
BEIRUT เล่าถึงอดีตนักการทูตสหรัฐฯประจำกรุงเบรุต 'เมสัน ไกลส์' ที่เคยสูญเสียภรรยาจากเหตุความรุนแรงในกรุงเบรุต ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ซีไอเอเรียกตัวกลับมาทำภารกิจสำคัญในการเจรจาต่อรองและช่วยเหลือตัวประกันที่เป็นเพื่อนของเขา แน่นอนว่าไม่ใช่ภารกิจที่ง่าย ด้วยสงครามกลางเมืองที่กำลังปะทุอยู่ ประจวบกันทางกลุ่มก่อการร้ายก็ต้องการแลกตัวกับสองนักโทษคนสำคัญผู้เคยอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ความรุนแรงในกรุงเบรุต
และนี่ก็เป็น 5 ไฮไลท์สำคัญของหนังเรื่องนี้...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
1. เขียนบทโดย 'โทนี่ กิลรอย' จากหนังสายลับแห่งยุคอย่าง Bourne
คงไม่มีข้อโต้แย้งหากจะบอกว่า 'โทนี่ กิลรอย' เป็นหนึ่งในมือเขียนบทชั้นแนวหน้าแห่งศตวรรษที่ 21 ด้วยผลงานคุณภาพมากมายซึ่งเป็นเครื่องการันตีทั้งจากหนังสืบสวนการเมืองสุดเข้มข้นอย่าง State of Play, Michael Clayton และตระกูลหนังสายลับชั้นยอดอย่าง Bourne ซึ่งการทำงานของ 'โทนี่ กิลรอย' ที่เป็นคนพิถีพิถันในรายละเอียด เขาก็มักจะลงไปเก็บข้อมูลต่างๆด้วยตัวเอง โดยสอบถามบุคคลที่มีความเกี่ยวและรู้ลึกรู้จริงในเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้งานเขียนบทของเขาทุกเรื่องดูมีความน่าเชื่อถืออย่างมาก ซึ่งใน Beirut นอกจากรายละเอียดเกมเมืองสุดเข้มข้น เขายังให้ความสำคัญกับการพัฒนาสภาวะจิตวิทยา เพื่อให้หนังดูสมจริงและมีความเป็นมนุษย์มากยิ่งขึ้น
2. กำกับโดย 'แบรด แอนเดอร์สัน' จากหนังระทึกขวัญจิตวิทยาอย่าง The Machinist
เชื่อว่าหลายคนคงรู้จัก The Machinist หนังระทึกขวัญที่แสดงนำโดย 'คริสเตียน เบล' รับบทเป็นชายผู้เป็นโรคนอนไม่หลับ ซึ่งหนังใช้การขับเคลื่อนด้วยตัวละครและพาไปสำรวจปมซ่อนเร้นในจิตใจได้อย่างระทึก ชวนติดตามเป็นอย่างยิ่ง ฉะนั้น 'แบรด แอนเดอร์สัน' จึงดูเป็นตัวเลือกชั้นเยี่ยมในการกำกับ Beirut ที่ต้องการความดราม่า ระทึกขวัญ ความลึกลับของเรื่องราวและปมในจิตใจของตัวละคร
3. ส่วนผสมของหนังดราม่าสงครามสุดเข้มข้นอย่าง The Year of Living Dangerously และหนังสายลับมาดผู้ดีแห่งยุคอย่าง Tinker Tailor Soldier Spy
หนังได้ยึดโทนเรื่องหลักตามแบบ The Year of Living Dangerously หนังปี 1982 ที่กำกับโดย 'ปีเตอร์ เวียร์' โดยเน้นปมดราม่าสงครามที่ใช้อินโดนีเซียเป็นฉากหลัง ซึ่งทางผู้กำกับ 'แบรด แอนเดอร์สัน' ก็พูดถึงเรื่องนี้ไว้ว่า
