อย่าคิดสั้น . . . !!!!!

อย่าคิดสั้น  .. ถ้อยคำๆสั้นๆประโยคหนึ่ง ที่เรามักได้ยินกันบ่อยๆ ซึ่งมักไว้บอกกล่าว ไว้พูดกับคน ที่กำลังจะทำอะไรลงไปก็แล้วแต่ โดยไม่คิดตรึกตรองให้ดีเสียก่อน

...หนึ่งในนั้น ที่สังคมส่วนใหญ่มักตัดสิน และยัดเยียดๆประโยคๆนี้คำๆนี้ให้ ก็คือกลุ่มคนที่มีสภาวะซุ่มเสี่ยงในการที่จะทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตาย !


หากย้อนกลับไปเมื่อหลายต่อหลายปีก่อน ตัวของผมเอง ก็คงไม่อินกับประโยคนี้เท่าไหร่ ก็คงคิดว่า คนที่คิดฆ่าตัวตายทำร้ายตัวเองได้นี่ ก็คงคิดสั้นจริงๆอย่างที่เขาว่า อาจเพราะพวกเขาคงเข้มแข็งไม่พอที่จะเผชิญชีวิต
. . . หากแต่ mind set นี้ ชุดกระบวนการความคิด ความรู้สึกที่รวนไปหมดนี้ ไม่มาเกิดขึ้นกับตัวเอง ผมคงไม่มีวันได้เข้าใจ ว่าเวลาคนเรามัน Dawn จริงๆ มันแย่ได้มากเพียงไร

มีคนๆหนึ่งเคยกล่าวไว้กับผมว่า " การที่สังคมและคนอื่นบอกว่าคนที่ฆ่าตัวตายได้คือคนคิดสั้น พวกเขาเหล่านั้น แ_'งไม่รู้หรอกว่า ก่อนที่คนๆนึงจะตัดสินใจจบชีวิตตนเองลงได้ บางทีเขาคือคนที่คิดแล้วคิดอีกก่อนที่จะไปได้จริงๆด้วยซ้ำ "
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมคงไม่ได้คิดจะอินกับประโยคตรงนี้เลย ...



  When my life want to be ending .

หากย้อนกลับไปอ่านกระทู้บทความเก่าๆของผม ส่วนตัว ผมเองนั้นมักจะติดนิสัยชอบพิมพ์ท้าวความหรืออธิบายเยอะมาก
เพื่อให้กระทู้นี้นั้น ไม่ยาวเหยียดจนเกินไป ผมขอสรุปปัญหาในชีวิตของผมคร่าวๆ ไล่ลำดับไป เพื่อให้สมาชิกผู้อ่านทำความเข้าใจคร่าวๆ เพื่อที่จะให้คำปรึกษาแรกเปลี่ยนต่อไปนะครับ
(*กระทู้นี้ ผมอาจจะไม่ได้มีการ ตอบความคิดเห็น เพราะแค่กว่าจะตั้งสติเข้ามาตั้งกระทู้ก็แย่มากๆแล้ว แต่ผมจะเข้ามาอ่านความเห็นครับ หากมันจะเป็นประโยชน์นั่นจะเป็นเรื่องที่ดีกับตัวผมมาก ผมต้องขอบคุณล่วงหน้าครับ และถ้าคิดว่าตอบได้ ผมจะตอบครับ เมื่อความรู้สึกผมพร้อม )

ประวัติชีวิตส่วนตัวของผมและเรื่องราวที่ผ่านมา
ขอสรุปให้ฟังดังนี้ครับ

- ฐานะ เกิดมาในครอบครัวระดับปานกลาง ถือว่ามีกิน มีใช้ ไม่ยากไร้

- ครอบครัว มีความอบอุ่นกันดี พ่อ-แม่ รักใคร่ พี่น้อง สั่งสอนดี ไม่บังคับทางเดินลูก (อาจมีปัญหาทางด้านผู้ใหญ่ฝั่งนึงบ้าง ซึ่งนับเป็นปัญหาทั่วไป)

- พี่-น้อง มีน้องสองคน น้องชาย 1 , น้องสาว 1
ผมหัวอ่อนที่สุดในบ้านตั้งแต่เด็ก(ในด้านการเรียน)
#แต่ในเส้นทางชีวิตทั่วๆไป ความรู้รอบตัว เรื่องสังคมมีเยอะสุด น้องๆจะอ่อนโลกกว่า

