วันที่ 8 พ.ค. 2561

ก่อนวันไป เป็นวันที่เรากังวลมาก เรากังวลว่าเราจะไปยังไงกับการไปเที่ยวต่างจังหวัดและการนั่งรถไฟเป็นครั้งแรกทั้งสองอย่างเลย เราก็เครียดและกังวลอยู่พักใหญ่เลย แต่พอสักพักเราตั้งสติ หาข้อมูลเกี่ยวกับการนั่งรถไฟ

ซื้อตั๋วยังไงหรือจองยังไง ไปวันไหนดี จากนั้นเราก็ได้คำตอบ

ก็คือ เราต้องจองตั๋วรถไฟ เดี๋ยวเราไม่มีที่นั่ง เราอาจจะได้ยืน อันนี้เราคิดเผื่อไว้ การซื้อตั๋วรถไฟ เราก็เข้าไปที่
https://www.thairailwayticket.com/ พอเราเข้าไปแล้ว ใครที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิกของเว็บไซต์ ก็ต้องเข้าไปสมัครเพื่อที่จะได้จองตั๋วรถไฟได้ จากนั้นเมื่อสมัครสมาชิกเสร็จแล้ว เราก็เข้าสู่ระบบ แล้วก็ไปกดที่หัวเขียนว่า จองตั๋ว จากนั้นกดตรงสายเหนือ (น่าจะเป็นสถานีรถไฟสายเหนือนะถ้าเราเดาไม่ผิด ถ้าผิดเราต้องขออภัยด้วย) ต้นทางและปลายทาง คือ ดอนเมือง-อยุธยา เพราะบ้านเราใกล้ เราเลยเลือกสถานีนี้ ถ้าเราเลือกกรุงเทพ เราต้องไปขึ้นที่สถานีหัวลำโพง เลือกวันที่ ของเราเลือกวันที่ 9 พ.ค. 2561 แล้วก็เลือกว่าไปกี่คน มีช่องเด็กกับผู้ใหญ่ จากนั้นกดตรงค้นหาขบวน เหมือนในรูป ที่ไม่เหมือนคือ วันที่ไป อันนี้เราถ่ายของอีกวันให้ดู

จากนั้นก็จะขึ้นแบบนี้ เราก็ดูเวลาออก

(หมายถึงรถไฟออกจากสถานีนะ ไม่ใช่เวลาออกจากบ้านของเรานะ)เพราะฉะนั้นเราต้องไปถึงก่อนเวลารถไฟออก) ส่วนเวลาถึง(เวลาที่ถึงสถานีอยุธยา) เวลาออกของขบวนรถไฟที่เราไป คือ 07.49 น.-08.37 ประเภทของรถไฟที่เรานั่งคือ รถไฟเร็ว ขบวนที่ 111 หรือถ้าใครอยากได้แบบธรรมดา ไม่อยากจองตั๋วผ่านระบบ ก็ลองโทรไปจองกับ 1690 เบอร์รถไฟ แต่ต้องจองล่วงหน้าอย่างน้อย 5 วันนะ หรือถ้าบ้านใครอยู่ใกล้สถานี ก็ไปซื้อที่สถานีได้ เพราะถ้าไปซื้อที่สถานี ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม ถ้าจองจะเสียค่าธรรมเนียม 20 บาท แต่ถ้าใครบ้านไกลจากสถานี เราแนะนำให้จองตั๋วทางเว็บแล้วปริ้นหรือแคปตั๋วในหน้าจอโทรศัพท์ไปให้เจ้าหน้าที่ที่เค้าตรวจตั๋วดูจะดีกว่า เพราะไหนจะค่ารถเดินทางไปซื้อตั๋วค่าไปค่ากลับ ตรงนี้เราต้องคำนวณให้ดีว่าคุ้มมั้ย ถ้าค่ารถใครไม่ถึง 20 บาททั้งค่าไปและค่ากลับ จะไปซื้อที่สถานีก็ได้ อีกอย่างเราไม่แนะนำให้ไปซื้อตั๋วตอนเช้าของวันที่จะไปนะ เพราะอาจจะได้ตั๋วยืน หรือถ้าใครชิวๆ ก็ไปซื้อตอนเช้าก็ได้ เพราะทุกอย่างอาจจะไม่อย่างที่เราคิดเสมอไป (ถ้าเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์และวันเสาร์อาทิตย์) เมื่อได้เวลาออกแล้วเราก็เลือกตู้ของเวลาที่เราจะไป อันที่กดเลือกตู้จะเป็นสีเขียว ส่วนอันที่เลือกไม่ได้จะเป็นออกสีเทาๆ นิดนึง จากนั้นเราก็เลือกว่าจะไปชั้นไหน ชั้น 2หรือชั้น 3 แต่ชั้น 2 เต็มเร็วมาก เราเลือกชั้น 2 ไม่ได้ เพราะเต็มแล้ว เราเลยเลือกชั้น 3 จากนั้นก็จะให้ระบุผู้เดินทาง และก็จะมีสามปุ่มด้านล่าง ปุ่มแรก ย้อนกลับ ปุ่มสอง เลือกที่นั่งเอง และปุ่มสาม เลือกที่นั่งแบบอัตโนมัติ ซึ่งเรากดที่เลือกที่นั่ง และเมื่อเรากดเข้าไปแล้ว เหลืออยู่แค่ 4 ที่จร้า ที่เราตกใจคือ เราไปกับเพื่อน แต่ดีนะที่ไปกันแค่สองคนพอมีตัวเลือก จากนั้นเราก็เลือกที่นั่ง จากนั้นยืนยันการเลือกที่นั่ง และชำระเงิน สุดท้ายพิมพ์ตั๋วหรือแคปตั๋ว อีกอย่างการจองที่เผื่อเพื่อน โดยการจอง 2 ที่ แต่ชื่อเดียวกัน เราขอแนะนำไม่ควรทำ เพราะที่นั่งของใครก็ควรเป็นชื่อของคนนั้นนะจ๊ะ อันนี้คือตั๋วของเรา ด้านล่าง เราปริ้นออกมา

