สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
ถ้ามัวแต่จะคิดว่า หากทำงานรับราชการ แล้ว พอ อายุ 80 ปี จะได้เงินบำนาญ (หลวงเลี้ยง ) เป็นเงิน 6,720,000 บาท
แล้วไม่คิดบ้างหรือว่า ถ้าบังเอิญ หลังเกษียณแล้ว ใช้ชีวิตอยู่ไม่ถึง 80 ปีล่ะ จะมีการขาดทุนชีวิตในการรับเงินบำนาญไป กี่ล้านบาท ............
ส่วนคนที่ทำงานเอกชน แม้จะได้รับเงินเดือนสูงกว่าราชการหลายเท่า ทุก ๆ วันของการรับเงินเดือน เขาแฮปปี้ในชีวิตมาตลอด สามารถนำเงินส่วนต่างที่ได้ระหว่างเงินเดือนเอกชนกับเงินเดือนของราชการ ไปลงทุนต่อยอดทางอื่นเพื่อสร้างผลตอบแทนให้เพิ่มขึ้นได้ เช่น นำเงินส่วนต่างไปสร้างทรัพย์สิน ให้ทรัพย์สินสร้างทรัพย์สินเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนแบบทบต้นทุกปี หรือ จะนำเงินส่วนต่างนี้ ไปออมสะสม ในหุ้น เพื่อสร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ไว้ใข้ในยามเกษียณ และยังสามารถ สร้างพอร์ตหุ้นนี้ไว้เป็นมรดกส่งต่อให้กับลูกหลานได้ หลังเกษียณอายุจากการทำงานแล้ว เขายังได้เงินสะสมจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นเงินหลายล้านบาทโดยไม่ต้องเสียภาษี ยังได้เงินบำนาญจากกองทุนประกันสังคมทุกเดือนเมื่อส่งเงินประกันสังคมเกิน 180 เดือน แล้วยังได้รับเงินชราภาพจากรัฐบาลด้วย ในส่วนของเงินเหล่านี้ คนที่ทำงานรับราชการจะไม่มีนะครับ
ส่วนเรื่องค่ารักษาพยาบาลในยามแก่ชรา คนทำงานเอกชนสามารถนำเงินส่วนต่างที่ได้ไป ลงทุนซื้อประกันชีวิต หรือ ประกันสุขภาพได้ จะได้รับการดูแล และการเอาใจใส่ในการรักษาได้ดีกว่า คนที่ทำงานรับราชการนะ................แม้จะต้องจ่ายเงินบางส่วนไปก็ตามแต่ก็มีสิทธิ์ได้รับการลดหย่อนภาษี ในการเสียภาษีประจำปี ครับ ..........
สรุปสุดท้าย ถ้าใช้ชีวิตเป็นไปอย่างมีคุณภาพ ไม่ว่าจะทำงานรับราชการหรือ ทำงานทางด้านเอกชน ต่างฝ่าย ต่างก็มีดีไปคนละแบบนะ แล้วแต่ว่าใครจะชอบการใช้ชีวิตทำงานแบบไหน แต่ส่วนมาก คนที่ทำงานทางด้านเอกชน จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่านะ เพราะมีความตื่นตัวในการดำรงชีพและการแข่งขัน มีความขยันและอดทน และมีความเก่ง มีความสามารถ และมีประสบการณ์ในชีวิตที่ดีกว่านะ..........ถ้ารู้จักวางแผนชีวิตที่ดี นะ..........
แล้วไม่คิดบ้างหรือว่า ถ้าบังเอิญ หลังเกษียณแล้ว ใช้ชีวิตอยู่ไม่ถึง 80 ปีล่ะ จะมีการขาดทุนชีวิตในการรับเงินบำนาญไป กี่ล้านบาท ............
