Jake Bugg Live in Bangkok 2018
"I drink to remember, I smoke to forget."
ดื่มเพื่อจำ สูบเพื่อลืม ไอ้หนุ่มจากน็อตติ้งแฮมวัย 17 สร้างชื่อด้วยเนื้อเพลงท่อนนี้จากเพลง Two Fingers ว่าด้วยชีวิตเฮงซวยของคนหนุ่มที่ติดแหง็กอยู่ในบ้านเกิดในอัลบั้มชื่อเดียวกันกับเขา Jake Bugg เราต้องรอถึงหกปีเต็มกว่าจะได้ฟังเพลงนี้สดๆ จากเจค ในวันที่เขาอายุ 24 ขึ้นมาโซโล่กีตาร์คนเดียวแบบไม่มีตัวช่วยอื่นใด กับเพลงจากสี่อัลบั้มในชีวิตนักดนตรีของเขา
เจคเปิดคอนเสิร์ตด้วยเพลง How Soon The Dawn จากอัลบั้มล่าสุด Hearts That Strain ซึ่งก็เห็นได้ชัดนั่นแหละว่าแฟนเพลงส่วนใหญ่จดจำเขาได้จากอัลบั้มแรกๆ มากกว่า ดังนั้นการมาถึงของเพลงอย่าง Slide หรือ Simple As This เลยให้ความรู้สึกปลุกคนดูให้ตื่นตัวอยู่เหมือนกัน ก่อนจะสลับเล่นวนเพลงจากอัลบั้มทั้งสี่ ซึ่งโชคดีมากๆ ที่เจคเล่นเพลงที่เรารักทุกเพลงอย่าง Me and You, There's a Beast and We All Feed It, A Song About Love (อันนี้คนตะโกนขอมา น้องก็เล่นให้ดื้อๆ เดี๋ยวนั้นเลย), Slumville Sunrise (strum กีตาร์แบบโหดมาก), Trouble Town, Seen It All, Love, Hope and Misery (เสียดายขาดเพลง All Your Reasons กับ The Love We're Hoping For ไม่งั้นอาจจะนับว่าเป็นเซ็ตลิสต์ในฝันของเราได้)
ครั้งหนึ่งเจคเคยให้สัมภาษณ์ว่า ตั้งแต่มีชื่อเสียงและทำเงินได้มากมายเขาก็รู้สึกเหมือนสูญเสียแก่นบางอย่างในการเขียนเพลงไป ซึ่งเราก็เข้าใจได้ กลิ่นอายความดิบถ่อยบางอย่างจากอัลบั้มแรกกับเนื้อเพลงเศร้าๆ โกรธโลกมันแทบไม่มีแล้ว ตัวเจคเองทำอัลบั้มใหม่แทบจะปีต่อปี ทดลองทำเพลงแนวที่ยังไม่เคยทำ (Gimme The Love เป็นเพลงที่แฟนเพลงออกมาบ่นแทบไม่มีชิ้นดีว่าไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว) เขาเองก็เข้าใจได้ว่าเนื้อเพลงแบบ In this trouble town-Troubles are found หรือ Slumville sunrise - Nobody cares or looks twice มันอาจเกิดขึ้นจากเขาในวันนี้ไม่ได้แล้ว แต่มันก็มีเนื้อเพลงดีๆ จากเขาในวัยยี่สิบกว่าและมุมมองที่โตกว่าเหมือนกัน
สารภาพว่าตอนที่เจคร้องเพลง Broken นี่แอบซึ้งๆ นิดนึงเพราะเป็นเพลงแรกที่รู้จักเจค และตกใจเมื่อเจคร้องเวอร์ชั่นแรก (น่าจะเวอร์ชั่นเดโม) ของเพลง กับท่อน Where sophie's down in the valley ซึ่งไม่มีในเวอร์ชั่นปัจจุบัน แล้วตามมาด้วยเพลงชาติของคนรักเจค บักก์ คือ Two Fingers (กับภาพน่ารักๆ เมื่อคนดูพากันชูสองนิ้วแจกฟัคให้น้องกันแทบทั้งคอนเสิร์ต) ตามด้วยเพลง Johnny Cash (Cover) และปิดท้ายด้วย Lightning Bolt
มันน่าประทับใจเพราะในเวลาเก้าสิบนาทีนี้ เจคมันก็ไม่ทำให้คนดู-แม้แต่คนดูที่อดนอนมาอย่างเรา-ต้องหลับ และพร้อมกันนั้นก็ทำตัวเป็นนักร้องร้านเหล้าด้วยการถามคนดูตลอดว่าเล่นเพลงอะไรต่อดีนะ (จนสงสัยว่านี่มันทำเซ็ตลิสต์เพลงมาแน่หรือเปล่าวะ) กับมุกเด๋อๆ อย่าง 'ผมร้ากคุง' แม้ว่าทั้งคอนเสิร์ตเจคมันจะพูดอยู่ราวๆ สิบกว่าประโยค (ไม่นับที่พูด Thank you หลังจบเพลงทุกเพลง) แต่มันก็น่ารักในแบบของมันน่ะ (หัวเราะ อิอิ แล้วบ่นกีตาร์งึมงำๆ อะไรของมันไปอยู่คนเดียว) พอเห็นคนเงียบก็บ่นว่า "เงียบจังนะครับ" และ "เอ่อ... ผมเล่นดีใช่ไหม" (โถ)
