แชร์ความในใจของการถูกบังคับเรียนค่ะ

สวัสดีค่ะทุกๆคน ตอนนี้เรากำลังขึ้นชั้นม.ปลายค่ะ อยากแชร์ความรู้สึก และความเครียดจากปัญหาปัจจุบันให้ฟังค่ะ

     เราเป็นลูกคนกลางค่ะ ฐานะทางบ้านปานกลางค่ะ ไม่ได้รวยแต่ก็ไม่ได้ขัดสนทรัพย์ พี่ชายเราร่างกายค่อนข้างอ่อนแอ ส่วนน้องสาวเราเอาแต่ใจค่ะ ทำให้หน้าที่งานบ้านอยู่ที่เรา แต่เราก็ไม่ได้ซีเรียสค่ะ
     
      ปัญหาหลักๆที่เราเจอคือเรื่องการเรียนค่ะ เริ่มจากประถมเลยนะคะ เราเป็นเด็กที่เข้าเรียนก่อนเกณฑ์ค่ะ เราเรียนเร็วไปหนึ่งปี ตอนประถมเราเรียนโรงเรียนเอกชนค่ะ ซึ่งอยู่เดียวกับลูกผู้อำนวยการที่เป็นเพื่อนกับแม่ สิ่งที่เกิดขึ้นคือแม่เปรียบเทียบเรากับเขาเสมอค่ะ แม่มักจะพูดว่าเราจะเรียนแพ้เขาไม่ได้ เป็นแบบนี้เรื่อยๆมาจนเรา ขึ้นมัธยมต้นค่ะ เราสอบติดโรงเรียนทุนโรงเรียนนึง เป็นโรงเรียนประจำ ขอไม่เอ่ยชื่อนะคะ ซึ่งเป็นโรงเรียนที่แม่บังคับให้สอบและไปเรียนค่ะ เราได้อยู่ทับหนึ่งค่ะ เพื่อนในห้องทุกๆคนเรียนเก่งและมีพื้นฐานมาดี แต่เราแทบไม่มีพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ เราเลยศึกษาเอา ช่วงนั้นผู้ปกครองเริ่มขีดเส้นให้กับเรา แม่บอกเราว่าอยากให้เป็นหมอ เพราะพี่เราเรียนไม่เก่งค่ะ แม่บอกว่าอยากมีลูกเป็นหมอซึ่งตอนนั้นอายุเรายังน้อยเราเลยบอกแม่ว่าขอคิดดูก่อน
   
.


     ผ่านไปซักพักนึง เราปรับตัวได้และเริ่มมีเพื่อนค่ะ ช่วงนั้นเพื่อนมีปัญหากับพ่อแม่แล้วมาปรึกษาเรา ด้วยความที่เราเป็นคนคิดบวก ทำให้มีเพื่อนมาปรึกษาค่อนข้างมาก และเราก็เป็นคนคิดมาก ทำให้เรารับปัญหาของเพื่อนมา และเก็บไว้คนเดียวค่ะ เทอมแรกเราได้เกรดเฉลี่ย 4.00 ค่ะเพราะว่าค่อนข้างง่าย แต่พอขึ้นม.สอง เกรดเราตกเหลือ 3.98 ด้วนความที่เราไม่ชอบฟิสิกส์และคณิต ตอนนั้นเราร้องไห้ทั้งคืนเลยค่ะ แม่เราเอาเราไปเปรียบเทียบกับเพื่อนโรงเรียนเก่า แล้วแม่ก็ตวาดใส่เราว่าแค่เกรดสี่ทำไมทำไม่ได้ ตอนนั้นเราร้องไห้กอดแม่แต่แม่ไม่คิดจะกอดกลับเลยค่ะ เราเข้าใจว่ามันอาจจะเยอะสำหรับใครบางคน แต่ในสังคมที่มีการแข่งขันสูง เกรดเท่านี้ก็เครียดแล้วค่ะ หลายวันต่อมาเราเริ่มมีไฟ เราอ่านหนังสือทุกวัน อัดพื้นฐานให้ตัวเอง ตั้งเป้าหมายไว้ที่การเป็นหมอ ซึ่งไม่ใช่ความฝันของเราค่ะ แต่เราก็ไม่รู้ว่าอยากเป็นอะไรเพราะเราโดนแม่ปลูกฝังให้อยากเป็นหมอ ให้ชอบ ตั้งแต่ประถม แต่พอเราลองคิดถึงการเป็นหมอแล้วมันรู้สึกว่างเปล่าค่ะ เราก็คิดว่ามันอาจจะเป็นความฝันของเรา แต่เรายังไม่ได้ชอบมัน พอเทอมต่อมาเราก็ได้เกรดสี่เหมือนเดิมค่ะ
     