วันที่ 9 พ.ค. 2561

เราถึงสถานีรถไฟตอนประมาณ 6.50 เรารีบ

เรากลัวไม่ทัน และอีกประโยคนึงที่อยากจะบอกคือ “โคตรตื่นเต้นอ่ะ” ขอใช้คำที่ดูไม่สุภาพนิดนุงนะ เพราะถ้าไม่ใช้คำนี้ ดูไม่สะใจเลย จากนั้นเราก็นั่งรอเพื่อนไปเช้าๆ มีที่นั่งอยู่ คนน้อย แต่พอสายแดดออก คนเยอะ แดดแรงมากกก แนะนำว่าควรพกร่มพับ ครีมกันแดด พัดลมจิ๋ว หมวก เอาไปให้ครบ แต่ไม่ต้องเยอะมากเอาแค่นี้พอ เอาที่สำคัญๆ อีกสักพักเพื่อนคู่หูเราก็มาถึง ซึ่งเรานัดนาง 7 โมง แต่นางมา 7 ครึ่งจร้า ไม่อยากจะแฉเพื่อนเล๊ย เอาจริงๆ 5555 (อันนี้แซวเพื่อนขำๆ เผื่อนางมาอ่าน)

และแล้วเวลาที่ตื่นเต้นมากๆ ก็มาถึง รถไฟมาแล้วจร้า ก่อนรถไฟมาจะมีเจ้าหน้าที่ประกาศว่า รถไฟขบวนนี้ ขบวนที่เท่าไร จากไหนไปไหน เช่น อันนี้ไม่แน่ใจว่าพิมพ์หมดหรือเปล่า เค้าจะบอกว่า รถไฟขบวนที่ 111 กรุงเทพ-เด่นชัย ซึ่งเราไม่ต้องตกใจกับชื่อขบวน เพราะเป็นการบอกว่ารถไฟขบวนนี้มาจากไหนแล้วไปสุดที่ไหนแค่นั้น หน้าที่เราคือ ฟังแค่เลขขบวนก็พอ ถ้าไม่แน่ใจ ถามเจ้าหน้าที่ แถวๆนั้นดูอยู่ตรงไหนวิ่งเข้าไปถามเลย ว่าขบวนนี้ ขบวนที่เท่าไร ไม่ต้องอาย เพราะถ้าอาย เราอาจจะพลาดขบวนรถไฟที่เราจะไป เราก็ต้องไปซื้อตั๋วใหม่อีก หรือถ้าขึ้นผิดก็ต้องมาเสียเวลารออีก ในกรณีที่รถไฟยังมาไม่ถึงแต่ขึ้นขบวนก่อนหน้าที่จะมา จากนั้นเราก็ขึ้นรถไฟ ก่อนที่จะขึ้น ให้ดูตรงตั๋ว คำว่า คันที่-เลขที่นั่ง อย่างของเรา คันที่1ก็คือตู้ที่ 1 หรือตู้แรก ไม่นับหัวรถไฟนะจ๊ะ เลขที่นั่ง 30 อ่ะเราก็ขึ้น แต่ครั้งแรกด้วยความไม่รู้ เราก็ดั้นไปขึ้นตู้สุดท้าย 555 ฮาตัวเองไปอี๊กกก ขึ้นก็คิดว่าตัวเองฉลาดมากก ดูเลขที่นั่งจร้า อ่ะเจอเลขที่นั่งตัวแหละ 30 เราก็ไปนั่ง แต่งงต้องที่เค้าไปนั่งตรงที่เพื่อนเราทำไม เราก็ถามพี่เค้าว่า 29? (เพื่อนนั่ง 29 ) และมองหน้าเค้า ซึ่งไม่ได้หมายความว่าหาเรื่องนะ เราแค่จะสื่อคำพูดออกมาว่า พี่นั่งตรงนี้เหรอะคะ และพี่เค้าก็ตอบว่าใช่คะ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเค้าเข้าใจความหมายเรา และสุดท้ายเราก็ถามพี่เค้าว่า บชส.76มั้ยค่ะ พี่เค้าก็ทำหน้าเหมือนเข้าใจ เราก็คิดว่าพี่เค้าไม่เข้าใจที่เราพูดแน่เลย เราเลยตัดสินใจเอาตั๋วให้เค้าดู เค้าบอกว่า “อ่อ...หนูนั่งคันที่ 1” เราก็คิดในใจ โอโห้มาซะไกลเชียว (เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าอย่าอวดฉลาดหรืออายที่จะถามไม่งั้นหน้าแตก ควรถามก่อน) เราก็บอกให้เพื่อนเดินนำ จนถึงคันที่ 1 เราก็ได้นั่งจริงๆ ซะที เรานั่งชั้น 3 เบาะยาว แต่ก็ไม่ถึงกับแข็ง ออกจะนิ่มๆหน่อยๆ สำหรับเรานะ ตอนแรกเราคิดว่ามันน่าจะแข็งมากกว่านี้ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ เราก็นั่ง เรานั่งติดหน้าที่ต่าง ที่จริงเพื่อนต้องนั่งติดหน้าต่าง แต่เราขอเพื่อน เพราะเราขี้ร้อน เพื่อนก็ยอม และอยากจะบอกว่านั่งติดหน้าต่างลมเย็นเฟ่ออออร์ สำหรับใครไม่ได้ทานข้าวเช้ามาไม่ต้องกลัวหิว มีของกินขายตลอด

ข้าวกระเพราหมูไข่ดาวบ้าง, ข้าวเหนียวหมูบ้าง หรือใครไม่ชอบกินแบบนั้นก็มีมาม่านะ พร้อมน้ำร้อน คนขายบริการถึงที่แบบดีลิเวอรี่ (Delivery) ถ้าใครไม่กล้ากินกลัวติดคอไม่ต้องกลัวนะ มีน้ำ

มาบริการ ทั้งน้ำเก๊กฮวย น้ำแดง น้ำอัดลม โออิชิ จร้า รวมถึงมีหนังสืออ่านเล่นบนรถไฟ