“มันคือการเดินทางของอารมณ์ตัวละครที่ใช้ชีวิตในประเทศที่ถูกผลกระทบของสงครามอย่างหนักหน่วง เขาพยายามหาความดีหรือสัญลักษณ์แห่งความหวังไว้ใช้ยึดเหนี่ยว นั่นคือสิ่งที่เราต้องการทำใน Beirut แต่ขณะเดียวกันเรายังต้องค้นหาปมปริศนาไร้ทางออกแบบใน Tinker, Tailor, Soldier, Spy หรือ The Spy Who Came in From the Cold ที่เกิดขึ้นในโลกแห่งการจารกรรม”
4. รับบทนำโดยสองนักแสดงคุณภาพอย่าง 'โรซามันด์ ไพค์' และ 'จอน แฮมม์'
เหล่าคอหนังทั้งหลายคงรู้จักเกียรติประวัติ ความสามารถของ 'โรซามันด์ ไพค์ ' มาเป็นอย่างดีทั้งจาก Gone Girl หนังสืบสวนเชิงจิตวิทยาของ 'เดวิด ฟินเชอร์' หรือจะเป็น Jack Reacher หนังแอคชั่นสายลับที่ประกบคู่กับ 'ทอม ครูซ' แต่ขณะเดียวกันอีกหนึ่งนักแสดงที่รับบทตัวเอกของเรื่องอย่าง 'จอน แฮมม์' จากซีรีส์ Mad Men ที่หลายคนยังเกิดเครื่องหมายคำถามเกี่ยวกับความสามารถของนักแสดงคนนี้ว่าจะดีพอที่จะแบกหนังทั้งเรื่องได้หรือไม่? ซึ่งเมื่อดูจากสิ่งที่ 'จอน แฮมม์' พยายามทำเพื่อเข้าถึงบทบาทนักเจรจาอย่าง การศึกษาเบื้องหลังและเข้าไปพูดคุยกับทูตตัวจริงเพื่อรับรู้มุมมองต่างๆของเหตุการณ์ หรือจะเป็นการใช้บทของ 'กิลรอย' เป็นพิมพ์เขียวในการแสดง พร้อมขอคำแนะนำจาก 'แอนเดอร์สัน' ในการชี้แนะแนวทางที่ถูกที่ควร รวมไปถึงทัศนคติที่ดีในการแสดงของตัวเขาเองก็พอจะเชื่อมั่นได้เลยว่าตัวละคร 'เมสัน ไกลส์' ต้องออกมายอดเยี่ยมตามทิศทางที่ควรจะเป็น
5. ทีมเบื้องหลังคุณภาพ
สิ่งที่ต้องคำนึงในงานคอสตูมคือ ผู้คนจำนวนมาก ต่างกลุ่ม ต่างเชื้อชาติ ต่างวัฒนธรรมในเมืองเบรุต มันเป็นสิ่ง 'คาร์ลอส โรซาริโอ' นักออกแบบเครื่องแต่งกายชาวฝรั่งเศสตระหนักถึงเป็นอย่างดี เขาจึงพยายามเน้นความหลากของเสื้อผ้าเพื่อให้ดูสมจริง เป็นธรรมชาติ แต่ก็ไม่ละเลยถึงตัวตนทางวัฒนธรรมของผู้คน ขณะเดียวกันฝั่งงานภาพก็มีหัวเรือใหญ่อย่าง 'บียอร์น ชาร์เพนเทียร์' ผู้กำกับภาพเจ้าของรางวัล Grand Prix prize จากเมืองคานส์ ที่ตีโจทย์ได้ตรงตามความต้องการของ 'แบรด แอนเดอร์สัน' กับงานภาพที่เน้นความดิบ หยาบๆสไตล์หนังยุโรป การถ่ายทำจึงใช้เลนส์อนามอร์ฟิคจากยุค 70-80 เพื่อให้ภาพที่ออกมาดูไม่คมชัดจนเกินไป ซึ่งทาง 'ชาร์เพนเทียร์' ก็ได้พูดถึงเรื่องนี้ไว้ว่า
“ภาพจะออกมานุ่มนวลสไตล์เลนส์ย้อนยุค ถ้าบวกกับเสื้อผ้าที่งดงามของคาร์ลอสแล้วมันเหมือนกับว่า Beirut ถ่ายในยุค 70 เลย”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
หนังเข้าฉายในไทย 10 พฤษภาคมนี้

ตัวอย่างซับไทย