-ตั้งแต่เด็ก ผมมักไม่ค่อยชอบสังคมเมือง รักธรรมชาติ รักสัตว์ทุกประเภท และชอบในด้านศิลปะ มาแต่เล็ก เป็นตัวเองเช่นนี้ยันโต

-เข้าวัยมัธยม ช่วงรอยต่อ ม.ต้น - ม.ปลาย ผมเริ่มป่วยเป็นโรคไมเกรน และเป็นหนักขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นเรื้อรัง
#เหตุนี้ทำให้ชีวิตช่วงนี้ของผมมีการย้ายโรงเรียนค่อนข้างบ่อย เนื่องจากต้องรักษาตัว
#เป็นอีกช่วงชีวิตที่ทำให้ผมได้เห็นโลกที่กว้างขึ้นเพราะการย้ายที่เรียนไปในหลายสังคมที่หลากหลายแตกต่างกัน

-ช่วง ม.ปลาย ลอยต่อสุดท้ายของการเปลี่ยนแปลง ผมได้ย้ายมาเรียนเอกชนที่เรียนง่าย ไม่หนักมาก ทำให้เรียนได้ ประกอบกับไม่เครียด ช่วยให้อาการของไมเกรนไปในทางที่ดี
#ในช่วงนั้น ก็มีลาหยุดขาดเรียนไปหาหมออยู่บ้าง กับบางวันที่มาเรียนไม่ได้ เพราะอาการไมเกรนกำเริบจริงๆ

-จากเหตุนี้ จึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น เพราะอาจารย์ที่นี่นั้นแกเข้าใจ
แต่เมื่อถึงช่วงเด็กล้น และต้องมีการไทน์เด็กโยกย้ายห้องออก ผมจึงโดนกลั่นแกล้งด้วยเด็กร่วมชั้นเดียวกัน(แว๊น - สก๊อย ในห้อง)

-เกิดการไล่ที่กันเกิดขึ้น มีทั้งอาจารย์ฝ่ายปกครองที่เข้าข้างผม และ อาจารย์ที่ไม่เข้าใจ

- ผมตัดสินใจออกมาด้วยตัวเอง เพราะไม่อยากให้อาจารย์ต้องมาเถียงกันเรื่องผม กับเพื่อนๆในห้อง ต้องมาทะเลาะกัน

- ชีวิตผมจับพลัดจับผลูมาตั้งใจทำในสิ่งที่ตนเองอยากทำ หาชีวิต และการเดินทางในทางที่ตัวอยากเป็นเริ่มขายของ ลองผิดลองถูกทำอะไรในสิ่งที่ชอบไปเรื่อยๆ
#จริงๆผมมีงานอดิเรกตรงนี้ตั้งแต่ยังเรียนอยู่ม.ต้นแล้ว

- ระหว่างนี้ ก็กลับเข้าสู่สถานศึกษาอีกครั้งซึ่งเป็นที่ติว
เพราะผมต้องการที่จะลองสอบเทียบเข้ามหาลัยรัฐทางด้านสายศิลป์ มหาลัยหนึ่ง

-ชีวิตช่วงนั้นแม้กราฟจะไม่ตรงกับเพื่อนคนอื่นๆที่เรียนมาด้วยกัน แต่เป็นชีวิตที่โอเคที่สุด

-หลังจากนั้น ผมก็ได้รู้จักกับความรัก ได้มีแฟน และเป็นแฟนคนแรกของผม ซึ่งเป็นผู้หญิงคนที่2 ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตตั้งแต่เด็กที่ผมรู้สึกชอบจริงๆ

-ในช่วงเดียวกันเอง ปีสุดท้ายที่ผมเรียนติวจะสอบ เป็นปีเดียวกันกับที่มหาลัยดังกล่าวที่ผมตั้งใจจะเทียบเข้าได้ยกเลิกการสอบเทียบพอดิบพอดี

-ผมเสียแฟนคนแรกจากอุบัติเหตุทางท้องถนน และก็ยังเป็นคนเดียว จนถึงปัจจุบัน ไปตอนช่วงวัย ประมาณที่เพื่อนๆคนอื่นกำลังศึกษาอยู่ปี 2

- ผมเคว้ง และเหมือนเสียตัวตนไปช่วงหนึ่ง กว่าจะกลับมา

- ผมเสียความรู้สึก จนสุดท้ายถึงขั้นเสียเพื่อนที่สนิทที่สุด จากรอยร้าวแรกตรงช่วงนี้ จากเหตุการณ์ๆนี้
ที่สุดท้ายเกิดความไม่เข้าใจกัน และเพราะเพื่อนมีนิสัยไม่ยอมคน