ยาดมก็มีนะจ๊ะ ที่พิมพ์มาไม่ได้ประชดนะ แต่เราว่ามันดีนะ เวลาเราหิว เราจะได้กินเลย ไม่ต้องรอให้ถึงสถานี เพราะการทนหิวมันไม่ดี เสี่ยงต่อโรคกระเพาะอาหาร ส่วนยาดมก็มีไว้สำหรับคนเมารถไฟ อย่างเพื่อนเรา อันนี้ก็ช่วยได้ดีทีเดียว ส่วนหนังสือ เวลาที่เดินทางไกลๆ ก็ช่วยอ่านแก้เบื่อได้ และแล้วก็ถึงสถานีอยุธยา หลังจากที่เม้ากับเพื่อนมาตลอดทาง อยากจะบอกอีกทีว่า ถึงเร็วมาก และตรงเวลาด้วย ซึ่งเราคิดว่า นี้คือข้อดีของการนั่งรถไฟ คือรถไม่ติด ถึงตรงเวลา จากนั้นก็ลงรถไฟ พอลงรถไฟปุ๊บ เราก็ลงไปซื้อตั๋วกลับก่อนเลยจร้า เพราะเรากลัวเต็ม แล้วจะได้ยืน คนมันขี้กลัวก็เป็นแบบนี้แหละ เอ่อ!! เราลืมบอก ค่าตั๋วขามาเรา เรานั่งชั้น 3 ราคา 31 บาทนะ ค่าธรรมเนียมจองตั๋ว 20 บาท รวมเป็น 51 บาท อาจจะดูแพงสำหรับบางคนและไม่แพงสำหรับบางคน แล้วแต่คนนะจ๊ะ อันนี้เราไม่ว่ากัน เพราะคอนเซ็ปต์การเที่ยวของเราครั้งนี้ คือเที่ยวแบบสบายๆ ชิลๆ และต้องได้ความประทับใจกลับมา ส่วนขากลับเราก็ไปซื้อไว้แล้ว เราได้นั่งชั้น 2 เจ้าหน้าที่เลือกให้ ราคา 44 บาท ถูกกว่าขามา เพราะไม่มีค่าธรรมเนียม แต่ถ้าเทียบแต่ราคาชั้นไม่รวมค่าธรรมเนียม ชั้นนี้แพงกว่า เพราะเบาะชั้น 2 นั่งสบายกว่านิดนุง

คือยืดขาได้ เบาะคู่เหมือนรถทัวร์ รูปตั๋วตามด้านล่างเลยจร้า

หลังจากที่ซื้อตั๋วเสร็จ เราก็เตรียมตัวไปเที่ยว ที่แรกเราตั้งใจไว้แล้ว ซึ่งความเห็นตรงกับเพื่อนคือตลาดน้ำอโยธยา เราก็เดินออกมาจากสถานี มีรถตุ๊กตุ๊ก อันนี้ไม่แน่ใจว่าเท่าไร แต่ตรงที่ลงสถานีมีป้ายบอก เราเห็นแบบผ่านๆนะ แต่เราไม่ได้ดูแบบเจาะจง ส่วนจักรยานเรายังไม่ได้ปั่น เพราะเราลองดูจากแผนที่แล้ว น่าจะไกลจากสถานีอยู่ เลยตัดสินใจขึ้นมอไซร์คนละ 30 บาท จากสถานีอยุธยาไปตลาดน้ำอโยธยา พอถึง พี่วินใจดีมาก และเป็นกันเองสุดๆ เค้าลดให้เราเหลือคนละ 25 บาท เราก็เดินเข้าตลาด แต่จะเห็นมีสองฝั่ง ตลาดอยู่ฝั่งขวามือ ฝั่งซ้ายมือจะเป็นเหมือนสนามของช้าง ถ้าหันหน้าไปทางเข้า จากนั้นเราก็เดินเลี้ยวเข้าไป ตอนเราไปถึงยังไม่มีคนมาเลย เพราะตอนนั้นพึ่ง 9 โมงกว่าเอง มีแต่แม่ค้าพ่อค้ากำลังตั้งร้าน ถึงเค้าจะพึ่งตั้งร้าน แต่พวกเค้าก็ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี แบบว่า “สวัสดีคร้า แวะดูก่อนได้นะคร้า” ประมาณ 9 โมงครึ่งเราก็บอกเพื่อนว่า “เราหิวข้าว” เพื่อนก็บอกว่า “ไปกินส้มตำถาดกันมั้ย” เราก็บอกว่า “งั้นไปดิ”

