เรื่องโดย Mihir Vasavda
เผยแพร่ The Indian Express
แปล akinson149
Asian Cup 2019: Thai message for Indian football team
India seem to have a favourable Asian Cup draw, but resurgent Thailand could play spoilsport.
เอเชี่ยนคัพ 2019: สารจากไทยสู่ทีมชาติอินเดีย
อินเดียอาจกำลังดีใจกับผลการจับฉลากที่หอมหวานเเต่ทีมไทยอาจกลายเป็นผู้ทำให้พวกเขาตื่นจากฝัน
Like India, football revolution in Thailand took place in the North Eastern part of the country. Unlike India, the Thais did something about it, and are reaping rich rewards.
สิ่งที่เหมือนกันระหว่างฟุตบอลไทยเเละอินเดียคือการปฎิวัติฟุตบอลของสองประเทศนี้เกิดขึ้นในแถบตะวันออกเฉียงเหนือด้วยกันทั้งคู่ เเต่ที่ต่างระหว่างสองประเทศคือ ทีมไทยได้บางสิ่งเป็นรางวัลเเต่อินเดียไม่ได้อะไรเลย
Away from the bustling streets and exotic nightlife of Bangkok, Buriram was once among the poorer provinces of Thailand. The locals were gifted footballers but they spent more time on the rice fields than the football fields, until a local politician, Newin Chidchob, bankrolled a team eight years ago. Today, Buriram United is not only the most successful club in Thailand but also among the best in the continent, routinely challenging the Chinese and Japanese teams in the Asian Champions League.
ห่างจากถนนที่ครึกคักเต็มไปด้วยผู้คนในย่านจอแจของเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ, บุรีรัมย์ คือจังหวัดที่อดีตเป็นจังหวัดที่ดูไม่วิลิศมาหราเลยในประเทศไทย จังหวัดที่มีนักฟุตบอลมากพรสวรรค์อยู่รวมๆกันเเต่ผู้คนส่วนใหญ่ต่างหมดเวลาส่วนใหญ่ของพวกเขาไปกับงานด้านเกษตรกรรมมากเสียกว่าการเข้าสนามซ้อมหรือสนามเเข่งฟุตบอลจนกระทั่งนักการเมืองท้องถิ่นอย่าง นายเนวิน ชิดชอบ เข้ามาซื้อกิจการและจัดตั้งสโมสรฟุตบอลอาชีพขึ้นที่นี่เมื่อแปดปีก่อน วันนี้บุรีรัมย์ยูไนเต็ดกลายเป็นสโมสรที่ไม่เพียงเเต่จะโด่งดังเเค่ในประเทศเเต่พวกเขาดังไปไกลถึงระดับทวีปเเล้วและกำลังจะท้าทายทีมใหญ่ๆทั้งจากจีนและญี่ปุ่นในรายการฟุตบอลถ้วยเอเอฟซีเเชมเปี้ยนลีก
When India meets Thailand in their Group A opener of the Asian Cup next year, half-a-dozen players in the squad are expected to be from Buriram United alone. They represent everything that Thai football is — young and confident, constantly punching above weight and challenging Asia’s best.
เมื่อทีมชาติอินเดียต้องพบกับไทยในนัดเเรกของเอเชี่ยนคัพปีหน้า เเน่นอนว่าครึ่งนึงของผู้เล่นทีมชาติไทยน่าจะมาจากสโมสรบุรีรัมย์แน่นอนและหากเป็นอย่างนั้นสิ่งที่ทีมไทยจะกำลังทำให้เราได้เห็นคือ ความสด,ความมั่นใจและความสม่ำเสมอของผู้เล่นของพวกเขาที่จะสร้างปัญหาให้แก่บรรดาทีมชั้นนำของทวีป
When the draw for next year’s Asian Cup was held last week in Dubai, India were seen to be handed a rather favourable deal. They, after all, are the second-best team in the group going purely by FIFA ranking. India are expected to struggle against UAE and Bahrain as they always have.