ส่วนคนที่ทำงานเอกชน แม้จะได้รับเงินเดือนสูงกว่าราชการหลายเท่า ทุก ๆ วันของการรับเงินเดือน เขาแฮปปี้ในชีวิตมาตลอด สามารถนำเงินส่วนต่างที่ได้ระหว่างเงินเดือนเอกชนกับเงินเดือนของราชการ ไปลงทุนต่อยอดทางอื่นเพื่อสร้างผลตอบแทนให้เพิ่มขึ้นได้ เช่น นำเงินส่วนต่างไปสร้างทรัพย์สิน ให้ทรัพย์สินสร้างทรัพย์สินเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนแบบทบต้นทุกปี หรือ จะนำเงินส่วนต่างนี้ ไปออมสะสม ในหุ้น เพื่อสร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ไว้ใข้ในยามเกษียณ และยังสามารถ สร้างพอร์ตหุ้นนี้ไว้เป็นมรดกส่งต่อให้กับลูกหลานได้ หลังเกษียณอายุจากการทำงานแล้ว เขายังได้เงินสะสมจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นเงินหลายล้านบาทโดยไม่ต้องเสียภาษี ยังได้เงินบำนาญจากกองทุนประกันสังคมทุกเดือนเมื่อส่งเงินประกันสังคมเกิน 180 เดือน แล้วยังได้รับเงินชราภาพจากรัฐบาลด้วย ในส่วนของเงินเหล่านี้ คนที่ทำงานรับราชการจะไม่มีนะครับ
ส่วนเรื่องค่ารักษาพยาบาลในยามแก่ชรา คนทำงานเอกชนสามารถนำเงินส่วนต่างที่ได้ไป ลงทุนซื้อประกันชีวิต หรือ ประกันสุขภาพได้ จะได้รับการดูแล และการเอาใจใส่ในการรักษาได้ดีกว่า คนที่ทำงานรับราชการนะ................แม้จะต้องจ่ายเงินบางส่วนไปก็ตามแต่ก็มีสิทธิ์ได้รับการลดหย่อนภาษี ในการเสียภาษีประจำปี ครับ ..........
สรุปสุดท้าย ถ้าใช้ชีวิตเป็นไปอย่างมีคุณภาพ ไม่ว่าจะทำงานรับราชการหรือ ทำงานทางด้านเอกชน ต่างฝ่าย ต่างก็มีดีไปคนละแบบนะ แล้วแต่ว่าใครจะชอบการใช้ชีวิตทำงานแบบไหน แต่ส่วนมาก คนที่ทำงานทางด้านเอกชน จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่านะ เพราะมีความตื่นตัวในการดำรงชีพและการแข่งขัน มีความขยันและอดทน และมีความเก่ง มีความสามารถ และมีประสบการณ์ในชีวิตที่ดีกว่านะ..........ถ้ารู้จักวางแผนชีวิตที่ดี นะ..........
ความคิดเห็นที่ 20
เมื่อปี 2527
วุฒิปริญญาตรี เงินเดือนเริ่มที่ 2,765 + ค่าครองชีพ 200
ใช้ชีวิตติดดินธรรมดา ในขณะที่เพื่อนๆ ทำเอกชนแต่งตัวตามแฟชั่น กินเที่ยวอร่อยค่ะ
ที่ทำงานมีดิฉันมีแฟลตเก่าๆ ให้อยู่ฟรีจ่ายค่าน้ำค่าไฟเอง นึกถึงสภาพแฟลตดินแดง หรือแฟลตการเคหะเก่าๆ เข้าไว้นะคะประมาณอย่างนั้นเลย
แต่ก็ทำให้ประหยัดเรื่องค่าที่พัก ค่าเดินทาง ค่าสุขภาพจิตเสียจากรถติดระหว่างวัน ได้ดีมาก
ทำงานแบบคนโสดตลอดมา ระหว่างทำงานช่วง 5 ปีสุดท้ายต้องหอบงานกลับไปทำที่บ้านเกือบทุกคืน