- ผมกลับมาเริ่มสู้ กับชีวิตตัวเอง เริ่มทำอะไรเป็นของตัวเองบนเส้นทางที่ผมชอบ

-บนเส้นทางตรงนี้กราฟชีวิตของผมค่อนข้างจะดีขึ้น มีความสุขกับชีวิตตัวเองมากขึ้นและเป็นไปในทิศทางที่ดี

-เช่นเดียวกับอาการโรคไมเกรนซึ่งก็ดูจะเงียบสงบ นานๆมาที จนไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพึ่งยาแล้ว

-ชีวิตที่กำลังเดินไป ก็เริ่มสะดุด เมื่อตั้งแต่ช่วงปี 54 หลังเหตุการณ์น้ำท่วมเป็นต้นมา

-ธุระกิจครอบครัวก็แย่ลง ทำให้ตรงนี้ ผมต้องคอยๆพักห่างจากงานอย่างอื่นทีละอย่างสองอย่าง และhobbyของตัวเอง มาอยู่ช่วยทางบ้านแทน

-ธุระกิจที่บ้านเป็นธุระกิจเล็กๆ ซึ่งก็เป็นธุระกิจของครอบครัวใหญ่ ที่ไม่อาจเรียกได้ว่าของทางพ่อ-แม่ผมตรงๆ(เป็นของคุณน้าของแม่เป็นคนริเริ่ม) ผมแค่เข้าไปช่วยเฉยๆ และไม่ได้คิดหวังหรือจะทำตรงนี้ต่อเพราะก็มีคนสารต่ออยู่แล้ว

-แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าหากไม่มีธุระกิจตรงนี้ของอาอี้ ผม-น้องๆ ก็คงไม่มีวันนี้
#ที่เข้าไป มันก็เป็นหน้าที่ ที่ควร

-จากพิษเศรษฐกิจอะไรหลายๆอย่าง ก็ทำให้ธุระกิจเริ่มแย่ลงเรื่อยๆ

-ยอดขายเริ่มตก ปีต่อปี ถึงแม้ยังไม่ถึงขั้นขาดทุนจนเลี้ยงบริษัทให้ไปต่อไม่ได้

-ประมาณปี 57 ก็เจอวิกฤตหนักจากการตรวจ gmp ไม่ผ่าน ต้องรีโนเวทบริษัทกันยกใหญ่ หยุดผลิต ยอดขายดิ่งฮวบ
#ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมเริ่มถอย และแทบไม่ได้แตะอะไรของตัวเองเลย เรียกว่าต้องเอาทางบ้านก่อนจริงๆ
#ผมปล่อยให้ในส่วนของตัวเองมันพัง เรียกว่าสภาพงานของตัวเองดูไม่ได้ จากที่เคยสนุก เคยเป็น hobby ที่ชอบ เห็นแล้วก็หดหู่ใจ

-ผ่านเรื่องตรงนี้มาได้ กราฟชีวิตผมต้องเริ่มใหม่ กับการเป็นมนุษย์ออฟฟิศ ซึ่งตัวผมเองก็ไม่ได้เรียนมา หรือถนัดเรียนรู้เรื่องบัญชีอะไรเลย กับอะไรหลายๆอย่างที่ต้องรีเซจตัวเองใหม่ อิสระในตนเองที่เคยมี ก็ค่อยๆเปลี่ยนแปลงไป
#เป็นช่วงที่ผมแทบจะหยุดทำสิ่งที่ชอบที่รักทุกอย่าง

-ปีถัดมา คุณยายผมได้มีเอาดวงของคนในบ้านไปดูกับหมอดู และบอกว่าเมื่อผมอายุ 25 ถ้าผมไม่บวช พ่อผมจะมีอันเป็นไป เมื่อรู้ถึงหูน้องสาวก็ร้องไห้กันยกใหญ่

-ทุกอย่างมีความกดดันจากภายในตัวเอง และคนอื่น
#ซึ่งผมก็กดดันตัวเองเรื่องนี้อยู่แล้ว

-ทางบ้านพ่อของผม เป็นคนต่างจังหวัด มีพี่น้องกันหลายคน และพี่น้องพ่อ ลุงๆของผม ก็เสียชีวิตด้วยโรคความดันโลหิต เส้นเลือดในสมองแตกเหมือนกันทุกคน ซึ่งตัวพ่อผมเอง ก็เป็นโรคเบาหวานพวกนี้อยู่

