้ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระสังฆราช ประทานพระสัมโมทนียกถา ความตอนหนึ่งว่า
“เจ้าพระคุณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสนมหาเถร) สมเด็จพระอุปัชฌายะของอาตมภาพ ได้ทรงพระกรุณาประทานกำเนิดกิจการวาสนะเวศม์ และทรงอุปถัมภ์กิจการสาธารณกุศลไว้อีกมากมายหลายแห่ง ทรงเอาพระทัยใส่ในงานด้านสังคมสงเคราะห์เป็นพิเศษ
เราทั้งหลาย ผู้ล้วนเป็นศิษยานุศิษย์ และผู้เคารพเลื่อมใสในพระองค์ ยังคงร่วมกันสืบสานพระปณิธาน สนับสนุนกิจการที่พระองค์ได้ประทานกำเนิดไว้ให้เจริญก้าวหน้าสืบมาเช่นนี้ นับว่าเป็นกตัญญูกตเวที รู้จักสนองพระเดชพระคุณบูรพาจารย์ ด้วย ‘ปฏิบัติบูชา’ กล่าวคือ ได้ร่วมกันบำเพ็ญคุณงามความดีตามแบบอย่างที่ทรงวางแนวทางไว้ เพื่อเทิดทูนอุทิศถวายแด่พระองค์อย่างสม่ำเสมอ เป็นที่น่าอนุโมทนาอย่างยิ่ง
บุคคลผู้มีความกตัญญูกตเวที ย่อมมีคุณธรรมพื้นฐานของความเป็นคนดี ถ้ามุ่งหมายจะประกอบคุณงามความดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ก็ย่อมจักกระทำได้โดยง่าย สมดังพระพุทธภาษิตที่ว่า ‘ภูมิ เว สปฺปุริสฺสานํ กตญฺญูกตเวทิตา’ ความกตัญญูกตเวที เป็นพื้นภูมิของคนดี
และเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นคนดี มีฉันทะในการบำเพ็ญคุณงามความดีอยู่เสมอ ผลดีคือความสุขความเจริญ ย่อมจักบังเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้สั่งสมเหตุอันดีงามไว้แล้ว เสมือนบุคคลผู้หว่านพืชเช่นไร ก็ย่อมได้รับผลเช่นนั้นนั่นเอง”
เช้าวันเสาร์ ที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๑ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จไปอาคารวรลักษณาวดี วัดพระยายัง เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร ในการประทานวุฒิบัตรแก่พระภิกษุผู้เข้าอบรมพระนักเทศน์ คณะธรรมยุต รุ่นที่ ๑๗ ประจำพุทธศักราช ๒๕๖๑
โอกาสนี้ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระสังฆราช ประทานพระโอวาท ความตอนหนึ่งว่า
“การอบรมพระนักเทศน์ ให้มีความสามารถยิ่งๆ ขึ้นไป เท่ากับเป็นการรักษาพระศาสนาให้อยู่คู่โลกสืบไป เป็นการสนับสนุนให้บรรพชิตในพระพุทธศาสนา ได้ทำหน้าที่ตามที่พระพุทธองค์ทรงกำหนด กล่าวคือการหมุนกงล้อพระธรรมให้แพร่หลายกว้างขวางไป ยังประโยชน์เกื้อกูลแก่มหาชนตลอดกาลนาน
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสั่งสอนเรื่อง ‘ปาฏิหาริย์’ ว่ามีสามอย่างด้วยกัน ได้แก่ ‘อิทธิปาฏิหาริย์’ คือความสามารถในการแสดงฤทธิ์พิเศษที่มนุษย์ปกติทำกันไม่ได้ เช่น เหาะเหินเดินอากาศ ประการหนึ่ง
‘อาเทสนาปาฏิหาริย์’ คือความสามารถในการทายใจคน สามารถดักความคิดของคนได้ ประการหนึ่ง