ด้วยความหิวไม่เลือกแล้ว สำหรับส้มตำถาดเราเลือกกินร้านที่ตรงข้ามกับเวทีการแสดง บรรยากาศดี อากาศแจ่มใส สำหรับมื้อนี้ เราสั่งส้มตำถาด แบบจานก็มีนะ ราคา 120 บาท ไก่ย่าง ตัวละ 200 บาท แต่เค้าสามารถขายให้ครึ่งตัวได้ เหลือ 100 บาท ข้าวเหนียว 2 ห่อ 20บาท ห่อละ 10 บาท ส่วนน้ำ เราก็สั่งเป็นบลูฮาวาย 30 บาท เพื่อนสั่งนมเย็น 25 บาท และ เอสแก้วใหญ่ 30 บาท แก้วสุดท้ายสั่งมาเพิ่ม เพราะหิวน้ำ กินด้วยกันกับเพื่อน รวมเบ็ดเสร็จอาหารมื้อเช้า ไม่รวมน้ำ ราคา 240 บาท

เพราะน้ำบางคนสามารถสั่งน้ำเปล่า ราคาก็น่าจะ 10 บาทต่อขวด และค่าอาหารอาจจะดูแพงไป แต่ค่าอาหารจะแพงหรือไม่แพงขึ้นอยู่กับการเลือกกินของแต่ละคน แต่ที่เราเลือกกินอันนี้เพราะอยากกินและหิวมาก ที่จริงในตลาดก็มีก๋วยเตี๋ยวเรือนะ