เมื่อผลการจับฉลากเอเชี่ยนคัพรอบสุดท้ายที่จับกันที่ดูไบถูกประกาศออกมา ดูเหมือนว่าอินเดียจะสามารถอยู่ในกลุ่มที่พวกเขาดูจะสมหวังมากที่สุด เพราะหลังจากผลจับฉลากออกมา พวกเขาอ้างตัวว่าเขาคือทีมที่อาจมีสิทธิ์จะเข้าวินเป็นอันดับ1หรือ2ในกลุ่มนี้ได้เลย (หากพูดถึงตามหน้าสื่อฟีฟ่าเเรงกิ้งส์) พวกเขาคงคาดหวังว่าขวางหนามของพวกเขาน่าจะเป็นทีมยูเออีหรือไม่ก็บาห์เรนเพียงเเค่นั้น
Thailand, though, could be an eye-opening contest. In the recent years, both India and Thailand have staked claim to be Asia’s fastest-improving team.
ทีมไทย, ในความคิด (ของอินเดียเอง) อาจกลายเป็นทีมที่เข้ามาเพิ่มสีสัน เเม้ว่าเเท้จริงเเล้วทั้งอินเดียและไทยจะได้ชื่อว่าเป็นทีมที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีมานี้เหมือนกันก็ตาม
India have pointed at rankings; Thailand at performances. However, it is widely held that the match could prove just how much India have fallen behind the rest of Asia in terms of development — tactical and technical. India captain Sunil Chhetri fears as much. “Thailand is the most improved side in Asia in the last six years,” Chhetri says. “We played against Thailand in six-seven years ago and it was a 2-2 draw (India had actually lost 2-1). (Today) They are competing with the best in Asia. Australia and Japan are finding difficult to beat Thailand.”
อินเดียเด่นในด้านเเรงกิ้งส์เเต่ไทยคือของจริงด้านพัฒนาการ อย่างไรก็ตาม, มันชัดเจนเป็นอย่างมากว่าเกมระหว่างไทยเเละอินเดียจะเป็นบททดสอบดูว่าทีมอินเดียยังห่างไกลเท่าไหร่กับทีมหัวเเถวของเอเซียในด้านพัฒนาการ ทั้งแทคติกและเทคนิก อย่างที่กับตันทีมของพวกเขาพูดนั่นแหละ "พวกเราเคยเล่นกับไทยเมื่อ6-7 ปีก่อน ผลออกมาว่ามันออกเสมอ 2-2 (ในความเป็นจริงอินเดียแพ้ไทย 2-1ต่างหาก) วันนี้ทีมไทยคือทีมที่กำลังก้าวขึ้นมาท้าทายทีมใหญ่ๆบนเวทีชั้นนำของทวีป พวกเขาสู้กับออสเตรเลียและญี่ปุ่นเเละทำให้ทั้งสองทีมที่ผมว่าพบกับความยากลำบาก"

This 53-second video (
http://bit.ly/1LuI4Gr) is enough to get a glimpse of what India will be up against in Dubai. It’s a clip from Thailand’s 3-0 win over Vietnam in 2015 — the move starts in the 70th minute from the right, slowly at first. By the time the ball changes flank and enters the box through the centre, it gets frenetic.
วิดิโอความยาวเเค่53วินาทีนี้เพียงพอที่จะอธิบายความน่ากลัวของไทยและสิ่งที่อินเดียจะต้องเจออย่างเเน่นอนที่ดูไบเพราะนี่คือคลิปการทำประตูลูกที่สามของไทยในเกมที่พวกเขาถล่มเวียดนามคาบ้าน 3-0 เมื่อปี2015 เห็นได้ว่าในนาทีที่70 ทีมไทยเซ็ตบอลเริ่มต้นจากฝั่งขวาของสนาม พาบอลเคลื่อนที่ไปอย่างช้าๆในช่วงเเรกเเละเมื่อบอลเข้าสู่กรอบเขตโทษและผ่านไปมาจนเจาะเข้าสุ่ตรงกลาง (พื้นที่หวังผล) มันรวดเร็วเเละจู่โจมรุนเเรงอย่างมาก
Continental force
การเเข่งขันระดับทวีป
The speed at which the ball exchanges feet is blinding. Vietnamese stand as though hypnotised by the movement as the Thai players with dainty feet dance around them, scoring a goal that mutes 40,000 people in Hanoi. That they were toying like that with Vietnam, the other fast-improving side from the region, made it even more impressive and reaffirmed what many already believed — this Thai team was shedding its tag of being regional bullies and were
emerging as a continental force.