-มันทำให้ผมกดดันตัวเองเข้าไปอีก อยากที่จะหลุดจากจุดตรงนี้ ประสบความสำเร็จอย่างที่ตั้งใจไว้ ให้พ่อได้เห็น อย่างน้อยให้เค้าเห็นว่าชีวิตเราโอเค เราทำของเราได้ แค่นั้นก็พอ
หวังสูงสุดผมก็อยากให้พ่อผมได้อุ้มหลาน

-จบเรื่องต้องบวชไปแล้ว ความกดดัน ความรู้สึกแย่อะไรต่างๆในตัวเอง ยังคงอยู่ เนื่องจากชีวิตที่เป็นเช่นนี้

-ธุระกิจที่บ้านเริ่มจะทรงตัวและดีขึ้น พอเข้าที่เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา และยอดขายก็พึ่งจะดีขึ้นเมื่อช่วงต้นปี

-แต่ตัวผมกลับแย่ลง เพราะยังไม่ได้ไป-ยังไม่ได้ทำอะไรที่ตัวเองอยากทำ เหมือนทุกอย่างมันสะดุด

-ก่อนหน้านี้ผมได้เจอกับคนที่โอเค และพอจะเป็นกำลังใจผลักดันให้ผม ซึ่งผมก็ได้นำมาตั้งกระทู้ระบายในที่นี้เช่นกัน ว่าผมควรจะทำเช่นไร แต่ตอนนี้ก็เท่านั้น

-มันเหมือนพอผมตั้งเป้าอะไรไว้แล้ว ตั้งใจอะไรไว้แล้ว และพอยังทำไม่ได้ ยังเป็นไปไม่ได้ มันก็จะเฟล และก็สะดุดทุกครั้ง จนอาการผมเริ่มแย่

-ผมคิดตลอด ว่าผมยังไม่มีอะไรเป็นของตัวเองเป็นจริงเป็นจังเลย ณ ตอนนี้ ใช่ผมคิดได้ ไม่มีก็ต้องลงมือทำ
มันคิดได้อย่างนี้ก็จริง แต่เมื่อมันสะดุด มันก็คือสะดุด

#มันเหมือนจะลุกขึ้นยากกว่าใครเขา ผมรู้สึกอย่างนี้จริงๆ เช่นวันนี้ผมก็เป็น

-ก่อนหน้านั้นที่ผมพอหาเงินเองได้มีเงินเก็บในบัญชี ก็มีเพื่อนสนิทในไม่กี่คนที่เหลืออยู่ และไม่ทิ้งกันตอนที่ผมมีปํญหามาขอยืมเงินไป เพราะเป็นช่วงที่ธุระกิจบ้านเพื่อนก็ระหองระแหง และเฉียดล้มละลายเหมือนกัน ซึ่งก็เป็นเงินจำนวนหลายหลัก
#ปกติผมจะไม่ให้ใครหยิบยืนเงินหรือทรัพย์สินอะไรพวกนี้ แต้เพราะเป็นเพื่อนที่เหลือกันเท่านี้จริงๆผมจึงให้

-ซึ่งตอนนี้ ก็ข้ามปีมาแล้ว ผมยังไม่ได้เงินคืน และตอนเราลำบากเป็นอย่างนี้เพื่อนก็ไม่ได้ใส่ใจและพูดถึงเรื่องเงินเราอะไรทั้งนั้น! มีแต่เอาชีวิตตัวเองมาเปรียบให้ฟัง และบอกว่าถ้าเป็นกู กูจะทำนู่นนี่
#เพื่อนไม่เคยหนี แต่พอเวลาทวงก็บอกเดี๋ยวดูให้ แล้วจบแค่นั้นทุกรอบ

-รายได้ผมเหลือทางเดียวกับชีวิตที่กำลังพังไปเรื่อยๆ แต่ก่อนผมเคยขายของ เก็บเงิน มีเงินเก็บ แต่ต่อให้จะมีเงินเก็บ แต่สเตทเม้นมันไม่เดิน มันก็ต่อยอดทำอะไรไม่ได้

-ทุกวันนี้เหมือนเป็นการทรานเฟอร์เงินจากบัญชีหนึ่ง ไปเลี้ยงอีกบัญชีหนึ่ง ที่ไม่มีรายได้อะไรเข้ามาแล้ว จะรับงานข้างนอกก็นานๆที กับบุ๊คที่เหลือที่เงินตายไปแล้ว