หลังจากนั้นเราก็เดินดูอะไรไปเรื่อยๆ

เจอน้ำแข็งใสน่ากินมาก 1 อย่าง ราคา 39 บาท 3 อย่าง ราคา 49 บาท เราก็เลยตกลงกับเพื่อนว่า กินถ้วยเดียวกัน 3 อย่าง 49 บาท ก็อร่อยนะ ไม่หวานมาก ตามภาพด้านบนเลยนะจ๊ะสำหรับน้ำแข็งใส
First Time ทริปอยุธยา "เที่ยวแบบสบายๆ ชิลๆ และต้องได้ความประทับใจกลับมา"
ก่อนวันไป เป็นวันที่เรากังวลมาก เรากังวลว่าเราจะไปยังไงกับการไปเที่ยวต่างจังหวัดและการนั่งรถไฟเป็นครั้งแรกทั้งสองอย่างเลย เราก็เครียดและกังวลอยู่พักใหญ่เลย แต่พอสักพักเราตั้งสติ หาข้อมูลเกี่ยวกับการนั่งรถไฟ
จากนั้นก็จะขึ้นแบบนี้ เราก็ดูเวลาออก
วันที่ 9 พ.ค. 2561
เราถึงสถานีรถไฟตอนประมาณ 6.50 เรารีบ
และแล้วเวลาที่ตื่นเต้นมากๆ ก็มาถึง รถไฟมาแล้วจร้า ก่อนรถไฟมาจะมีเจ้าหน้าที่ประกาศว่า รถไฟขบวนนี้ ขบวนที่เท่าไร จากไหนไปไหน เช่น อันนี้ไม่แน่ใจว่าพิมพ์หมดหรือเปล่า เค้าจะบอกว่า รถไฟขบวนที่ 111 กรุงเทพ-เด่นชัย ซึ่งเราไม่ต้องตกใจกับชื่อขบวน เพราะเป็นการบอกว่ารถไฟขบวนนี้มาจากไหนแล้วไปสุดที่ไหนแค่นั้น หน้าที่เราคือ ฟังแค่เลขขบวนก็พอ ถ้าไม่แน่ใจ ถามเจ้าหน้าที่ แถวๆนั้นดูอยู่ตรงไหนวิ่งเข้าไปถามเลย ว่าขบวนนี้ ขบวนที่เท่าไร ไม่ต้องอาย เพราะถ้าอาย เราอาจจะพลาดขบวนรถไฟที่เราจะไป เราก็ต้องไปซื้อตั๋วใหม่อีก หรือถ้าขึ้นผิดก็ต้องมาเสียเวลารออีก ในกรณีที่รถไฟยังมาไม่ถึงแต่ขึ้นขบวนก่อนหน้าที่จะมา จากนั้นเราก็ขึ้นรถไฟ ก่อนที่จะขึ้น ให้ดูตรงตั๋ว คำว่า คันที่-เลขที่นั่ง อย่างของเรา คันที่1ก็คือตู้ที่ 1 หรือตู้แรก ไม่นับหัวรถไฟนะจ๊ะ เลขที่นั่ง 30 อ่ะเราก็ขึ้น แต่ครั้งแรกด้วยความไม่รู้ เราก็ดั้นไปขึ้นตู้สุดท้าย 555 ฮาตัวเองไปอี๊กกก ขึ้นก็คิดว่าตัวเองฉลาดมากก ดูเลขที่นั่งจร้า อ่ะเจอเลขที่นั่งตัวแหละ 30 เราก็ไปนั่ง แต่งงต้องที่เค้าไปนั่งตรงที่เพื่อนเราทำไม เราก็ถามพี่เค้าว่า 29? (เพื่อนนั่ง 29 ) และมองหน้าเค้า ซึ่งไม่ได้หมายความว่าหาเรื่องนะ เราแค่จะสื่อคำพูดออกมาว่า พี่นั่งตรงนี้เหรอะคะ และพี่เค้าก็ตอบว่าใช่คะ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเค้าเข้าใจความหมายเรา และสุดท้ายเราก็ถามพี่เค้าว่า บชส.76มั้ยค่ะ พี่เค้าก็ทำหน้าเหมือนเข้าใจ เราก็คิดว่าพี่เค้าไม่เข้าใจที่เราพูดแน่เลย เราเลยตัดสินใจเอาตั๋วให้เค้าดู เค้าบอกว่า “อ่อ...