และ ‘อนุสาสนีปาฏิหาริย์’ คือความสามารถในการสอนเป็นอัศจรรย์ หมายถึง คำสั่งสอนอันอาจจูงใจให้คนเชื่อถือได้อย่างน่าอัศจรรย์ อีกประการหนึ่ง
ท่านทั้งหลายคงทราบดีแล้วว่า พระพุทธองค์ทรงยกย่องอนุสาสนีปาฏิหาริย์ว่าเป็นเลิศประเสริฐสุด ดังนั้นถ้าจะถามว่า สุดยอดปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้าคืออะไร ก็ต้องตอบว่าอนุสาสนีปาฏิหาริย์ เหตุเพราะว่าอิทธิปาฏิหาริย์ และอาเทสนาปาฏิหาริย์ ไม่สามารถขัดเกลาและทำให้ละกิเลสได้เลย
แต่อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือคำสอนของพระพุทธเจ้าที่สอนบรรดาสาวกให้รู้ว่าสิ่งใดมีโทษ สิ่งใดไม่มีโทษ สิ่งใดควรเจริญ สิ่งใดไม่ควรเจริญ สิ่งนี้เป็นกุศล สิ่งนี้เป็นอกุศล และหนทางที่เรียกว่า ‘อริยมรรค’ นี้คือทางดับกิเลส เป็นคุณลักษณะพิเศษที่มีเฉพาะในพระพุทธศาสนา
ผมจึงขอฝากเรื่องปาฏิหาริย์ เป็นข้อเตือนใจพระนักเทศน์ให้มุ่งเน้นสั่งสอนอบรมชาวโลก ด้วยปาฏิหาริย์แห่งพระสัทธรรม อย่าให้มัวหลงอยู่ในปาฏิหาริย์อื่นๆ ที่มิใช่หนทางดับทุกข์ตามหลักการแห่งพระพุทธศาสนา เพื่อท่านทั้งหลายจะได้ชื่อว่าเป็นสาวกของพระบรมศาสดาอย่างแท้จริง”
บ่ายวันเสาร์ ที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๑ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จไปหอประชุม มวก. ๔๘ พรรษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในการประทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นวันแรก
โอกาสนี้ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระสังฆราช ประทานพระโอวาท ความตอนหนึ่งว่า
“ท่านทั้งหลายได้ชื่อว่าเป็น ‘บัณฑิต’ ผู้สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตร สมควรจักได้ศึกษาทบทวนความหมายของคำว่าบัณฑิต ตามหลักพระพุทธศาสนา จนเข้าใจถ่องแท้ เพื่อจักได้พัฒนาตน ให้เป็นบัณฑิตทั้งทางโลกและทางธรรม อย่างสมบูรณ์พร้อมควบคู่กันไปเสมอ
บัณฑิตในความหมายตามหลักพระพุทธศาสนานั้น หมายถึง ผู้มีปัญญา ผู้มีคุณธรรม บุคคลผู้เป็นบัณฑิตที่แท้ ถึงแม้จะประสบทุกข์ ไม่ว่าที่เป็นโทมนัสเวทนา คือ ทุกข์ทางใจ หรือความทุกข์กาย ก็ย่อมไม่ละทิ้ง ‘ธรรม’
เมื่อประสบกับทุกข์ แทนที่บัณฑิตจะเดือดร้อน ก็กลับยังสามารถเข้าใจความจริงอันเป็นธรรมดาอย่างนั้นด้วย ‘ปัญญา’ ในขณะนั้น ดวงจิตย่อมเป็นกุศลด้วยความเห็นถูก จึงได้ชื่อว่าไม่ทิ้งธรรม
จึงขอให้ผู้สำเร็จการศึกษาทุกท่าน พากเพียรอบรมสั่งสมคุณความดีให้เพิ่มพูนทวียิ่งขึ้น จนสามารถเป็นบัณฑิต ผู้รู้แจ้งความจริงตามธรรมดาแห่งสภาวะทั้งปวงได้ด้วยปัญญา อันเป็นคุณสมบัติที่แท้จริงสมตามสมญา และย่อมจักนำมาซึ่งความผาสุกสวัสดีได้ในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ”
ข้อมูล: Facebook สำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช