[CR] สวี... มีดีที่หนีพายุ

สวัสดีครับ วันนี้ผมจะมาเล่าประสบการณ์การท่องเที่ยว 3 วัน 2 คืน ณ อำเภอสวี จังหวัดชุมพรซึ่งเป็นทริปที่ผมยกให้เป็นที่สุดของผมเอง ทำไมเหรอครับ เชิญอ่านด้านล่างเลยครับ


          ปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ( ปี 2561 ) ผมและเพื่อนอีก 4 คนได้รับโจทย์ให้จัดทริปท่องเที่ยวภายใต้แนวคิด low price high experience กล่าวคือ เที่ยวหาประสบการณ์อันยิ่งใหญ่ด้วยงบอันน้อยนิด และด้วยความที่ผมไปเที่ยวภูเขา ทั้งขับรถขึ้นดอยหรือเดินป่ามาหลายทริป ทริปนี้ผมเลยเลือกเป็นแนวทะเลและเกาะบ้าง ซึ่งนี่เป็นจุดเริ่มต้นของการผจญภัยครั้งนี้

          การเดินทางไปสวีในครั้งนี้ ผมตัดสินใจเลือกรถไฟ ออกจากรุงเทพเกือบห้าทุ่มถึงสวีประมาณหกโมงเช้าของวันถัดไป


DAY1

          เช้าแรกที่สวี หลังจากลงรถไฟ ล้างหน้าแปรงฟัน มองไปฝั่งตรงข้ามสถานีสิ่งที่เห็นคือ ร้านขายของเล็กๆ จำนวนหนึ่ง ทั้งผลไม้ อาหารสำเร็จรูป ในใจผมคิดว่านี่น่าจะเป็นแค่จุดขายของจุดหนึ่งของอำเภอจึงตัดสินใจเดินไปตามทางเพื่อมองหาตลาดและร้านอาหารอื่นๆ และสิ่งที่เราพบคือ ที่นี่คือตลาดของอำเภอนี้ครับ ร้านสะดวกซื้อผมหาไม่เจอมีแต่ร้านขายของชำ ตู้เอทีเอ็มผมก็หาไม่เจอเลยตัดสินใจเข้าไปนั่งร้านโจ๊กตรงหัวมุมฝั่งตรงข้ามสถานีรถไฟ

ตลาดบริเวณหน้าสถานีรถไฟสวี

ขอรีวิวอาหารร้านนี้ก่อนเลยครับ บอกเลยว่าโจ๊กอร่อยมาก เครื่องแน่น รสชาติดี แถมราคาเป็นมิตรกับกระเป๋าตังค์อีก

          
          หลังจากกินเสร็จเราพูดคุยกับคุณลุงเจ้าของร้านและคุณป้าที่มาซื้อโจ๊กเพื่อขอคำแนะนำในการเดินทางในอำเภอสวี คุณลุงคุณป้าและชาวบ้านในร้านโจ๊กใจดีมาก ทุกคนแนะนำทั้งการเดินทางและสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งทำให้ผมรู้ว่า อำเภอนี้แทบไม่มีรถประจำทางเพราะชาวบ้านส่วนใหญ่มีรถส่วนตัวกันเกือบทุกบ้านทำให้มีรถประจำทางบ้างส่วนการเดินทางหลักของคนไม่มีรถส่วนตัวคือรถสองแถว หลังจากลูกค้าเริ่มซา คุณลุงโทรศัพท์หาคนขับรถสองแถวที่แกรู้จัก แต่ดันเกิดปัญหาเล็กน้อยทำให้พี่คนขับรถไม่สามารถมารับเราได้

          เราเลยตัดสินใจออกจากร้านแล้วตามหารถสองแถวที่ต้องการ เดินไปไม่ไกลเราได้พบกับ ป้านวล ป้าที่ดูแลคิวรถสองแถวพร้อมกับขับเอง เราตกลงกับป้าว่าจะไปวัดพระธาตุสวี เขาทะลุ แล้วไปส่งเราที่ท้องโตนดเพื่อขึ้นเราข้ามไปยังเกาะกุลา

สองแถวของป้านวลที่จะพาเราไปเที่ยวกัน

จุดหมายแรก วัดพระธาตุสวี

          ในมุมมองของผมวัดพระธาตุสวีเป็นวัดที่มีทั้งวิถีชีวิตชาวบ้านและโบราณสถานรวมอยู่ด้วยกัน ทางเข้าวัดมีศาลาเหมือนวัดทั่วไป ถัดมาเป็นพิพิธภัณฑ์และจุดสำคัญของวัดนี้คือพระธาตุสวี พระธาตุสวีเป็นพระธาตุองค์ใหญ่อายุกว่า 700 ปี ลักษณะเป็นเจดีย์สีทองทรงระฆังคว่ำ ตามที่ผมได้ยินที่มัคคุเทศก์เล่าวันนั้น (วันนั้นมีกลุ่มนักเรียนมาทัศนศึกษาที่วัดพอดี ผมจึงมีโอกาสได้รับฟังที่มาของวัดและอำภอนี้) ในอดีตเกิดศึกสงครามและเมื่อกองทหารได้พักที่วัดแห่งนี้ได้สังเกตุเห็นมีซากเจดีย์ชำรุด ที่ซากของเจดีย์องค์นั้นมีกาฝูงหนึ่งมาจับกลุ่มวีปีก ( กระพือปีก ) แม่ทัพจึงสั่งให้ทหารไล่กาฝูงนั้นและทำการบูรณะและตั้งชื่อว่า "พระบรมธาตุกาวีปีก" ต่อมาคำว่า "ปีก" ถูกตัดหายไป เรียกกันว่า "พระธาตุกาวี" จนสุดท้ายคำนี้ได้กร่อนลงจนกลายเป็น "พระธาตุสวี" ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2375) เกิดเมืองสวีขึ้น พระธาตุแห่งนี้จึงได้ชื่อว่า "พระธาตุสวี"

ในบริเวณพระธาตุสวีมีพระพุทธรูปปางประทานพรประดิษฐานล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน จำนวน 108 องค์ บอกเลยว่าสวยงามมากครับ

          หลังจากไหว้พระธาตุสวีแล้ว เราเดินทางต่อไปเขาทะลุ แต่....ป้านวลคนขับรถสองแถวขอไปรับยายเพื่อแวะไปส่งที่วัดๆหนึ่ง (ผมจำชื่อวัดไม่ได้) ในขณะที่เรานั่งคุยกันเรื่องทริปและแผนในวันแรก พี่ปลา เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหมุ่เกาะชุมพรที่ดูแลเกาะกุลาได้โทรศัพท์มาหาเรา เนื่องจากทางเจ้าหน้าที่ต้องเตรียมอาหารสำหรับนักท่องเที่ยวที่เข้าพักแบบวันต่อวัน เราจึงได้ราคาที่เราเองก็คาดไม่ถึง ขออุบไว้ก่อนเดี๋ยวมาบอกตอนหลังครับ

ถึงเขาทะลุ....
          เขาทะลุสำหรับผมมันก็แค่เขาที่ทะลุเป็นวงกลมแต่...ที่นี่มีกาแฟเป็นของขึ้นชื่อ พวกเราจึงตัดสินใจไปที่โรงงานผลิตกาแฟของยี่ห้อ "กาแฟเขาทะลุ" แต่ วันนั้นเป็นวันสัมมนา สำนักงานและร้านกาแฟจึงปิด แต่ยังโชคดีที่พี่เจ้าหน้าที่มาต้อนรับเรา เลยได้สอบถามเกี่ยวกับการผลิตกาแฟและขายกาแฟที่นี่ กาแฟเขาทะลุนี้เป็นกาแฟพันธุ์โรบัสต้าที่ขายอยู่ทั่งเมืองสวีและส่งออกไปยังจังหวัดใกล้เคียงรวมไปถึงกรุงเทพมหานครด้วย ( แถวบ้านผมก็มีขายครับ แต่เพิ่งสังเกตุหลังจากกลับจากทริปนี่แหละครับ)

พี่ๆ ให้การต้อนรับดีมาก เอาเอกสารมากางดูกันเลย

          ที่นี่ผลิตกาแฟหลายรูปแบบมากครับ เมล็ดกาแฟคั่ว เมล็ดกาแฟบด และกาแฟชนิดซองสำหรับชง โดยกาแฟซองมี 3 ระดับ ซองสีดำเป็นชนิดอ่อน เหมาะสำหรับผู้ดื่มกาแฟไม่เก่ง ซองสีแดงเป็นสูตรปานกลาง เข้นข้นปานกลาง สุดท้าย ซองสีเขียว เข้มที่สุดหรือเข้มปั้ด ผมได้ลองชนิดสีดำและแดงบอกเลยว่า อร่อยครับ ใครอยากลองอะไรแปลกใหม่ เชิญครับ

เนื่องจากคาเฟ่ที่เปิดให้บริการปิด พี่ๆ เลยให้เราลองชงกาแฟชิมกันเอง

          เราเดินทางต่อไปที่ศาลกรมหลวงชุมพร ศาลที่เราไปเป็นศาลที่เล็ก ทำให้แทบไม่มีข้อมูลปรากฏ

ศาลกรมหลวงชุมพร


ระหว่างรอป้านวลแวะทานข้าวเที่ยงก็นั่งรับลมทะเลไปพลางๆ

          หลังกราบไหว้สักการะ เราให้ป้านวลไปส่งตามจุดที่พี่ปลาส่งมาเพื่อขึ้นเรือชาวประมงไปยังเกาะกุลา ครับ... ป้านวลพาไปผิดที่ เราไปที่ทำการอุทยานหลังจากพยายามติดต่อพี่ปลาอยู่นาน จึงตัดสินใจไปตามจุดที่ตกลงกับพี่ปลาไว้
          
          และชาวประมงที่จะไปส่งเราคือ พี่โก ชาวประมงผู้มีอาชีพเสริมคือขับเรือรับส่งนักท่องเที่ยว พี่โกนำเรือไม้ลำเล็กออกไป ตอนแรกก็นึกว่าจะนั่งไปจนถึงเกาะกุลาซึ่งไกลมาก สุดท้ายคือ ไปต่อเรือเล็กที่ใหญ่กว่าไป ครั้งแรกของการนั่งเรือออกไปเกาะ ผมตื่นเต้นสุดๆ ตลอดทางไม่ค่อยได้คุยกับพี่โกเท่าไรนัก เนื่องจากพี่โกและลูกต้องขับเรือและจัดการเรื่องน้ำใต้ท้องเรือ จนถึงเกาะกุลา

จุดนัดกับพี่โกที่จะพาพวกเราข้ามไปเกาะกุลา

ถึงเกาะกุลา
          เกาะกุลาเป็นเกาะเล็กๆ อยู่ภายใต้ความดูแลของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร มีบ้านพัก กิจกรรมที่ทำได้บนเกาะนี้ค่อนข้างเยอะ เช่น พายเรือคายัค ดำน้ำดูปะการัง และเดินป่าไปยังหาดอื่นๆ ลืมเล่าครับ พี่โกให้ยืมทั้งเสื้อชูชีพและแว่นตาดำน้ำ เราจึงไม่ต้องเสียค่าดำเช่าแว่น


          ทันทีที่ถึงเกาะ ด้วยความเหนื่อยล้าจากการนั่งรถไฟข้ามคืนประกอบกับการเดินทางทั้งวันโดยไม่ได้พักกินข้าวเที่ยงเลย...หลับครับ หลับก่อนเลยครับ จากนั้นผมกับเพื่อนๆเดินสำรวจเกาะบริเวณที่พัก หน้าที่พักเป็นหาดทรายที่จะเรียกว่าส่วนตัวก็ไม่ผิดเพราะในวันนั้นไม่มีแขกเข้าพักเลย มีกลุ่มของผมกลุ่มเดียว นักท่องเที่ยงสามารถลงเล่นทะเลที่หาดนี้ได้ ส่วนอีกหาดหนึ่งคือหาดที่เทียบเรือ หาดนี้เหมาะสำหรับการดำน้ำดูปะการัง และพายเรือมากกว่า หาดนี้ยังอยู่ใกล้ห้องครัวและห้องอาหารมากกว่า
          
          ไม่นานหลังเราถึงเกาะแล้ว มีเรือยางลำสีส้มลำหนึ่งแล่นเข้ามาเทียบท่า ผมก็นึกสนุกในใจ “เออ ถ้าได้นั่งลำนี้ทริปนี้มันจะโคตรมันส์แน่นอน” แต่ก็นั่นแหละครับ ไม่น่าได้นั่ง เพราะดูเป็นเรือใช้ในหน้าที่ของทางอุทยาน

ถ้าได้นั่งเรือยางลำนี้คงมันน่าดู

พายเรือคายัคครั้งแรก
          หาดที่เทียบเรือประมงมีเรือคายัคจอดอยู่สองลำ สำหรับ 4 คน โชคดีที่เพื่อนคนหนึ่งหลับ เรา 4 คนเลยมาพายเรือ เหนื่อยกว่าที่คิดเยอะเลยครับ ทั้งคลื่น ลม ไหนจะประคองไม่ให้เรือไปชนกับหิน สนุกมากครับ อย่างน้อยผมก็ไม่พายเป็นวงกลม แต่ก็ไม่ได้ไปไหนไกล

เย็นวันแรกบนเกาะกุลา
          อาหารมื้อแรกมี ปูนึ่ง แกงส้มออกดิบปลากระพง ผัดผักรวม ปลาหมึกทอด บอกเลยว่าเหมือนสวรรค์ครับ อาหารทะเลที่สดขนาดนี้ในราคาเท่านี้ หาไม่ได้ในกรุงเทพหรืออาจจะรวมถึงตัวเมืองชุมพร และมื้อนี้เองก็เป็นครั้งแรกที่ผมตั้งใจแกะปูเองครั้งแรก แต่ก็นั่นแหละครับ เหมือนตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เละคามือซะส่วนใหญ่ครับ  อาหารมื้อนี้หลังจากกินเสร็จอย่างแรกที่คิดในใจคือ จะต่อราคาเขาทำไมของดีขนาดนี้ ได้แต่หัวเราะกับเพื่อน

ตอนนั้นคือหิวกันมากเลยไม่ได้ถ่ายรูปอาหารมาเลย

          หลังจากกินข้าวเสร็จแล้วก็พักผ่อนเดินเล่นบนเกาะ บอกเลยว่าบรรยากาศดีมากครับ ไม่ว่าจะมองออกไปในทะเล เงยหน้ามองต้นไม้ ก้มหน้ามองหาดทราย ทุกอย่างสวยไปหมดครับ อากาศเย็นสบาย ลมแรงๆ ตอนกลางคืนเหมือนเป็นสัญญาณของอะไรซักอย่างในเช้าวันถัดไป

เงยหน้าอีกทีก็ดาวเต็มฟ้าแล้ว


Edit เพิ่มตัวอย่างทริปครับ https://youtu.be/YmvC9z2t-6U
ชื่อสินค้า:   อ.สวี จ.ชุมพร
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่