หนูนั่งคันที่ 1” เราก็คิดในใจ โอโห้มาซะไกลเชียว (เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าอย่าอวดฉลาดหรืออายที่จะถามไม่งั้นหน้าแตก ควรถามก่อน) เราก็บอกให้เพื่อนเดินนำ จนถึงคันที่ 1 เราก็ได้นั่งจริงๆ ซะที เรานั่งชั้น 3 เบาะยาว แต่ก็ไม่ถึงกับแข็ง ออกจะนิ่มๆหน่อยๆ สำหรับเรานะ ตอนแรกเราคิดว่ามันน่าจะแข็งมากกว่านี้ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ เราก็นั่ง เรานั่งติดหน้าที่ต่าง ที่จริงเพื่อนต้องนั่งติดหน้าต่าง แต่เราขอเพื่อน เพราะเราขี้ร้อน เพื่อนก็ยอม และอยากจะบอกว่านั่งติดหน้าต่างลมเย็นเฟ่ออออร์ สำหรับใครไม่ได้ทานข้าวเช้ามาไม่ต้องกลัวหิว มีของกินขายตลอด
หลังจากที่ซื้อตั๋วเสร็จ เราก็เตรียมตัวไปเที่ยว ที่แรกเราตั้งใจไว้แล้ว ซึ่งความเห็นตรงกับเพื่อนคือตลาดน้ำอโยธยา เราก็เดินออกมาจากสถานี มีรถตุ๊กตุ๊ก อันนี้ไม่แน่ใจว่าเท่าไร แต่ตรงที่ลงสถานีมีป้ายบอก เราเห็นแบบผ่านๆนะ แต่เราไม่ได้ดูแบบเจาะจง ส่วนจักรยานเรายังไม่ได้ปั่น เพราะเราลองดูจากแผนที่แล้ว น่าจะไกลจากสถานีอยู่ เลยตัดสินใจขึ้นมอไซร์คนละ 30 บาท จากสถานีอยุธยาไปตลาดน้ำอโยธยา พอถึง พี่วินใจดีมาก และเป็นกันเองสุดๆ เค้าลดให้เราเหลือคนละ 25 บาท เราก็เดินเข้าตลาด แต่จะเห็นมีสองฝั่ง ตลาดอยู่ฝั่งขวามือ ฝั่งซ้ายมือจะเป็นเหมือนสนามของช้าง ถ้าหันหน้าไปทางเข้า จากนั้นเราก็เดินเลี้ยวเข้าไป ตอนเราไปถึงยังไม่มีคนมาเลย เพราะตอนนั้นพึ่ง 9 โมงกว่าเอง มีแต่แม่ค้าพ่อค้ากำลังตั้งร้าน ถึงเค้าจะพึ่งตั้งร้าน แต่พวกเค้าก็ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี แบบว่า “สวัสดีคร้า แวะดูก่อนได้นะคร้า” ประมาณ 9 โมงครึ่งเราก็บอกเพื่อนว่า “เราหิวข้าว” เพื่อนก็บอกว่า “ไปกินส้มตำถาดกันมั้ย” เราก็บอกว่า “งั้นไปดิ”
หลังจากนั้นเราก็เดินดูอะไรไปเรื่อยๆ