.


       ช่วงนึงค่ะ เป็นตอนที่เราอายุเริ่มโต เราเริ่มชอบเคป๊อบและนักร้อง แต่แม่บอกว่าไร้สาระ เราเลยไม่มีโอกาสได้สนับสนุนผลงานของศิลปินค่ะ ซึ่งเราก็ยอมแม่ หลังจากนั้นเราเริ่มสนใจการเต้นโคฟค่ะ แต่ไม่ได้สนใจแบบอาชีพนะคะ เต้นเพื่ออกกำลังกายเฉยๆ เราเป็นคนชอบทำอะไรใหม่ๆ เราให้เราค่อนข้างถนัดรอบด้านค่ะ เราวาดรุปและเริ่มเขียนนิยายค่ะ ช่วงนั้นเราอ่านฟิคกับดูซีรีส์ด้วยเพราะเข้าวัยรุ่นแล้ว นิยายเรื่องแรกเราเขียนลงเด็กดี เราดีใจมากๆที่เห็นคนคอมเม้น ชื่นชอบผลงาน ทั้งภาพที่เราวาดและนิยายของเรา สิ่งที่เกิดขึ้นคือแม่มาเห็นค่ะ แม่ลบนิยายเราแล้วบอกว่ามันคือเรื่องไร้สาระ แม่ต้องการให้เราโฟกัสที่การเรียนเพียงอย่างเดียว มีครั้งนึงเราขอไปทำงานบ้านเพื่อนค่ะ แบบไปค้าง เป็นเพื่อนผู้หญิงค่ะ ปรากฎว่าแม่เราบอกให้เลิกคบกับเพื่อนเลยค่ะ ด้วยเหตุผลว่าจะมีไปทำไม ไม่มีเพื่อนคนไหนไว้ใจได้หรอก ในส่วนนี่เราเข้าใจว่าแม่เป็นห่วงค่ะ แต่เราไม่โอเคกับการที่แม่ตัดสินว่าการคบเพื่อนมันไม่ดี
     
.