5 ไฮไลท์จากหนังปฏิบัติการช่วยเหลือตัวประกันสุดระทึก 'BEIRUT'
BEIRUT เล่าถึงอดีตนักการทูตสหรัฐฯประจำกรุงเบรุต 'เมสัน ไกลส์' ที่เคยสูญเสียภรรยาจากเหตุความรุนแรงในกรุงเบรุต ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ซีไอเอเรียกตัวกลับมาทำภารกิจสำคัญในการเจรจาต่อรองและช่วยเหลือตัวประกันที่เป็นเพื่อนของเขา แน่นอนว่าไม่ใช่ภารกิจที่ง่าย ด้วยสงครามกลางเมืองที่กำลังปะทุอยู่ ประจวบกันทางกลุ่มก่อการร้ายก็ต้องการแลกตัวกับสองนักโทษคนสำคัญผู้เคยอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ความรุนแรงในกรุงเบรุต
และนี่ก็เป็น 5 ไฮไลท์สำคัญของหนังเรื่องนี้...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
1. เขียนบทโดย 'โทนี่ กิลรอย' จากหนังสายลับแห่งยุคอย่าง Bourne
คงไม่มีข้อโต้แย้งหากจะบอกว่า 'โทนี่ กิลรอย' เป็นหนึ่งในมือเขียนบทชั้นแนวหน้าแห่งศตวรรษที่ 21 ด้วยผลงานคุณภาพมากมายซึ่งเป็นเครื่องการันตีทั้งจากหนังสืบสวนการเมืองสุดเข้มข้นอย่าง State of Play, Michael Clayton และตระกูลหนังสายลับชั้นยอดอย่าง Bourne ซึ่งการทำงานของ 'โทนี่ กิลรอย' ที่เป็นคนพิถีพิถันในรายละเอียด เขาก็มักจะลงไปเก็บข้อมูลต่างๆด้วยตัวเอง โดยสอบถามบุคคลที่มีความเกี่ยวและรู้ลึกรู้จริงในเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้งานเขียนบทของเขาทุกเรื่องดูมีความน่าเชื่อถืออย่างมาก ซึ่งใน Beirut นอกจากรายละเอียดเกมเมืองสุดเข้มข้น เขายังให้ความสำคัญกับการพัฒนาสภาวะจิตวิทยา เพื่อให้หนังดูสมจริงและมีความเป็นมนุษย์มากยิ่งขึ้น
2. กำกับโดย 'แบรด แอนเดอร์สัน' จากหนังระทึกขวัญจิตวิทยาอย่าง The Machinist
เชื่อว่าหลายคนคงรู้จัก The Machinist หนังระทึกขวัญที่แสดงนำโดย 'คริสเตียน เบล' รับบทเป็นชายผู้เป็นโรคนอนไม่หลับ ซึ่งหนังใช้การขับเคลื่อนด้วยตัวละครและพาไปสำรวจปมซ่อนเร้นในจิตใจได้อย่างระทึก ชวนติดตามเป็นอย่างยิ่ง ฉะนั้น 'แบรด แอนเดอร์สัน' จึงดูเป็นตัวเลือกชั้นเยี่ยมในการกำกับ Beirut ที่ต้องการความดราม่า ระทึกขวัญ ความลึกลับของเรื่องราวและปมในจิตใจของตัวละคร
3. ส่วนผสมของหนังดราม่าสงครามสุดเข้มข้นอย่าง The Year of Living Dangerously และหนังสายลับมาดผู้ดีแห่งยุคอย่าง Tinker Tailor Soldier Spy
หนังได้ยึดโทนเรื่องหลักตามแบบ The Year of Living Dangerously หนังปี 1982 ที่กำกับโดย 'ปีเตอร์ เวียร์' โดยเน้นปมดราม่าสงครามที่ใช้อินโดนีเซียเป็นฉากหลัง ซึ่งทางผู้กำกับ 'แบรด แอนเดอร์สัน' ก็พูดถึงเรื่องนี้ไว้ว่า