ชีวิตมาพบสามีเมื่ออายุ 45 ปี รับราชการต่ออีกพักหนึ่ง สามีบอกว่าเธอลาออกเถอะชั้นเลี้ยงเธอได้
รับราชการนาน 25 ปี ได้บำนาญประมาณ 17,000 แหมมันเยอะมากเลยนะ คงเป็นตัวอย่างของข้าราชการที่ไม่ค่อยได้ขั้นพิเศษ
เล่าต่ออีกเรื่องนึง
แม่ดิฉันเป็นข้าราชการครูบำนาญเช่นกันลาออกก่อนเกษียณด้วยเหตุสุขภาพเมื่อประมาณปี 2530 มีบำนาญเดือนละ 6,000 บาทเท่านั้น
ดีว่าเก็บเงินซื้อที่ในสวนไว้ประมาณ 2 ไร่ ก็ไปปลูกบ้านอยู่กับพ่อที่มีบำนาญเดือนละ 20,000
สองคนนี้เป็นตัวอย่างผู้รับบำนาญที่ไม่ได้มีตำแหน่งใหญ่โต อะไร ปัจจุบันพ่อมีอายุแปดสิบหกปี
เมื่อแม่อายุ 77 พบว่าตัวเองเป็นมะเร็งที่ปอด ระยะแพร่กระจายไปที่สมองแล้ว
ยามะเร็งเป็นแสนๆ ที่คนทั่วไปพูดกันว่ารักษาฟรีนะหรือ ก่อนจะไปถึงขั้นฟรี
จาก รพ ของรัฐที่ดีที่สุดใน กทม หมอบอกว่าต้องเริ่มเอาแม่ไปฉายแสงก่อนถ้าไม่ดีขึ้น
ลำดับต่อไปคือนอนให้คีโมทางเส้นเลือดเสียก่อน
หากการรักษาเช่นนี้ไม่ได้ผลจึงจะขยับไปที่คีโมชนิดเม็ด ที่ราคาตอนนั้นกล่องละ 70,000/เดือน กินวันละ 1 เม็ด
เราลูกๆ สามคนคุยกันว่า แม่อายุขนาดนั้นแล้วแม่คงตายคาเข็มคีโมเป็นแน่ถ้าจะรอกินยามะเร็งฟรีโดยใช้สิทธิข้าราชการบำนาญ
ดังนั้น เราจะจ่ายเงินเองซื้อค่ายามะเร็งชนิดเม็ดเพื่อยื้อชีวิตแม่เอง แม่อยู่มาได้หนึ่งปีเจ็ดเดือนจึงเสียชีวิต
ก่อนเสียชีวิตระหว่างนั้นก็เข้า ออก รพ ซึ่งทุกครั้งที่หมอนัดคือออกจากบ้านตั้งแต่ตีสี่
นอกจากยามะเร็งที่เป็นเม็ดแล้ว ยาอื่นที่อยู่นอกบัญชีก็จ่ายเอง ค่าหมอนอกเวลาจ่ายเองค่ะ
เพื่อไปเอาบัตรเจาะเลือดตอนเช้า เอ็กซ์เรย์รอพบหมอมะเร็งปอด มะเร็งสมองในระหว่างกลางวัน และเย็นเนื่องจากหมอลงเวลานั้น
กลับถึงบ้านอีกทีทุ่มกว่าๆ ผลคือแม่เหนื่อยหมดสภาพเมื่อถึงบ้าน
ถ้าไม่ทำแบบนี้ก็ต้องเจาะเลือดวันนึงรอผล เอ๊กซ์เรย์วันนึงรอผลเพื่อพบหมอมะเร็งปอดวันนึง พบหมอมะเร็งสมองอีกวันนึง
นี่คือชีวิตผู้รับบำนาญแก่ๆ คนหนึ่ง สบายหรือไม่สบายคิดกันเองค่ะ
วุฒิปริญญาตรี เงินเดือนเริ่มที่ 2,765 + ค่าครองชีพ 200
ใช้ชีวิตติดดินธรรมดา ในขณะที่เพื่อนๆ ทำเอกชนแต่งตัวตามแฟชั่น กินเที่ยวอร่อยค่ะ
ที่ทำงานมีดิฉันมีแฟลตเก่าๆ ให้อยู่ฟรีจ่ายค่าน้ำค่าไฟเอง นึกถึงสภาพแฟลตดินแดง หรือแฟลตการเคหะเก่าๆ เข้าไว้นะคะประมาณอย่างนั้นเลย
แต่ก็ทำให้ประหยัดเรื่องค่าที่พัก ค่าเดินทาง ค่าสุขภาพจิตเสียจากรถติดระหว่างวัน ได้ดีมาก
ทำงานแบบคนโสดตลอดมา ระหว่างทำงานช่วง 5 ปีสุดท้ายต้องหอบงานกลับไปทำที่บ้านเกือบทุกคืน
