▼ กำลังโหลดข้อมูล... ▼
แสดงความคิดเห็น
คุณสามารถแสดงความคิดเห็นกับกระทู้นี้ได้ด้วยการเข้าสู่ระบบ
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
บันทึกนักเดินทาง
เที่ยววัด
เที่ยวต่างประเทศ
สถานที่ท่องเที่ยวต่างประเทศ
มิงกาลาบา(พม่าในวันกรานต์14-17เมษายน2561 ซึ่งทุกอย่างปิดหมด)
วันที่ 14 เมษายน 2561
ได้ใช้บริการของ เครื่องบิน ในเครือหางแดงคือไทยแอร์เอเชียที่จะพาเราบินสู่ กรุงย่างกุ้งประเทศพม่า เราได้ นัด กลับ คนขับแท็กซี่ให้มารับเราที่สนามบินแล้วพาเราเที่ยวในวันนั้นเลย
จากกำหนดการเราจะถึงย่างกุ้งในเวลา 12 นาฬิกา 55 นาที และเครื่องบินก็ลงจอด เราถึงจุดหมายปลายทางที่สนามบินนานาชาติยางกอง สจ๊วตของเราบอกว่า ยางกอง และเราก็ได้ออกจาก ประตู ทางออกเพื่อมารอรับกระเป๋า และเราก็จะได้เจอ กลับแท็กซี่ที่เรานัดไว้ เขาจะโชว์ป้ายชื่อเรา แล้วเราก็เริ่ม แลกเงินและซื้อซิมการ์ดสำหรับใช้ในระยะเวลา 4 วัน จะบอกว่าซิมการ์ดของพม่านี่ปล่อย 4G เต็มพิกัด เราแลกเงิน มาได้ปึกนึง แบงค์ 5000 ทั้งนั้น กว่า 500 ใบ เต็มกระเป๋าไปเลย
หลังจากที่เราแลกเงินและซื้อซิมการ์ดเสร็จเราก็ไปสถานที่แรก คือวัดอะไร เราไม่รู้จักแต่พอไปถึงแล้ว ก็ได้เห็น ด้วยตาตัวเอง คือวัดพระ องค์ใหญ่ที่เป็นหินแกรนิต ใหญ่โตมโหฬารมาก ก่อนเข้าวัดต้องถอดรองเท้า ไว้หน้าวัดซึ่งพื้นของวัดนั้นเป็นหินอ่อน พื้นร้อนมากเท้าแทบพองเลย หลังจากนั้นเราก็เริ่มถ่ายรูป กับพระ และไหว้พระและคนขับแท็กซี่ก็มาถ่ายรูป คู่กับเรา
หลังจากไหว้พระเสร็จแล้วก็พาเราไปที่มีช้างเป็นช้างเผือก 2 ตัวตัวผู้และตัวเมีย ได้ยินไกด์ ชาวพม่าที่พูดไทยได้มากับกรุ๊ปทัวร์เล่าให้ฟังว่า ช้าง 2 เชือกนี้เป็นช้างป่า ที่ไม่ดุร้าย และเป็นช้าง เผือก ทางราชการอยากได้จึงให้ คนในพื้นที่ ไปจับมา เพื่อเป็น ศิริมงคลแก่บ้านเมือง ได้ ความว่าอย่างนั้น แต่ฟังไม่ทันได้รู้เรื่องที ก็ออกไปซักก่อน ไปวัดพระตาหวานกัน วัดพระนอนตาหวาน
พระพุทธเจ้าได้ทรงองค์ เครื่องยศ เต็มตัวเลยอลังการยิ่งใหญ่ขนลุกไปหมดเลย
เราได้ไปต่อกัน ที่พระนอนตาหวานตาท่านเหมือนแก้ว ลูกแก้ว อยู่ในตาจริงๆหวานหยดย้อยยิ่งใหญ่อลังการ นอนในท่า ปางปรินิพพาน สมคำร่ำลือจริงๆ