        ทีนี้พอขึ้นม.สาม แม่ต้องการให้เราสอบต่อโครงการนึงค่ะ สอบเข้ายากพอสมควร ซึ่งสอบตรงกันกับวันที่สอบเข้าโรงเรียนเดิมค่ะ เราขอแม่เรียนโรงเรียนเดิม แต่แม่ไม่อนุญาต สุดท้ายเราก็ไปสอบเข้าที่ที่แม่หวังไว้ ซึ่งลูกผู้อำนวยการคนนั้นก็สอบค่ะ แน่นอนว่าเราถูกเปรียบเทียบ ช่วงอ่านหนังสือสอบเราเครียดทุกวันเลยค่ะ เราอ่านตั้งแต่สามทุ่มถึงตีสามทุกวัน แต่ไม่หักโหมนะคะ ถ้าวันไหนเราไม่ไหวก็จะลดเวลา แต่เราอ่านหนังสือทุกวัน ตอนนั้นเราได้รับแรงกดดันจากรอบครัว ญาติ เพื่อนที่ทำงานพ่อคนรู้จัก เราแบกรับคำว่าความหวัง เอาไว้จนกระทั่งผลสอบรอบแรกออกค่ะ เราสอบติดรอบแรก หลังจากนั้นเราก็เริ่มอ่านหนังสือสอบรอบสองค่ะ เราอ่านทุกวันจนวันสอบค่ะ ข้อสอบค่อนข้างยากและเวลาน้อย ผลคือเราสอบไม่ติดค่ะ เราร้องไห้สามชั่วโมง ตอนนั้นเราอยู่หอ เราโทรไปบอกแม่ว่าเราไม่ติด นาทีนั้นเราต้องการกำลังใจมาก แต่สิ่งที่ได้รับคือการที่แม่พูดว่า มันเป็นความผิดของเราทั้งหมด คือมันก็จริงที่เป็นความผิดของเรา อาจจะเพราะเราไม่พร้อมเอง แต่ในนาทีนั้นเราต้องการคำว่าสู้ พยายามใหม่ แต่แม่ก็บอกว่าเราไม่อ่านหนังสือ ติดมือถือ ติดเพื่อน พอมองย้อนกลับไปในสิ่งที่เราพยายาม ในตอนที่อ่านถึงตีสามทุกวัน เราก็ใจพังเลยค่ะ มีแวบนึงเลยที่คิดว่า เราทำทั้งหมดไปเพื่อไร วันต่อมาเราพยายามมองในแง่บวก เริ่มพยายามอีกครั้ง และสิ่งที่เกิดขึ้นคือแม่ส่งข้อความมาบอกว่าขนาดเพื่อนคนนี้ยังติดเลย(เพื่อนคนนี้เป็นเด็อสอวน.คณิตศาสตร์ค่ายสองค่ะ เป็นคนที่เก่งมากๆ) เราซึมไปสองวันเลยค่ะ
     
.


         หลังจากนั้นเราก็อ่านหนังสือค่ะ เราเป็นคนชอบอ่านอยู่แล้ว เตรียมตัวสอบม.4 โรงเรียนประจำจังหวัดค่ะ ตอนนั้นแม่เรายึดมือถือสองอาทิตย์ค่ะ ด้วยเหตุผลว่าเราต้องอ่านหนังสือ ซึ่งเราก็ยอมค่ะ ผลออกมาคือเราติดตัวสำรองค่ะ แม่ไม่พูดกับเราเลยสองวัน เรานั่งร้องไห้อยู่คนเดียวในห้อง น้องสาวกับพี่เราก็ไม่คิดที่จะปลอบ ตอนนั้นเราเริ่มคิดว่าทำไมแม่ถึงบังคับเราทุกอย่าง แต่ไม่บังคับพี่กับน้องเลย น้องเราบอกอยากเป็นเชฟ เป็นดีไซน์เนอร์ แม่ก็ให้เป็น ช่วงนึงเราอยากเป็นทันตะค่ะ ลองขอแม่ แม่ก็ไม่ให้ค่ะ เราเครียดมาก ช่วงนั้นเพื่อนเราก็ทะเลาะกับทางบ้านก็มาปรีกษาเรา ตอนนั้นเราบอกให้เพื่อนสู้ๆทั้งที่ใจตัวเองก็แทบไม่ไหว ปฏิสัมพันธ์กับครอบครัวเราเริ่มน้อยลง แต่ก็ยังคุยอยู่ค่ะ เพราะเราเป็นคนทำอาหารให้น้องกับพี่กินทุกมื้อ
     
.


       ต่อมาค่ะ เราไปสอบห้องธรรมดาของโรงเรียนประจำจังหวัดอีกครั้ง ผลออกมาคือเราสอบได้อันดับหนึ่งค่ะ พ่อดีใจกับเรา แต่แม่ก็ยังคงเอาเราไปเปรียบเทียบเหมือนเดิม แม่บอกกับเราทุกวันว่าปีหน้าไปสอบโครงการนั้นใหม่ ไปสอบเข้าเตรียมใหม่อีกรอบ สอบเข้ามหิดลใหม่ปีหน้า ซึ่งเรามองไว้ว่าถ้าปีหน้าเราก็จะอยู่ม.สี่ เตรียมตัวเข้ามหาลัยน่าจะโอเคกว่า เราก็เลยบอกแม่ว่าเราไม่ดรอปได้มั้ย เราขอเรียนที่นี่ได้มั้ย จนสุดท้ายแม่ก็ให้ค่ะ
    ปิดเทอมขึ้นม.สี่ค่ะ เรารับติวกับสอนพิเศษให้น้องๆ กับรับวาดรูป หาเงินเพื่อเก็บไว้ใช้ ไว้ซื้อขนมหรือไปเที่ยวโดยไม่รบกวนเงินพ่อแม่ค่ะ ตอนนั้นเราเก็บได้สี่พันกว่าบาท แม่มาเปิดกระเป๋าสตางค์เราแล้วบอกเราว่าเอาไปใช้นะ เราก็ให้ค่ะเพราะแม่อาจจะต้องการเงิน ปรากฎว่าพี่เราเอาไปซื้อกันดั้มกับ photo set ของวงไอดอลหญิงที่กำลังดังในตอนนี้ค่ะ ในจุดๆนี้เราไม่ได้ว่าการติ่งเป็นสิ่งที่ไม่โอเคนะคะ แต่เราอยากพูดถึงประเด็นที่มันเป็นเงินของเราค่ะ ซึ่งเราทำงานมา เราเคยขอแม่ซื้อหนังสือวรรณกรรม โดนแม่บ่นไปสามวันเลยค่ะ แต่สุดท้ายเราก็ได้ซื้อ ล่าสุดที่เราตัดสินใจตั้งกระทู้นี้คือเราขอแม่ไปค่ายติวเข้ามหาวิทยาลัยค่ะ ตอนนี้เราขึ้นม.สี่ แต่แม่ไม่ให้เราไป บอกว่าเสียเวลา เสียเงิน อ่านหนังสือเอาก็ได้
  


     ในส่วนของมุมมองของเรานะคะ เราไม่โทษอะไรแม่ค่ะ ไม่เคยมองว่าแม่ไม่ดี เราพยายามเข้าใจเค้าค่ะ ยอมรับว่าบ่อยครั้งที่ท้อ แต่เราก็ยังเชื่อมั่นในตัวเองค่ะ ว่าวันนึงเขาจะยินดีกับเรา ในตอนที่เราร้องไห้ หรือมีความคิดขึ้นมาว่าแม่ผิด เราจะรีบบ่นตัวเองเลยค่ะ สิ่งที่เราอยากจะแชร์ในกระทู้นี้คือความเครียดในมุมมองของเด็กม.ต้นค่ะ เพราะเรามักจะถูกเข้าใจ เด็กม.ต้นสบาย เด็กม.ต้นไม่เครียด คือเราต้องการระบายค่ะ สุดท้ายนี้เราเป็นกำลังใจให้คนที่มีปัญหาค่ะ อย่าคิดสั้นอย่าท้อ ขอให้สู้ๆนะคะ พยายามไปด้วยกัน เราไม่ได้คิดอะไรมากนะคะ แค่บางครังก็นอยด์ๆ ขอบคุณที่เข้ามารับฟังความรู้สึกของเราด้วยนะคะ หัวใจ

ปล.กระทู้แรกที่มีสาระ ถ้าอ่านไม่เข้าใจต้องขอโทษด้วยนะคะ
ปล2.ใครที่มีปัญหาอะไร หรือต้องการระบายความในใจ ทักมาแลกเปลี่ยนได้นะคะ เราไม่ใช่คนที่มีทัศนคติดีที่สุด แต่เราพร้อมรับฟังค่ะ ยิ้ม
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่