ชีวิตมาพบสามีเมื่ออายุ 45 ปี รับราชการต่ออีกพักหนึ่ง สามีบอกว่าเธอลาออกเถอะชั้นเลี้ยงเธอได้
รับราชการนาน 25 ปี ได้บำนาญประมาณ 17,000 แหมมันเยอะมากเลยนะ คงเป็นตัวอย่างของข้าราชการที่ไม่ค่อยได้ขั้นพิเศษ
เล่าต่ออีกเรื่องนึง
แม่ดิฉันเป็นข้าราชการครูบำนาญเช่นกันลาออกก่อนเกษียณด้วยเหตุสุขภาพเมื่อประมาณปี 2530 มีบำนาญเดือนละ 6,000 บาทเท่านั้น
ดีว่าเก็บเงินซื้อที่ในสวนไว้ประมาณ 2 ไร่ ก็ไปปลูกบ้านอยู่กับพ่อที่มีบำนาญเดือนละ 20,000
สองคนนี้เป็นตัวอย่างผู้รับบำนาญที่ไม่ได้มีตำแหน่งใหญ่โต อะไร ปัจจุบันพ่อมีอายุแปดสิบหกปี
เมื่อแม่อายุ 77 พบว่าตัวเองเป็นมะเร็งที่ปอด ระยะแพร่กระจายไปที่สมองแล้ว
ยามะเร็งเป็นแสนๆ ที่คนทั่วไปพูดกันว่ารักษาฟรีนะหรือ ก่อนจะไปถึงขั้นฟรี
จาก รพ ของรัฐที่ดีที่สุดใน กทม หมอบอกว่าต้องเริ่มเอาแม่ไปฉายแสงก่อนถ้าไม่ดีขึ้น
ลำดับต่อไปคือนอนให้คีโมทางเส้นเลือดเสียก่อน
หากการรักษาเช่นนี้ไม่ได้ผลจึงจะขยับไปที่คีโมชนิดเม็ด ที่ราคาตอนนั้นกล่องละ 70,000/เดือน กินวันละ 1 เม็ด
เราลูกๆ สามคนคุยกันว่า แม่อายุขนาดนั้นแล้วแม่คงตายคาเข็มคีโมเป็นแน่ถ้าจะรอกินยามะเร็งฟรีโดยใช้สิทธิข้าราชการบำนาญ
ดังนั้น เราจะจ่ายเงินเองซื้อค่ายามะเร็งชนิดเม็ดเพื่อยื้อชีวิตแม่เอง แม่อยู่มาได้หนึ่งปีเจ็ดเดือนจึงเสียชีวิต
ก่อนเสียชีวิตระหว่างนั้นก็เข้า ออก รพ ซึ่งทุกครั้งที่หมอนัดคือออกจากบ้านตั้งแต่ตีสี่
นอกจากยามะเร็งที่เป็นเม็ดแล้ว ยาอื่นที่อยู่นอกบัญชีก็จ่ายเอง ค่าหมอนอกเวลาจ่ายเองค่ะ
เพื่อไปเอาบัตรเจาะเลือดตอนเช้า เอ็กซ์เรย์รอพบหมอมะเร็งปอด มะเร็งสมองในระหว่างกลางวัน และเย็นเนื่องจากหมอลงเวลานั้น
กลับถึงบ้านอีกทีทุ่มกว่าๆ ผลคือแม่เหนื่อยหมดสภาพเมื่อถึงบ้าน
ถ้าไม่ทำแบบนี้ก็ต้องเจาะเลือดวันนึงรอผล เอ๊กซ์เรย์วันนึงรอผลเพื่อพบหมอมะเร็งปอดวันนึง พบหมอมะเร็งสมองอีกวันนึง
นี่คือชีวิตผู้รับบำนาญแก่ๆ คนหนึ่ง สบายหรือไม่สบายคิดกันเองค่ะ
แสดงความคิดเห็น
ถ้าเทียบเอกชน ต้องได้เงินเดือนประมาณเท่าไหร่จึงจะพอเทียบกับราชการได้ครับ ข้อดีของราชการคือบำนาญหลายล้านบาท
จะได้บำนาญเดือนละ 28,000
อยู่อายุถึง 80 ปี ได้เงินภาษีเลี้ยงทั้งสิ้น
=28,000*12*20
=6,720,000
หากทำงานเอกชน จะสู้ราชการได้
อย่างน้อยคุณควรมีเงินเก็บ 6-7 ล้านก่อนเกษียณ
ผมประมาณถูกไหมครับ
ถ้าเริ่มเก็บเงินตอนอายุ 25-60 ประมาณ 35 ปี
ก็ต้องเก็บปีละประมาณ 170,000-200,000