หลังจากไหว้ พระนอนตาหวานเสร็จแล้วเราก็แวะซื้อมะม่วง ซึ่งที่ พม่าเขาปลอกมะม่วงกัน แปลกตาพิกล เราก็เลยซื้อมาชิม พริกเกลือเขานี่โคตรเค็มเกลือเยอะกว่า น้ำตาล และ พริก
หลังจากเข้าพักในโรงแรมเสร็จแล้วเช็คอินเรียบร้อยแล้วเราก็เกิดอาการหิวขึ้นมาก็อาบน้ำแต่งตัวกันก่อนแล้วก็เรียกแท็กซี่ ว่าจะไป ไชน่าทาวน์ แท็กซี่ก็พาเรา อ้อมไปอ้อมมาซึ่ง ซึ่งไชน่าทาวน์ ก็อยู่ห่างจากเราไม่กี่บล็อกจากโรงแรมที่ตั้งแท็กซี่บอกว่าพาดูก่อน แล้วราคาค่อยว่ากันสรุปไปมาลงจอดที่ย่านที่มีปิ้งย่าง เราก็จ่ายค่าแท็กซี่กันไงราคา 4000 จ๊าดหรือประมาณ 100 บาท เราก็เดินชม อาหารปิ้งย่างหมูสะเต๊ะ ที่ ไชน่าทาวน์มีอาหารปิ้งย่างมากมาย ลองชมภาพกันแล้วกันนะ
หลังจากกินอิ่มเรียบร้อยแล้วเราก็กลับโรงแรมที่พักเพื่อจะเดินทางต่อท่องเที่ยวต่อในวันพรุ่งนี้ แล้วค่อยเจอกันใหม่นะครับ
[u]วันที่ 2 ของการเดินทาง
วันที่ 15 เมษายน 2561[/u0
เช้าวัน รุ่งขึ้น เราก็เตรียมพร้อมกับการผจญภัยอีกครั้ง หลังจากที่เรา รับประทานอาหารเสร็จแล้ว จากที่โรงแรมเรา ไม่รู้ว่าเราจะไปไหน เลยบอกแท็กซี่ว่าอยากไปตามภาพนี้คือโบตาทาวน์ และก็เจดีย์สุเล แต่เจดีย์สุเลไปไม่ได้คนมันเยอะแยะเลยเขาเล่นสงกรานต์กันถนนเลยปิดก็เลยไปพระธาตุโบตาทาวน์แทน ซึ่งไม่รู้มาก่อนว่าที่โบตาเท่านั้น คนไทย เยอะมากคนไทยส่วนมากไปขอพรเทพทันใจและภายกระซิบ ลองชมภาพดู ว่ามีคนไทยเยอะแค่ไหน ต่อแถวกันยาว ทุกคนเลย
ตอนเราไปเจดีย์โบตาทาวน์กำลังบูรณะซ่อมแซมกันเราเลยไม่เห็นองค์พระธาตุเจดีย์ เข้าไปข้างในองค์พระธาตุเจดีย์แล้ว ข้างๆกันเป็นที่ ประดิษฐานพระเกศาธาตุ ซึ่งมองเห็นได้ยากเราเห็นจอมปลวก ซึ่งขึ้นคร่อมพระเกศาธาตุเอาไว้เราถ่ายรูป ได้ไม่ได้ไม่นาน ก็มีเจ้าหน้าที่ให้เราไปนั่ง ตรงที่กราบไหว้เราสามารถถ่ายรูปได้นะตรงนั้น
พระจากเจดีย์โบตาทาวน์ ของอีกฝั่งนึงเป็นพรายกระซิบ ท่านชอบ ข้าวตอกและนมมาถวายท่าน มีบริการเข้าตอกและนม ให้ถวาย แก่ท่าน คิดค่าบริการ 4000 จ๊าด หรือ 100 บาท เราก็ต่อแถว กพถึงตัวท่าน เทพพรายกระซิบ เราก็กระซิบบอกเบา ห่างห่าง เมื่อก่อนชิดใกล้ๆหูเลย แต่ตอนนี้กระซิบใกล้ไม่ได้แล้ว ทางเจ้าหน้าที่เขาได้กั้นไว้เพราะว่าคนไทยไปกันมากซึ่งไม่มีคนพม่าไปเลย มีคนมาบ้างประปราย