-ความสุขในชีวิตผม เส้นทางเดินตัวเองที่ตั้งใจไว้เริ่มหดหายไปเรื่อยๆ

-จน ณ ตอนนี้ ที่ผมรู้สึกสะดุด ดาวน์กับชีวิตจริงๆ พอรวบรวมความรู้สึกพอพิมพ์ไหว ก็ได้มาตั้งทู้ไปเมื่อไม่นานที่ผ่านมา แต่ก็ยังไม่ดี

-ผมเริ่มมีอาการอ่อนเพลียตลอดวัน เริ่มรู้สึกแย่ และเริ่มมีอาการแปลกๆขณะนอนหลับ
ซึ่งหมอได้วินิจฉัยว่าผมเป็นกลุ่มอาการของโรค sleep attacks ซึ่งต้องได้รับการตรวจอย่างละเอียดและรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งหมอก็ได้แนะนำให้ผมไปที่ศูย์ sleep lab ของ ศิริราช ซึ่งค่าใช้จ่ายแค่ค่าห้องอย่างเดียว ก็ปาไป 8,000 กว่าบาทแล้ว และยังไม่มั่นใจว่าประกันผมจะเบิกได้หรือไม่

-ก่อนที่จะมีอาการตรงนี้และหมอวินิจฉัย ยังไม่รวมถึงพวกโรคฮิตคนทำงานต่างๆ ที่ถาโถมเข้ามาจากความเครียดการใช้ร่างกาย ทั้งภูมิในร่างกายตก จากเดิมที่เป็นภูมิแพ้อยู่แล้ว โรคกระเพาะ และ กรดไหลย้อนซึ่งก็เป็นหนักอยู่ช่วงหนึ่ง
มีพบซีสต์ในกรวยไต ซึ่งต้องไปตรวจอุลตร้าซาวด์ทุก2เดือน

-แค่นี้ ผมก็สะดุด ผมก็แย่แล้ว ยังไม่รวมเรื่องราวอะไรต่างๆในชีวิตอีก ที่พอมันเข้ามาแตะเข้ามากระทบที มันทำให้ผมต้องหยุดทุกครั้ง มันทำให้ผมไปต่อไม่ได้ เดินต่อไม่ได้ อยากทำชีวิตให้มันดีๆนะครับ แต่มันไม่ได้
#ยิ่งคิด ยิ่งกดดันตัวเองทุกอย่างยิ่งแย่

ช่วงหลังๆมานี้ผมจะมีความรู้สึกดาวน์บ่อยมากเมื่อมีอะไรมากระทบที แม้เล็กๆน้อยๆ ที่น่าจะเป็นเรื่องจิ๊บๆไม่ควรดาวน์ผมก็ดาวน์
เป็นทีก็ต้องหยุด มันทำอะไรไม่ได้นอกจากนอน ไม่ใช่นอนหลับ แต่เพราะมันไม่อยากขยับอะไรทั้งนั้น

มันเหมือนต้องแก้ที่ mind set ตัวเองแต่ผมก็แก้ไม่ได้

อยากพูดอยากบ่นอยากระบาย ผมก็จะเป็นแบบนี้ ว่าจะตั้งกระทู้สรุปสั้นๆ เพื่อขอคำปรึกษา สุดท้ายก็กลายเป็นเล่าซะยาว

*ย้ำ ว่านี่มันเป็นแค่โครงเรื่อง ที่มาของปัญหา แต่ปัญหาจริงๆในชีวิตคนเรามันเยอะกว่านี้อยู่แล้วครับ อะไรต่างๆที่มันมากระทบ จนหลายครั้ง ที่ผมอยากจะหยุดหายใจไปเลยจริงๆ

เพราะตอนนี้ผมรู้สึกอย่างนี้จริงๆ

รู้สึกอ่อนแอ ว่าทำไมตัวเรา แ_ ่งเป็นแบบนี้
และความรู้สึกที่ผมไม่อยากเป็นแบบนี้ มันทำให้ผมไม่อยากอยู่จริงๆครับ


https://pantip.com/topic/37419823/desktop

กระทู้ของผมก่อนหน้านี้
(หากใครพอจะมีเวลาอ่าน มีเวลาฟังกัน)

ผมก็ขอบคุณจริงๆ นะครับ ซึ่งในชีวิตจริงผมแทบไม่มี
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่