ชอบที่มีคนตะโกนขอเพลง Wonderwall แล้วอีเจคชะงักไปอึดใจหนึ่ง ก่อนตะโกนใส่ไมค์ตอบพร้อมชี้นิ้วว่า "Get Out!" แล้วหัวเราะแหะบอก "ขอโทษครับ อย่าออกไปไหนเลย อยู่ต่อนี่แหละ"
รวมๆ แล้วมันก็ไม่ใช่ศิลปินสายเอนเตอร์เทนคนสูงอยู่แล้ว แต่การที่เจคบอกจะยืนเล่นกีตาร์ในเซ็ตเพลงท้ายๆ พร้อมขอให้คนดูลุกตาม แล้วโซโล่ยาวๆ นี่มันก็-ขาดมากแล้ว ถือว่าคอมพลีตสัสที่ได้เห็นเจคโซโล่กีตาร์ใกล้ขนาดนี้ ต่อให้เจคไม่พูดอะไรเลยแต่มาได้ฟังเสียงกีตาร์สดๆ และเสียงร้องดิบๆ แบบนี้ก็นับเป็นช่วงเวลาที่ดีช่วงหนึ่งของชีวิตเราในตอนนี้แล้วล่ะนะ
"So I kiss goodbye to every little ounce of pain
Light a cigarette and wish the world away
I got out, I got out, I'm alive and I'm here to stay
"So I hold two fingers up to yesterday
Light a cigarette and smoke it all away
I got out, I got out, I'm alive and I'm here to stay"
อยากใช้ชีวิตให้ได้แบบในเพลงนี้ของเจค ชีวิตจะเบัดซบยังไง เราก็แค่แจกฟัคให้มัน จุดบุหรี่ขึ้นสูบ ถ่ม

แล้วบอกตัวเองว่ากูยังมีชีวิตอยู่ต่อไปโว้ย

ฝากบล็อก-เพจ สำหรับติดตามข่าวสาร-แลกเปลี่ยนกันนะคะ
Page:
https://www.facebook.com/llkhimll
Blog:
http://llkhimll.wordpress.com/
(Concert) Jake Bugg Live in Bangkok 2018 ดื่มเพื่อจำ-สูบเพื่อลืมไปกับ เจค บักก์ ไอ้เด็กจากน็อตติ้งแฮมและกีตาร์หนึ่งตัว
"I drink to remember, I smoke to forget."
ดื่มเพื่อจำ สูบเพื่อลืม ไอ้หนุ่มจากน็อตติ้งแฮมวัย 17 สร้างชื่อด้วยเนื้อเพลงท่อนนี้จากเพลง Two Fingers ว่าด้วยชีวิตเฮงซวยของคนหนุ่มที่ติดแหง็กอยู่ในบ้านเกิดในอัลบั้มชื่อเดียวกันกับเขา Jake Bugg เราต้องรอถึงหกปีเต็มกว่าจะได้ฟังเพลงนี้สดๆ จากเจค ในวันที่เขาอายุ 24 ขึ้นมาโซโล่กีตาร์คนเดียวแบบไม่มีตัวช่วยอื่นใด กับเพลงจากสี่อัลบั้มในชีวิตนักดนตรีของเขา
เจคเปิดคอนเสิร์ตด้วยเพลง How Soon The Dawn จากอัลบั้มล่าสุด Hearts That Strain ซึ่งก็เห็นได้ชัดนั่นแหละว่าแฟนเพลงส่วนใหญ่จดจำเขาได้จากอัลบั้มแรกๆ มากกว่า ดังนั้นการมาถึงของเพลงอย่าง Slide หรือ Simple As This เลยให้ความรู้สึกปลุกคนดูให้ตื่นตัวอยู่เหมือนกัน ก่อนจะสลับเล่นวนเพลงจากอัลบั้มทั้งสี่ ซึ่งโชคดีมากๆ ที่เจคเล่นเพลงที่เรารักทุกเพลงอย่าง Me and You, There's a Beast and We All Feed It, A Song About Love (อันนี้คนตะโกนขอมา น้องก็เล่นให้ดื้อๆ เดี๋ยวนั้นเลย), Slumville Sunrise (strum กีตาร์แบบโหดมาก), Trouble Town, Seen It All, Love, Hope and Misery (เสียดายขาดเพลง All Your Reasons กับ The Love We're Hoping For ไม่งั้นอาจจะนับว่าเป็นเซ็ตลิสต์ในฝันของเราได้)
ครั้งหนึ่งเจคเคยให้สัมภาษณ์ว่า ตั้งแต่มีชื่อเสียงและทำเงินได้มากมายเขาก็รู้สึกเหมือนสูญเสียแก่นบางอย่างในการเขียนเพลงไป ซึ่งเราก็เข้าใจได้ กลิ่นอายความดิบถ่อยบางอย่างจากอัลบั้มแรกกับเนื้อเพลงเศร้าๆ โกรธโลกมันแทบไม่มีแล้ว ตัวเจคเองทำอัลบั้มใหม่แทบจะปีต่อปี ทดลองทำเพลงแนวที่ยังไม่เคยทำ (Gimme The Love เป็นเพลงที่แฟนเพลงออกมาบ่นแทบไม่มีชิ้นดีว่าไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว) เขาเองก็เข้าใจได้ว่าเนื้อเพลงแบบ In this trouble town-Troubles are found หรือ Slumville sunrise - Nobody cares or looks twice มันอาจเกิดขึ้นจากเขาในวันนี้ไม่ได้แล้ว แต่มันก็มีเนื้อเพลงดีๆ จากเขาในวัยยี่สิบกว่าและมุมมองที่โตกว่าเหมือนกัน
สารภาพว่าตอนที่เจคร้องเพลง Broken นี่แอบซึ้งๆ นิดนึงเพราะเป็นเพลงแรกที่รู้จักเจค และตกใจเมื่อเจคร้องเวอร์ชั่นแรก (น่าจะเวอร์ชั่นเดโม) ของเพลง กับท่อน Where sophie's down in the valley ซึ่งไม่มีในเวอร์ชั่นปัจจุบัน แล้วตามมาด้วยเพลงชาติของคนรักเจค บักก์ คือ Two Fingers (กับภาพน่ารักๆ เมื่อคนดูพากันชูสองนิ้วแจกฟัคให้น้องกันแทบทั้งคอนเสิร์ต) ตามด้วยเพลง Johnny Cash (Cover) และปิดท้ายด้วย Lightning Bolt
มันน่าประทับใจเพราะในเวลาเก้าสิบนาทีนี้ เจคมันก็ไม่ทำให้คนดู-แม้แต่คนดูที่อดนอนมาอย่างเรา-ต้องหลับ และพร้อมกันนั้นก็ทำตัวเป็นนักร้องร้านเหล้าด้วยการถามคนดูตลอดว่าเล่นเพลงอะไรต่อดีนะ (จนสงสัยว่านี่มันทำเซ็ตลิสต์เพลงมาแน่หรือเปล่าวะ) กับมุกเด๋อๆ อย่าง 'ผมร้ากคุง' แม้ว่าทั้งคอนเสิร์ตเจคมันจะพูดอยู่ราวๆ สิบกว่าประโยค (ไม่นับที่พูด Thank you หลังจบเพลงทุกเพลง) แต่มันก็น่ารักในแบบของมันน่ะ (หัวเราะ อิอิ แล้วบ่นกีตาร์งึมงำๆ อะไรของมันไปอยู่คนเดียว) พอเห็นคนเงียบก็บ่นว่า "เงียบจังนะครับ" และ "เอ่อ... ผมเล่นดีใช่ไหม" (โถ)
ชอบที่มีคนตะโกนขอเพลง Wonderwall แล้วอีเจคชะงักไปอึดใจหนึ่ง ก่อนตะโกนใส่ไมค์ตอบพร้อมชี้นิ้วว่า "Get Out!" แล้วหัวเราะแหะบอก "ขอโทษครับ อย่าออกไปไหนเลย อยู่ต่อนี่แหละ"
รวมๆ แล้วมันก็ไม่ใช่ศิลปินสายเอนเตอร์เทนคนสูงอยู่แล้ว แต่การที่เจคบอกจะยืนเล่นกีตาร์ในเซ็ตเพลงท้ายๆ พร้อมขอให้คนดูลุกตาม แล้วโซโล่ยาวๆ นี่มันก็-ขาดมากแล้ว ถือว่าคอมพลีตสัสที่ได้เห็นเจคโซโล่กีตาร์ใกล้ขนาดนี้ ต่อให้เจคไม่พูดอะไรเลยแต่มาได้ฟังเสียงกีตาร์สดๆ และเสียงร้องดิบๆ แบบนี้ก็นับเป็นช่วงเวลาที่ดีช่วงหนึ่งของชีวิตเราในตอนนี้แล้วล่ะนะ
"So I kiss goodbye to every little ounce of pain
Light a cigarette and wish the world away
I got out, I got out, I'm alive and I'm here to stay
"So I hold two fingers up to yesterday
Light a cigarette and smoke it all away
I got out, I got out, I'm alive and I'm here to stay"
อยากใช้ชีวิตให้ได้แบบในเพลงนี้ของเจค ชีวิตจะเบัดซบยังไง เราก็แค่แจกฟัคให้มัน จุดบุหรี่ขึ้นสูบ ถ่ม
ฝากบล็อก-เพจ สำหรับติดตามข่าวสาร-แลกเปลี่ยนกันนะคะ
Page: https://www.facebook.com/llkhimll
Blog: http://llkhimll.wordpress.com/