สปรีดบอลจากเท้าสู่เท้าของไทยทำให้เราดูกันแทบไม่ทัน ผู้เล่นเวียดนามบางคนชะงักงันกับการเคลื่อนที่ของนักเตะไทยและลูกบอลราวอย่างกับว่าพวกเขาตกอยู่ในมนต์สะกดของการเต้นรำของนักเตะไทย ประตูที่3ที่ไทยทำได้สะกดเสียงเชียร์ของเเฟนบอลเจ้าถิ่นที่เข้ามาราว40,000กว่าคนให้เงียบกริบราวกับเป็นสนามร้างไร้ซึ่งผู้คน เหมือนดั่งกับว่านักเตะไทยควบคุมเกมนี้ไว้ได้ทั้งหมดเเล้วเเละกำลังเล่นสนุกอยู่กับการหยอกล้อบรรดานักเตะเวียดนาม นี่คือสิ่งที่พัฒนาอย่างรวดเร็วสำหรับทีมไทยทำให้พวกเขากลายเป็นทีมที่มีเกมบุกที่ดุดันและทำให้หลายคนเชื่อว่า ไทยนี่แหละที่จะเป็นเหมือนกระสุนที่กำลังยิงออกมาเพื่อจู่โจมและสั่นครอนทีมต่างๆในทวีปนี้
This was happening at a time when the Indian players were unable to string even three accurate passes, losing to sides like Guam as the rankings plummeted to an all-time low.
เหตุการ์ณคล้ายๆกันนี้เคยเกิดขึ้นมาเเล้วกับอินเดีย เมื่อผู้เล่นอินเดียไม่สามารถหยุดการผ่านบอลของนักเตะกวมได้ส่งผลให้เกมนั้น ทีมอินเดียแพ้ทีมชาติกวมทีมที่มีชื่อชั้นต่ำกว่ามากไปแบบชนิดที่ว่าสู้ไม่ได้
Although Thailand have always held an edge over India, the gap was never this yawning. The last time when the two sides met, in a friendly in June 2010 at Delhi’s Ambedkar Stadium, Thailand earned a narrow 2-1 win. Despite the result, there was a semblance of equality in terms of the level.
ถึงเเม้ว่าไทยในนาทีนี้จะดูมีภาษีกว่าอินเดียเเต่ช่องว่างที่ว่าก็ไม่ได้ห่างอะไรกันมากมายนักเพราะครั้งล่าสุดที่พวกเขาเจอกันเมื่อเดือนมิ.ย.2010 ที่เดลลี ไทยบุกมาชนะอินเดียได้เเค่2-1เท่านั้น
Both were bullish about their future, banking on restructured professional leagues that were launched around the same time in 2008.
ทั้งสองทีมต่างกำลังพรรณาและสร้างอนาคตของตัวเองทั้งการลงทุนกับลีกอาชีพในประเทศด้วยเม็ดเงินมหาศาลแถมสิ่งที่ว่ายังเริ่มต้นพร้อมๆกันในปี 2008 อีกด้วย
But India would trip on its own feet, first due to nearly three years of inactivity from 2011 to 2014 and then because of external forces meddling with an already fragile domestic structure.
เเต่ทีมอินเดียเหมือนจะเดินด้วยตัวเองอย่างลำพัง (ไร้เเรงช่วยจากรัฐบาล) เพราะในช่วงปี 2011-2014 หนนั้นมีการแทรกเเซงจากปัจจัยภายนอกส่งผลให้อุตสาหกรรมและสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของฟุตบอลอินเดียเกิดอากาศสะดุด
During this period, Thailand really zoomed ahead. Unlike India, who under the influence of IMG, adopted a top-down approach, the Thai FA went about things in a more conventional manner.
ในขณะที่ในเวลาเดียวกัน ไทยกำลังเป็นที่จับตามอง, ต่างจากอินเดียผู้ตกอยู่ภายใต้การควบคุมโดย IMG ส่งผลให้ตกต่ำในขณะที่ไทยยังกำลังเดินไปเรื่อยๆ เรียบๆ อย่างช้าๆ
Steve Darby, a former Thailand national team coach who later managed clubs in India, says the launch of Thai Premier League was the turnaround.
สตีป ดาร์บี้, อดีตนายใหญ่ทีมช้างศึก ผู้เคยรับงานกับสโมสรในอินเดียบอกกับเราว่า การที่ไทยมีไทย พรีเมียรืลีก นั้นทำให้ทีมชาติไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
“The game has always produced talented players but since 2008 when the Thai Premier League was introduced, the game has took off. Money has flown into the game…” Darby, who has coached Mohun Bagan in I-League and Mumbai City in ISL, says. “The biggest difference is that football is the number one sport, virtually no opposition — no cricket — and hence the media and sponsorship flows into the game.”
"ลีกไทยผลิตนักเตะที่มีพรสวรรค์ออกมามากมายตั้งเเต่ปี 2008 ปีที่ไทยพรีเมียร์ลีกเริ่มมีการเริ่มต้นแบบจริงจัง เกมเริ่มคิ๊กออฟเเละเงินสะพัดในกิจการฟุตบอล" ดาร์บี้ผู้เคยเป็นนายใหญ่ของโมฮัน บากันและมุมไบซิตี้กล่าว "สิ่งที่ทำให้ไทยเเตกต่างจากอินเดียคือ พวกเขามีกีฬาที่เป็นที่นิยมระดับประเทศเเค่อย่างเดียว นั่นคือ ฟุตบอล แต่ที่นี่ไม่ใช่ (อินเดียนิยมคริกเก็ตมากกว่าฟุตบอล) ทุกสื่อและสปอร์นเซอร์บริษัทต่างๆในไทยต่างมุ่งหน้าเข้ามาในอุตสาหากรรมฟุตบอลของพวกเขากันทั้งหมด มันจึงทำให้ฟุตบอลไทยโตเร็วมาก"
อินเดียอาจดีกว่าไทยด้านเเรงกิ้งเเต่ไทยคือของจริงด้านพัฒนาการ by Indian Express
เผยแพร่ The Indian Express
แปล akinson149
Asian Cup 2019: Thai message for Indian football team
India seem to have a favourable Asian Cup draw, but resurgent Thailand could play spoilsport.
เอเชี่ยนคัพ 2019: สารจากไทยสู่ทีมชาติอินเดีย
อินเดียอาจกำลังดีใจกับผลการจับฉลากที่หอมหวานเเต่ทีมไทยอาจกลายเป็นผู้ทำให้พวกเขาตื่นจากฝัน
Like India, football revolution in Thailand took place in the North Eastern part of the country. Unlike India, the Thais did something about it, and are reaping rich rewards.
สิ่งที่เหมือนกันระหว่างฟุตบอลไทยเเละอินเดียคือการปฎิวัติฟุตบอลของสองประเทศนี้เกิดขึ้นในแถบตะวันออกเฉียงเหนือด้วยกันทั้งคู่ เเต่ที่ต่างระหว่างสองประเทศคือ ทีมไทยได้บางสิ่งเป็นรางวัลเเต่อินเดียไม่ได้อะไรเลย
Away from the bustling streets and exotic nightlife of Bangkok, Buriram was once among the poorer provinces of Thailand. The locals were gifted footballers but they spent more time on the rice fields than the football fields, until a local politician, Newin Chidchob, bankrolled a team eight years ago. Today, Buriram United is not only the most successful club in Thailand but also among the best in the continent, routinely challenging the Chinese and Japanese teams in the Asian Champions League.
ห่างจากถนนที่ครึกคักเต็มไปด้วยผู้คนในย่านจอแจของเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ, บุรีรัมย์ คือจังหวัดที่อดีตเป็นจังหวัดที่ดูไม่วิลิศมาหราเลยในประเทศไทย จังหวัดที่มีนักฟุตบอลมากพรสวรรค์อยู่รวมๆกันเเต่ผู้คนส่วนใหญ่ต่างหมดเวลาส่วนใหญ่ของพวกเขาไปกับงานด้านเกษตรกรรมมากเสียกว่าการเข้าสนามซ้อมหรือสนามเเข่งฟุตบอลจนกระทั่งนักการเมืองท้องถิ่นอย่าง นายเนวิน ชิดชอบ เข้ามาซื้อกิจการและจัดตั้งสโมสรฟุตบอลอาชีพขึ้นที่นี่เมื่อแปดปีก่อน วันนี้บุรีรัมย์ยูไนเต็ดกลายเป็นสโมสรที่ไม่เพียงเเต่จะโด่งดังเเค่ในประเทศเเต่พวกเขาดังไปไกลถึงระดับทวีปเเล้วและกำลังจะท้าทายทีมใหญ่ๆทั้งจากจีนและญี่ปุ่นในรายการฟุตบอลถ้วยเอเอฟซีเเชมเปี้ยนลีก
When India meets Thailand in their Group A opener of the Asian Cup next year, half-a-dozen players in the squad are expected to be from Buriram United alone. They represent everything that Thai football is — young and confident, constantly punching above weight and challenging Asia’s best.
เมื่อทีมชาติอินเดียต้องพบกับไทยในนัดเเรกของเอเชี่ยนคัพปีหน้า เเน่นอนว่าครึ่งนึงของผู้เล่นทีมชาติไทยน่าจะมาจากสโมสรบุรีรัมย์แน่นอนและหากเป็นอย่างนั้นสิ่งที่ทีมไทยจะกำลังทำให้เราได้เห็นคือ ความสด,ความมั่นใจและความสม่ำเสมอของผู้เล่นของพวกเขาที่จะสร้างปัญหาให้แก่บรรดาทีมชั้นนำของทวีป
When the draw for next year’s Asian Cup was held last week in Dubai, India were seen to be handed a rather favourable deal. They, after all, are the second-best team in the group going purely by FIFA ranking. India are expected to struggle against UAE and Bahrain as they always have.
เมื่อผลการจับฉลากเอเชี่ยนคัพรอบสุดท้ายที่จับกันที่ดูไบถูกประกาศออกมา ดูเหมือนว่าอินเดียจะสามารถอยู่ในกลุ่มที่พวกเขาดูจะสมหวังมากที่สุด เพราะหลังจากผลจับฉลากออกมา พวกเขาอ้างตัวว่าเขาคือทีมที่อาจมีสิทธิ์จะเข้าวินเป็นอันดับ1หรือ2ในกลุ่มนี้ได้เลย (หากพูดถึงตามหน้าสื่อฟีฟ่าเเรงกิ้งส์) พวกเขาคงคาดหวังว่าขวางหนามของพวกเขาน่าจะเป็นทีมยูเออีหรือไม่ก็บาห์เรนเพียงเเค่นั้น
Thailand, though, could be an eye-opening contest. In the recent years, both India and Thailand have staked claim to be Asia’s fastest-improving team.
ทีมไทย, ในความคิด (ของอินเดียเอง) อาจกลายเป็นทีมที่เข้ามาเพิ่มสีสัน เเม้ว่าเเท้จริงเเล้วทั้งอินเดียและไทยจะได้ชื่อว่าเป็นทีมที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีมานี้เหมือนกันก็ตาม
India have pointed at rankings; Thailand at performances. However, it is widely held that the match could prove just how much India have fallen behind the rest of Asia in terms of development — tactical and technical. India captain Sunil Chhetri fears as much. “Thailand is the most improved side in Asia in the last six years,” Chhetri says. “We played against Thailand in six-seven years ago and it was a 2-2 draw (India had actually lost 2-1). (Today) They are competing with the best in Asia. Australia and Japan are finding difficult to beat Thailand.”
อินเดียเด่นในด้านเเรงกิ้งส์เเต่ไทยคือของจริงด้านพัฒนาการ อย่างไรก็ตาม, มันชัดเจนเป็นอย่างมากว่าเกมระหว่างไทยเเละอินเดียจะเป็นบททดสอบดูว่าทีมอินเดียยังห่างไกลเท่าไหร่กับทีมหัวเเถวของเอเซียในด้านพัฒนาการ ทั้งแทคติกและเทคนิก อย่างที่กับตันทีมของพวกเขาพูดนั่นแหละ "พวกเราเคยเล่นกับไทยเมื่อ6-7 ปีก่อน ผลออกมาว่ามันออกเสมอ 2-2 (ในความเป็นจริงอินเดียแพ้ไทย 2-1ต่างหาก) วันนี้ทีมไทยคือทีมที่กำลังก้าวขึ้นมาท้าทายทีมใหญ่ๆบนเวทีชั้นนำของทวีป พวกเขาสู้กับออสเตรเลียและญี่ปุ่นเเละทำให้ทั้งสองทีมที่ผมว่าพบกับความยากลำบาก"
This 53-second video (http://bit.ly/1LuI4Gr) is enough to get a glimpse of what India will be up against in Dubai. It’s a clip from Thailand’s 3-0 win over Vietnam in 2015 — the move starts in the 70th minute from the right, slowly at first. By the time the ball changes flank and enters the box through the centre, it gets frenetic.
วิดิโอความยาวเเค่53วินาทีนี้เพียงพอที่จะอธิบายความน่ากลัวของไทยและสิ่งที่อินเดียจะต้องเจออย่างเเน่นอนที่ดูไบเพราะนี่คือคลิปการทำประตูลูกที่สามของไทยในเกมที่พวกเขาถล่มเวียดนามคาบ้าน 3-0 เมื่อปี2015 เห็นได้ว่าในนาทีที่70 ทีมไทยเซ็ตบอลเริ่มต้นจากฝั่งขวาของสนาม พาบอลเคลื่อนที่ไปอย่างช้าๆในช่วงเเรกเเละเมื่อบอลเข้าสู่กรอบเขตโทษและผ่านไปมาจนเจาะเข้าสุ่ตรงกลาง (พื้นที่หวังผล) มันรวดเร็วเเละจู่โจมรุนเเรงอย่างมาก
Continental force
การเเข่งขันระดับทวีป
The speed at which the ball exchanges feet is blinding. Vietnamese stand as though hypnotised by the movement as the Thai players with dainty feet dance around them, scoring a goal that mutes 40,000 people in Hanoi. That they were toying like that with Vietnam, the other fast-improving side from the region, made it even more impressive and reaffirmed what many already believed — this Thai team was shedding its tag of being regional bullies and were
emerging as a continental force.
สปรีดบอลจากเท้าสู่เท้าของไทยทำให้เราดูกันแทบไม่ทัน ผู้เล่นเวียดนามบางคนชะงักงันกับการเคลื่อนที่ของนักเตะไทยและลูกบอลราวอย่างกับว่าพวกเขาตกอยู่ในมนต์สะกดของการเต้นรำของนักเตะไทย ประตูที่3ที่ไทยทำได้สะกดเสียงเชียร์ของเเฟนบอลเจ้าถิ่นที่เข้ามาราว40,000กว่าคนให้เงียบกริบราวกับเป็นสนามร้างไร้ซึ่งผู้คน เหมือนดั่งกับว่านักเตะไทยควบคุมเกมนี้ไว้ได้ทั้งหมดเเล้วเเละกำลังเล่นสนุกอยู่กับการหยอกล้อบรรดานักเตะเวียดนาม นี่คือสิ่งที่พัฒนาอย่างรวดเร็วสำหรับทีมไทยทำให้พวกเขากลายเป็นทีมที่มีเกมบุกที่ดุดันและทำให้หลายคนเชื่อว่า ไทยนี่แหละที่จะเป็นเหมือนกระสุนที่กำลังยิงออกมาเพื่อจู่โจมและสั่นครอนทีมต่างๆในทวีปนี้
This was happening at a time when the Indian players were unable to string even three accurate passes, losing to sides like Guam as the rankings plummeted to an all-time low.