“มันคือการเดินทางของอารมณ์ตัวละครที่ใช้ชีวิตในประเทศที่ถูกผลกระทบของสงครามอย่างหนักหน่วง เขาพยายามหาความดีหรือสัญลักษณ์แห่งความหวังไว้ใช้ยึดเหนี่ยว นั่นคือสิ่งที่เราต้องการทำใน Beirut แต่ขณะเดียวกันเรายังต้องค้นหาปมปริศนาไร้ทางออกแบบใน Tinker, Tailor, Soldier, Spy หรือ The Spy Who Came in From the Cold ที่เกิดขึ้นในโลกแห่งการจารกรรม”
4. รับบทนำโดยสองนักแสดงคุณภาพอย่าง 'โรซามันด์ ไพค์' และ 'จอน แฮมม์'
เหล่าคอหนังทั้งหลายคงรู้จักเกียรติประวัติ ความสามารถของ 'โรซามันด์ ไพค์ ' มาเป็นอย่างดีทั้งจาก Gone Girl หนังสืบสวนเชิงจิตวิทยาของ 'เดวิด ฟินเชอร์' หรือจะเป็น Jack Reacher หนังแอคชั่นสายลับที่ประกบคู่กับ 'ทอม ครูซ' แต่ขณะเดียวกันอีกหนึ่งนักแสดงที่รับบทตัวเอกของเรื่องอย่าง 'จอน แฮมม์' จากซีรีส์ Mad Men ที่หลายคนยังเกิดเครื่องหมายคำถามเกี่ยวกับความสามารถของนักแสดงคนนี้ว่าจะดีพอที่จะแบกหนังทั้งเรื่องได้หรือไม่? ซึ่งเมื่อดูจากสิ่งที่ 'จอน แฮมม์' พยายามทำเพื่อเข้าถึงบทบาทนักเจรจาอย่าง การศึกษาเบื้องหลังและเข้าไปพูดคุยกับทูตตัวจริงเพื่อรับรู้มุมมองต่างๆของเหตุการณ์ หรือจะเป็นการใช้บทของ 'กิลรอย' เป็นพิมพ์เขียวในการแสดง พร้อมขอคำแนะนำจาก 'แอนเดอร์สัน' ในการชี้แนะแนวทางที่ถูกที่ควร รวมไปถึงทัศนคติที่ดีในการแสดงของตัวเขาเองก็พอจะเชื่อมั่นได้เลยว่าตัวละคร 'เมสัน ไกลส์' ต้องออกมายอดเยี่ยมตามทิศทางที่ควรจะเป็น
5. ทีมเบื้องหลังคุณภาพ
สิ่งที่ต้องคำนึงในงานคอสตูมคือ ผู้คนจำนวนมาก ต่างกลุ่ม ต่างเชื้อชาติ ต่างวัฒนธรรมในเมืองเบรุต มันเป็นสิ่ง 'คาร์ลอส โรซาริโอ' นักออกแบบเครื่องแต่งกายชาวฝรั่งเศสตระหนักถึงเป็นอย่างดี เขาจึงพยายามเน้นความหลากของเสื้อผ้าเพื่อให้ดูสมจริง เป็นธรรมชาติ แต่ก็ไม่ละเลยถึงตัวตนทางวัฒนธรรมของผู้คน ขณะเดียวกันฝั่งงานภาพก็มีหัวเรือใหญ่อย่าง 'บียอร์น ชาร์เพนเทียร์' ผู้กำกับภาพเจ้าของรางวัล Grand Prix prize จากเมืองคานส์ ที่ตีโจทย์ได้ตรงตามความต้องการของ 'แบรด แอนเดอร์สัน' กับงานภาพที่เน้นความดิบ หยาบๆสไตล์หนังยุโรป การถ่ายทำจึงใช้เลนส์อนามอร์ฟิคจากยุค 70-80 เพื่อให้ภาพที่ออกมาดูไม่คมชัดจนเกินไป ซึ่งทาง 'ชาร์เพนเทียร์' ก็ได้พูดถึงเรื่องนี้ไว้ว่า
“ภาพจะออกมานุ่มนวลสไตล์เลนส์ย้อนยุค ถ้าบวกกับเสื้อผ้าที่งดงามของคาร์ลอสแล้วมันเหมือนกับว่า Beirut ถ่ายในยุค 70 เลย”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
หนังเข้าฉายในไทย 10 พฤษภาคมนี้
ตัวอย่างซับไทย