แวะซื้อของที่ระลึกกันแล้วเราก็เดินทางต่อไปยังเมืองสิเรียม ซึ่งผ่านแม่น้ำหงสา เป็นสะพานข้ามแม่น้ำ สายยาวที่สุดในพม่าสะพานเหล็กข้ามแม่น้ำ หงสาเราไปกันที่เมืองสิเรียม ไปที่วัด ที่อยู่กลางเกาะ ของแม่น้ำหงสาสวยงามมาก ส่วนมาก มีคนพม่าไปเที่ยวกันเยอะ คนไทยเที่ยวน้อยถ้าเป็นนักท่องเที่ยวอย่างเราเป็นคนไทยก็จะนั่งเรือ เฉพาะของนักท่องเที่ยวเลยถ้าเป็นคนพม่าก็นั่งรวมกัน รู้สึกว่าไม่เสียค่าบริการหรืออาจจะเสียค่าบริการ ก็นั่งคนพม่า จะนั่งแบบไม่มีหลังคา แดดร้อนแค่ไหนก็ต้องทนแต่เราไปแบบ นักท่องเที่ยวเราก็จะได้นั่งแบบ มี ร่มกันแดด หลังคากันแดด
หลังจาก กลับจากสิเรียม เราก็มาพักผ่อนเพื่อเตรียมตัวไป สักการะ เจดีย์ชเวดากอง ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งของพม่าเราก็เตรียมตัวกัน เจอกับแท็กซี่ที่เรานัดกันไว้ตอนประมาณ 6 โมง เย็น เราจึงออกแท็กซี่กันแล้วเราก็ต้องเดินทาง ไปยังเจดีย์ชเวดากอง กันเลย
สวยงามสุดบรรยาย บอกไม่ถูกจริงๆ บนยอด ทอง ของเจดีย์ คือทองคำ และเพชร พลอยแก้วแหวนจินดา ของ ผู้ศรัทธานำมาบริจาค เราก็เดินวนรอบเจดีย์เพื่อจะให้เห็นประกายเพชรแต่ก็ไม่เคยเห็นไม่เจอเลยสักคนมีกลุ่มคนไทยกลุ่มหนึ่งเขาก็พยายามหาจุด มองยอดเจดีย์ให้เห็นประกายเพชร แต่ก็ไม่เห็น เราก็ต้องเดินไปรับรอบ รอบใหญ่ๆนี่เดินเหนื่อยนะ
ชมความงามของเจดีย์ ก็แล้วกันนะ
ก่อนกลับจากเจดีย์ชเวดากอง เราก็แอบถ่ายหนุ่มพม่า หน้าตาน่ารัก คนที่นี่ใจดีทุกคน โดยเฉพาะหนุ่มพม่า ก็ให้เราถ่ายนะ ถึงแม้เราจะแอบถ่ายก็เถอะ
หลังกลับจากเจดีย์ชเวดากอง ก็รีบกลับเข้าที่พักเลย เพราะพรุ่งนี้เราจะต้องเดินทางต่อไปยังพระธาตุอินแขวน ซึ่งเป็น ที่ประดิษฐานของ ก้อนหิน บนหน้าผาอันสูงชัน ก้อนหินสีทองอันนี้เป็นที่บูชา นับถือของชาวพม่า เป็นหนึ่งในห้า ของชาวพม่า ที่ต้องเดินทางมาสักการะสักครั้งหนึ่ง ก่อนตาย ถ้าครั้งหนึ่งก่อนตาย ได้มาถึง ก็ถือว่านอนตายตาหลับ แล้วเจอกันในวันพรุ่งนี้นะครับ