เหตุการ์ณคล้ายๆกันนี้เคยเกิดขึ้นมาเเล้วกับอินเดีย เมื่อผู้เล่นอินเดียไม่สามารถหยุดการผ่านบอลของนักเตะกวมได้ส่งผลให้เกมนั้น ทีมอินเดียแพ้ทีมชาติกวมทีมที่มีชื่อชั้นต่ำกว่ามากไปแบบชนิดที่ว่าสู้ไม่ได้
Although Thailand have always held an edge over India, the gap was never this yawning. The last time when the two sides met, in a friendly in June 2010 at Delhi’s Ambedkar Stadium, Thailand earned a narrow 2-1 win. Despite the result, there was a semblance of equality in terms of the level.
ถึงเเม้ว่าไทยในนาทีนี้จะดูมีภาษีกว่าอินเดียเเต่ช่องว่างที่ว่าก็ไม่ได้ห่างอะไรกันมากมายนักเพราะครั้งล่าสุดที่พวกเขาเจอกันเมื่อเดือนมิ.ย.2010 ที่เดลลี ไทยบุกมาชนะอินเดียได้เเค่2-1เท่านั้น
Both were bullish about their future, banking on restructured professional leagues that were launched around the same time in 2008.
ทั้งสองทีมต่างกำลังพรรณาและสร้างอนาคตของตัวเองทั้งการลงทุนกับลีกอาชีพในประเทศด้วยเม็ดเงินมหาศาลแถมสิ่งที่ว่ายังเริ่มต้นพร้อมๆกันในปี 2008 อีกด้วย
But India would trip on its own feet, first due to nearly three years of inactivity from 2011 to 2014 and then because of external forces meddling with an already fragile domestic structure.
เเต่ทีมอินเดียเหมือนจะเดินด้วยตัวเองอย่างลำพัง (ไร้เเรงช่วยจากรัฐบาล) เพราะในช่วงปี 2011-2014 หนนั้นมีการแทรกเเซงจากปัจจัยภายนอกส่งผลให้อุตสาหกรรมและสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของฟุตบอลอินเดียเกิดอากาศสะดุด
During this period, Thailand really zoomed ahead. Unlike India, who under the influence of IMG, adopted a top-down approach, the Thai FA went about things in a more conventional manner.
ในขณะที่ในเวลาเดียวกัน ไทยกำลังเป็นที่จับตามอง, ต่างจากอินเดียผู้ตกอยู่ภายใต้การควบคุมโดย IMG ส่งผลให้ตกต่ำในขณะที่ไทยยังกำลังเดินไปเรื่อยๆ เรียบๆ อย่างช้าๆ
Steve Darby, a former Thailand national team coach who later managed clubs in India, says the launch of Thai Premier League was the turnaround.
สตีป ดาร์บี้, อดีตนายใหญ่ทีมช้างศึก ผู้เคยรับงานกับสโมสรในอินเดียบอกกับเราว่า การที่ไทยมีไทย พรีเมียรืลีก นั้นทำให้ทีมชาติไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
“The game has always produced talented players but since 2008 when the Thai Premier League was introduced, the game has took off. Money has flown into the game…” Darby, who has coached Mohun Bagan in I-League and Mumbai City in ISL, says. “The biggest difference is that football is the number one sport, virtually no opposition — no cricket — and hence the media and sponsorship flows into the game.”
"ลีกไทยผลิตนักเตะที่มีพรสวรรค์ออกมามากมายตั้งเเต่ปี 2008 ปีที่ไทยพรีเมียร์ลีกเริ่มมีการเริ่มต้นแบบจริงจัง เกมเริ่มคิ๊กออฟเเละเงินสะพัดในกิจการฟุตบอล" ดาร์บี้ผู้เคยเป็นนายใหญ่ของโมฮัน บากันและมุมไบซิตี้กล่าว "สิ่งที่ทำให้ไทยเเตกต่างจากอินเดียคือ พวกเขามีกีฬาที่เป็นที่นิยมระดับประเทศเเค่อย่างเดียว นั่นคือ ฟุตบอล แต่ที่นี่ไม่ใช่ (อินเดียนิยมคริกเก็ตมากกว่าฟุตบอล) ทุกสื่อและสปอร์นเซอร์บริษัทต่างๆในไทยต่างมุ่งหน้าเข้ามาในอุตสาหากรรมฟุตบอลของพวกเขากันทั้งหมด มันจึงทำให้ฟุตบอลไทยโตเร็วมาก"